คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
อาโอโมริ (เมือง)
นครและเมืองหลวงของจังหวัดอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
อาโอโมริ (ญี่ปุ่น: 青森; โรมาจิ: Aomori) หรือชื่อทางการว่า นครอาโอโมริ (青森市, Aomori-shi) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอาโอโมริ ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของภูมิภาคโทโฮกุ บนเกาะฮนชูของประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนประชากร ณ วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2025 ประมาณ 257,460 คน[1][2] มีขนาดพื้นที่ทั้งหมด 824.61 ตารางกิโลเมตร (318.38 ตารางไมล์) และมีความหนาแน่นของประชากร 312 คนต่อตารางกิโลเมตร นครอาโอโมริเป็นหนึ่งในนครศูนย์กลางของประเทศญี่ปุ่นทั้ง 62 แห่ง และเป็นศูนย์กลางของเขตมหานครอาโอโมริ[3]
อาโอโมริได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลนครเมื่อ ค.ศ. 1898 มีจุดเริ่มต้นจากชุมชนท่าเรือขนส่งที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงปลายยุคเอโดะ ปัจจุบันเมืองมีบทบาทสำคัญในด้านการขนส่ง การบริการสาธารณะ และการท่องเที่ยว โดยมีทั้งท่าเรืออาโอโมริ สถานีรถไฟความเร็วสูงชิงกันเซ็ง และเป็นจุดปลายทางของอุโมงค์เซกัง ซึ่งเชื่อมเกาะฮนชูกับเกาะฮกไกโด
เมืองนี้ยังเป็นประตูสู่ธรรมชาติของเทือกเขาฮักโกดะ แหล่งอนเซ็งชื่อดัง และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่หลากหลาย เช่น แหล่งโบราณสถานซันไน-มารูยามะ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะอาโอโมริ นอกจากนี้ยังมีเทศกาลอาโอโมริเนบูตะ ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในเดือนสิงหาคม ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นหนึ่งใน "100 ภูมิทัศน์ทางเสียงแห่งญี่ปุ่น" เมืองนี้ยังมีบทบาทในวงการกีฬาระดับนานาชาติ โดยเคยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวหลายรายการ รวมถึงการแข่งขันเคอร์ลิงชิงแชมป์โลกประเภททีมหญิง
Remove ads
ที่มาของชื่อ

ชื่อดั้งเดิมของพื้นที่อาโอโมริในอดีตคือ "อูโต" (Utō) ซึ่งตั้งชื่อตามนกทะเลชนิดหนึ่งชื่อว่า "ไรโนเซอรอสออกเล็ต" (Rhinoceros auklet; ウトウ) ซึ่งเป็นนกทะเลที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับนกพัฟฟิน ใน ค.ศ. 1626 ชื่อเมืองได้ถูกเปลี่ยนเป็น "อาโอโมริ" (青森) ซึ่งมีความหมายว่า "ป่าสีคราม" หรือ "ป่าเขียวครึ้ม" แต่ว่าชื่อนี้ก็ยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายนัก จนกระทั่ง ค.ศ. 1783 ชื่อนี้จึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง[4]
Remove ads
ประวัติศาสตร์
สรุป
มุมมอง

คำว่า อาโอโมริ (青森) แปลตามตัวได้ว่า "ป่าสีน้ำเงิน" แต่ในบริบทของภาษาญี่ปุ่น บางครั้งก็อาจตีความได้ว่า "ป่าสีเขียว" โดยทั่วไปเชื่อกันว่าชื่อนี้มาจากป่าขนาดเล็กที่อยู่บนเนินเขาใกล้เมือง ซึ่งเคยเป็นจุดสังเกตสำหรับชาวประมงที่ใช้เป็นแนวในการเดินเรือ อีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า ชื่อ "อาโอโมริ" อาจมีรากศัพท์มาจากภาษาไอนุ[5][6]
พื้นที่ของอาโอโมริมีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีค้นพบแหล่งโบราณสถานยุคโจมงหลายแห่ง โดยที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ แหล่งซันไน-มารูยามะ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของศูนย์กลางเมืองในปัจจุบัน มีอายุราว 5,500–4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และแหล่งโคมากิโนะ ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางใต้ มีอายุราว 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ความยิ่งใหญ่ของแหล่งโบราณคดีเหล่านี้ทำให้วงการประวัติศาสตร์ต้องทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับอารยธรรมโจมงใหม่อย่างสิ้นเชิง
ในยุคเฮอัง พื้นที่นี้อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟูจิวาระฝ่ายเหนือ แต่ก็ยังมีชาวเอมิชิอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องมาจนเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ หลังการล่มสลายของตระกูลฟูจิวาระฝ่ายเหนือในยุคคามากูระ พื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่มอบให้แก่ตระกูลนัมบุ และต่อมาในยุคเซ็งโงกุ พื้นที่นี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสึงารุ ซึ่งมีปราสาทหลักอยู่ที่นามิโอกะ
ในช่วงต้นยุคเอโดะ หมู่บ้านชายฝั่งเล็ก ๆ ที่ชื่อ "อูโต" (ญี่ปุ่น: 善知鳥村; โรมาจิ: Utō-mura) ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเมืองอาโอโมริในปัจจุบัน ต่อมาใน ค.ศ. 1626 ไดเมียวชื่อ สึงารุ โนบูฮิระ ได้สั่งบูรณะและเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านแห่งนี้เป็น "อาโอโมริ" อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้ยังไม่แพร่หลายจนกระทั่ง ค.ศ. 1783 ทั้งนี้ยังมีข้อถกเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์ เนื่องจากไม่มีเอกสารร่วมสมัยที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าอูโตคือเมืองอาโอโมริในปัจจุบัน บางหลักฐานถึงกับชี้ว่า อาโอโมริกับอูโตอาจเคยเป็นชุมชนคนละแห่งที่อยู่ใกล้กันด้วยซ้ำ จนกระทั่งใน ค.ศ. 1909 จึงมีนักวิชาการท้องถิ่นคนหนึ่งเสนอว่า หมู่บ้านอูโตได้กลายมาเป็นอาโอโมริ[4]
หลังการฟื้นฟูเมจิ ระบบศักดินาถูกยกเลิกและจัดตั้งระบบจังหวัดขึ้นมาแทน เดิมพื้นที่ของจังหวัดอาโอโมริในปัจจุบันเคยถูกแบ่งเป็น 6 จังหวัดย่อย และได้ยุบรวมกันเป็น "จังหวัดฮิโรซากิ" ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1871 โดยใช้ชื่อนี้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ระหว่างดินแดนของตระกูลสึงารุทางตะวันตกกับดินแดนของตระกูลนัมบุทางตะวันออก รัฐบาลจึงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงของจังหวัดจากฮิโรซากิมาอยู่ที่เมืองอาโอโมริ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางมากกว่า และในวันที่ 23 กันยายนปีเดียวกัน จังหวัดนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "จังหวัดอาโอโมริ" อย่างไรก็ดี เมืองอาโอโมริในขณะนั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายในอำเภอฮิงาชิตสึงารุ ยังไม่ได้มีสถานะเป็น "เมือง" (町; มาจิ) จนเมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1889 มีการจัดระเบียบระบบเทศบาลสมัยใหม่ เมืองอาโอโมริจึงได้รับสถานะเมือง และต่อมาในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1898 เมืองอาโอโมริจึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "นคร"[ต้องการอ้างอิง]
ใน ค.ศ. 1872 หน่วยงานอาณานิคมฮกไกโดได้เริ่มให้บริการเรือข้ามฟากระหว่างอาโอโมริกับเมืองฮาโกดาเตะบนเกาะฮกไกโด และในเดือนกันยายน ค.ศ. 1891 เมืองอาโอโมริได้เชื่อมต่อกับโตเกียวด้วยทางรถไฟสายหลักโทโฮกุ ส่วนทางรถไฟสายหลักโออุ ซึ่งวิ่งเลียบชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น เปิดให้บริการในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1894 การพัฒนาเมืองอาโอโมริสมัยใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีสถานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัด และมีบทบาทสำคัญในฐานะจุดสิ้นสุดของทางรถไฟทั้งสองสาย รวมถึงเส้นทางเรือข้ามฟากเซกัง ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1908[ต้องการอ้างอิง] กองทหารราบที่ 8 แห่งกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ประจำการอยู่ในเมืองอาโอโมริตั้งแต่ ค.ศ. 1896 และในฤดูหนาว ค.ศ. 1902 ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมระหว่างการฝึกซ้อมในสภาพอากาศหนาวจัด โดยทหารจำนวน 199 จาก 210 นายเสียชีวิตระหว่างพยายามข้ามเทือกเขาฮักโกดะ เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "เหตุการณ์เทือกเขาฮักโกดะ"
ต่อมาในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1910 เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เผาทำลายเมืองไปเป็นบริเวณกว้าง[7] ได้มีการขยายท่าเรือใน ค.ศ. 1924 และมีบริการรถโดยสารประจำทางในเมืองครั้งแรกใน ค.ศ. 1926[ต้องการอ้างอิง] ส่วนบริการการบินพาณิชย์โดยสายการบินเจแปนแอร์ทรานสปอร์ต เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1937

ในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างคืนวันที่ 28–29 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 เมืองอาโอโมริตกเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์โจมตีทางอากาศต่อเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น การโจมตีครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,767 ราย และอาคารในเมืองถูกทำลายไปถึงร้อยละ 88[8]
หลังสงคราม เมืองอาโอโมริได้รับการฟื้นฟูให้กลับมาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น ทางรถไฟสายสึงารุระหว่างสถานีอาโอโมริกับสถานีคานิตะเปิดให้บริการใน ค.ศ. 1951 และท่าอากาศยานอาโอโมริแห่งแรกเปิดให้บริการใน ค.ศ. 1964 บริเวณใกล้กับเมืองนามิโอกะ[9] ใน ค.ศ. 1979 เมืองอาโอโมริเชื่อมต่อกับโตเกียวด้วยทางด่วนโทโฮกุ[10] และใน ค.ศ. 1982 ได้มีการเริ่มก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ในเขตเมือง อาคารศูนย์การท่องเที่ยวจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงพีระมิด เปิดใช้ใน ค.ศ. 1986 และท่าอากาศยานแห่งใหม่ก็แล้วเสร็จในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1987[9] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2002 นครอาโอโมริได้รับการประกาศให้เป็น "นครศูนย์กลาง" ซึ่งมอบอำนาจให้กับท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2005 นครอาโอโมริได้ผนวกเอาเมืองนามิโอกะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2007 พื้นที่บางส่วนของนามิโอกะเดิมได้ถูกแยกไปรวมกับเมืองฟูจิซากิ ซึ่งอยู่ในอำเภอมินามิตสึงารุ[11][12]
Remove ads
ภูมิศาสตร์
สรุป
มุมมอง
นครอาโอโมริตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮนชู ตัวเมืองอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่สึงารุ (ซึ่งเป็นชื่อเรียกพื้นที่ทางตะวันตกของจังหวัด) และตั้งอยู่บนที่ราบอาโอโมริ ทางทิศเหนือติดกับอ่าวอาโอโมริ ซึ่งเป็นอ่าวย่อยของอ่าวมุตสึ ส่วนทางทิศใต้ถึงตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมีแนวเทือกเขาฮักโกดะและเทือกเขาฮิงาชิดาเกะ ซึ่งเป็นส่วนปลายด้านเหนือของเทือกเขาโออุ
นอกจากแม่น้ำสายเล็กหลายสายแล้ว เมืองยังมีแม่น้ำสายใหญ่สองสายไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำโคมาโงเมะ และแม่น้ำอารากาวะ ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำโคมาโงเมะ
พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองบางส่วนอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมตลอดทั้งปี ขณะที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ตั้งของอุทยานธรรมชาติระดับจังหวัดอาซามูชิ-นัตสึโดมาริ และภายในพื้นที่ยังมีแหล่งน้ำพุร้อนหลายแห่ง เช่น ซูกายุอนเซ็ง ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาฮักโกดะ และอาซามูชิอนเซ็น ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเล
เทศบาลข้างเคียง
- จังหวัดอาโอโมริ
- นครโกโชงาวาระ
- นครคูโรอิชิ
- นครโทวาดะ
- นครฮิรากาวะ
- เมืองชิจิโนเฮะ
- เมืองฟูจิซากิ
- เมืองอิตายานางิ
- เมืองฮิราไน
- หมู่บ้านโยโมงิตะ
ภูมิอากาศ
เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคโทโฮกุ อาโอโมริมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น โดยมีฤดูร้อนที่อบอุ่น และฤดูหนาวที่หนาวเย็นแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง เมืองนี้จัดอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบหนาวชื้นภาคพื้นทวีป (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน Dfa) ซึ่งเกือบจะอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นกึ่งเขตร้อน (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน Cfa) โดยใช้เส้นอุณหภูมิเฉลี่ย 0.0 °C (32.0 °F) เป็นเกณฑ์แยกแยะ แต่เนื่องจากอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ยังคงหนาวเกินไป จึงไม่เข้าข่ายภูมิอากาศกึ่งร้อนชื้น อาโอโมริจึงมีฤดูร้อนที่อบอุ่นและสั้น แต่ฤดูหนาวยาวนาน หนาวเย็น และมีหิมะตกหนัก อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 10.7 °C (51.3 °F) ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 1,285 มิลลิเมตร (50.6 นิ้ว) โดยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีฝนตกมากที่สุด อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยอยู่ในเดือนสิงหาคมที่ประมาณ 23.5 °C (74.3 °F) ขณะที่อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ในเดือนมกราคมที่ประมาณ −2.1 °C (28.2 °F)[13]
อาโอโมริและพื้นที่โดยรอบถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีหิมะตกหนักที่สุดในโลก[14] โดยในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 มีการบันทึกความหนาของหิมะสูงสุดไว้ที่ 209 เซนติเมตร (82 นิ้ว) ขณะที่สถิติอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ −24.7 °C (−12 °F) บันทึกไว้เมื่อ 14 ปีก่อนหน้านั้น เพื่อเปรียบเทียบ นครซัปโปโรซึ่งอยู่ทางเหนือก็เคยมีหิมะตกสูงสุดเพียง 164 เซนติเมตร (65 นิ้ว) ใน ค.ศ. 1939 และนครวักกาไนที่อยู่ทางเหนือยิ่งกว่านั้นก็มีปริมาณหิมะใกล้เคียงกัน สาเหตุที่ทำให้หิมะตกหนักเป็นพิเศษในอาโอโมริเกิดจากกระแสลมหลายทิศทางที่มาบรรจบกันบริเวณเมือง ทำให้อากาศลอยตัวสูงและเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดเมฆหนาและหิมะตกหนักในระยะเวลาอันสั้น
ในฤดูร้อน ลมเย็นที่เรียกว่า "ยามาเซะ" ซึ่งพัดมาจากทิศตะวันออก มักทำให้อากาศเย็นผิดปกติและส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ กระแสน้ำเย็นโอยาชิโยะยังนำหมอกหนาทึบเข้าปกคลุมบริเวณภูเขาโดยรอบในฤดูร้อนอีกด้วย ส่งผลให้เที่ยวบินที่มุ่งสู่ท่าอากาศยานอาโอโมริมักถูกยกเลิกเนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี[15]
Remove ads
ประชากรศาสตร์
ประชากรที่อาศัยอยู่ในนครอาโอโมริหรือมีถิ่นกำเนิดจากเมืองนี้ ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า "อาโอโมเรียน" (Aomorian)[18] จากข้อมูลสำมะโนประชากรของญี่ปุ่น[19] นครอาโอโมริมีจำนวนประชากรค่อนข้างคงที่ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา
Remove ads
การเมืองการปกครอง

นครอาโอโมริใช้การปกครองรูปแบบนายกเทศมนตรี–สภา โดยมีนายกเทศมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และมีสภานครที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติระบบสภาเดี่ยว ประกอบด้วยสมาชิก 35 คน ในแง่ของการเมืองระดับจังหวัด นครอาโอโมริเป็นเขตพื้นที่ที่ให้สมาชิกสภาจังหวัดอาโอโมริจำนวน 10 คน จากทั้งหมด 48 คน และในแง่ของการเมืองระดับชาติ นครอาโอโมริเป็นส่วนหนึ่งของเขตเลือกตั้งที่ 1 ของจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งแบบสมาชิกคนเดียว (single-member district) ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่น เขตเลือกตั้งนี้ยังครอบคลุมถึงนครมุตสึ อำเภอฮิกาชิตสึงารุ อำเภอชิโมกิตะ และครึ่งตอนบนของอำเภอคามิกิตะอีกด้วย[20]
Remove ads
เศรษฐกิจ
อาโอโมริเป็นศูนย์กลางทางการค้าในระดับภูมิภาคของพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดอาโอโมริ ภาคเกษตรกรรมและการประมงมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 4 ของเศรษฐกิจทั้งหมด ขณะที่ภาคการผลิตมีสัดส่วนร้อยละ 16.2 และภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 78.2 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเมืองนี้พึ่งพาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการเป็นหลัก[ต้องการอ้างอิง]
การศึกษา
สรุป
มุมมอง
นครอาโอโมริถือเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่ไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งชาติตั้งอยู่ภายในเมือง โดยมหาวิทยาลัยระดับสูงสุดของจังหวัดตั้งอยู่ที่นครฮิโรซากิซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน
ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นครอาโอโมริมีโรงเรียนประถมในสังกัดเทศบาลทั้งหมด 45 แห่ง และโรงเรียนมัธยมต้นในสังกัดเทศบาลอีก 19 แห่ง นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมัธยมต้นเอกชนอีก 2 แห่ง สำหรับระดับมัธยมปลาย มีโรงเรียนมัธยมปลายของจังหวัดที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการการศึกษาจังหวัดอาโอโมริจำนวน 10 แห่ง และโรงเรียนมัธยมปลายเอกชนอีก 3 แห่ง รวมถึงมีโรงเรียนการศึกษาพิเศษสำหรับผู้พิการอีก 8 แห่ง ซึ่งดูแลโดยจังหวัดเช่นกัน
สถาบันอุดมศึกษา
โรงเรียนมัธยมปลาย
|
โรงเรียนมัธยมต้น
|
Remove ads
การขนส่ง
สรุป
มุมมอง
ท่าอากาศยาน

- ท่าอากาศยานอาโอโมริ ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1964 และเริ่มให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1995 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาทีจากตัวเมืองโดยรถโดยสารประจำทาง มีเที่ยวบินภายในประเทศบินประจำไปยังโตเกียว โอซากะ นาโงยะ และซัปโปโระ และมีเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังโซลและไทเป
- ท่าอากาศยานโอดาเตะ-โนชิโระ ตั้งอยู่ในจังหวัดอากิตะทางตอนเหนือ ซึ่งค่อนข้างห่างจากนครอาโอโมริ ใช้โดยสายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์ (All Nippon Airways) ให้บริการเฉพาะเส้นทางบินไปโตเกียว เนื่องจากสายการบินไม่ได้ให้บริการเส้นทางโตเกียว–อาโอโมริ
รถไฟ

สถานีรถไฟอาโอโมริเป็นสถานีหลักของเมืองมาตั้งแต่ ค.ศ. 1891 โดยเป็นจุดสิ้นสุดของเส้นทางหลัก 2 สายของภูมิภาคโทโฮกุ ได้แก่ สายหลักโทโฮกุ (ปัจจุบันคือ ทางรถไฟสายอาโออิโมริ) และสายหลักโออุ ซึ่งเชื่อมต่อกับนครฮาโกดาเตะผ่านเรือเฟอร์รีเซกัง จนกระทั่งใน ค.ศ. 1988 มีการเปิดใช้งานอุโมงค์เซกังที่เชื่อมระหว่างเกาะฮนชูกับเกาะฮกไกโดโดยตรง สถานีอาโอโมริยังคงทำหน้าที่เชื่อมต่อขบวนรถไฟหลักกับรถไฟท้องถิ่นไปยังฮาโกดาเตะ
สถานีรถไฟชินอาโอโมริเปิดให้บริการใน ค.ศ. 2010 เป็นสถานีปลายทางของโทโฮกุชิงกันเซ็ง ซึ่งให้บริการรถไฟความเร็วสูงไปยังฮาจิโนเฮะ โมริโอกะ เซ็นได และโตเกียว
บริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออก (JR East): โทโฮกุชิงกันเซ็ง
- สถานี: ชินอาโอโมริ
บริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออก (JR East): สายหลักโออุ
- สถานี: อาโอโมริ – ชินอาโอโมริ – สึงารุชินโจ – สึรูงาซากะ – ไดชากะ – นามิโอกะ
บริษัทรถไฟญี่ปุ่นตะวันออก (JR East): สายสึงารุ
- สถานี: อาโอโมริ – อาบูรากาวะ – สึงารุมิยาตะ – โอกูไน – ฮิดาริเซกิ – อูชิโรงาตะ – นากาซาวะ
รถไฟอาโออิโมริ
- สถานี: อาโอโมริ – ฮิงาชิอาโอโมริ – โคยานางิ – ยาดามาเอะ – โนไน – อาซามูชิอนเซ็ง
ทางหลวง
ทางด่วนโทโฮกุ: ทางแยกต่างระดับนามิโอกะ – ทางแยกต่างระดับอาโอโมริ
ทางด่วนอาโอโมริ: ทางแยกต่างระดับอาโอโมริ – ทางแยกต่างระดับอาโอโมริชูโอ – ทางแยกต่างระดับอาโอโมริฮิงาชิ
Michinoku Toll Road
Tsugaru Expressway: ทางแยกต่างระดับนามิโอกะ
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7
- ถนนวงแหวนรอบเมืองอาโอโมริ
- ทางเลี่ยงเมืองอาโอโมริด้านตะวันตก
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 45 (ไม่ได้แสดงป้ายหมายเลข)
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 103
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 280
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 394
ท่าเรือทะเล
- ท่าเรืออาโอโมริ มีบริการเรือข้ามฟากของเซกังเฟอร์รี และสึงารุไคเกียวเฟอร์รี ไปยังนครฮาโกดาเตะ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงต่อเที่ยว โดยตั้งแต่ ค.ศ. 1908 ถึง 1988 เส้นทางเฟอร์รีถือเป็นการขนส่งหลักระหว่างเกาะฮนชูกับเกาะฮกไกโด จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1988 การเปิดใช้งานของอุโมงค์เซกังที่ลอดใต้ช่องแคบสึงารุได้เข้ามาแทนที่การเดินทางด้วยเฟอร์รีแบบเดิมที่ช้ากว่า[ต้องการอ้างอิง]
Remove ads
กีฬา
นครอาโอโมริเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเคอร์ลิงระดับนานาชาติมาหลายครั้ง มีการแข่งขันสองรายการใน ค.ศ. 2003 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เอเชียนเกมส์ฤดูหนาว 2003 นอกจากนี้ทีมเคอร์ลิงหญิงท้องถิ่นที่ชื่อว่า "ทีมอาโอโมริ" ยังได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศญี่ปุ่นในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2006 ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี[21] และโอลิมปิกฤดูหนาว 2010 ที่แวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดาอีกด้วย ในช่วงวันที่ 17–25 มีนาคม ค.ศ. 2007 นครอาโอโมริยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน เวิลด์วีเมนส์เคอร์ลิงแชมเปียนชิป (World Women’s Curling Championships)[22]
สนามกีฬา
- สนามเบสบอลเทศบาลนครอาโอโมริ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ สนามกีฬาในสวนกัปโปะ)
- สนามกีฬาจังหวัดอาโอโมริ
- ลานปั่นจักรยานอาโอโมริ
สวนสาธารณะและนันทนาการ
สวนกัปโปะถือเป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดและโดดเด่นที่สุดของนครอาโอโมริ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของใจกลางเมือง ภายในมีชายหาดสาธารณะ สวนพืชน้ำ ต้นไม้ประดับนานาชนิด และยังเป็นที่ตั้งของสนามเบสบอลของเทศบาลอีกด้วย[23]
นอกจากนี้ยังมีสวนสาธารณะอื่น ๆ ในเมือง เช่น สวนอาโออิโมริ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง,[24] อาโอโมริเซ็นทรัลพาร์ก (Aoimori Central Park) และสวนโนงิวะ[25]
สิ่งที่น่าสนใจในท้องถิ่น



เทศกาลอาโอโมริเนบูตะ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีระหว่างวันที่ 2–7 สิงหาคม เป็นหนึ่งในเทศกาลที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งใน 100 ภูมิทัศน์ทางเสียงแห่งญี่ปุ่น โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น[26] นอกจากนี้ นครอาโอโมริยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ หรือภูเขา โดยเฉพาะเทือกเขาฮักโกดะ ซึ่งเหมาะแก่การเดินป่าและแช่อนเซ็ง เช่น ซูกายุอนเซ็ง[ต้องการอ้างอิง]
- สะพานอ่าวอาโอโมริ
- พิพิธภัณฑ์ป่าไม้เทศบาลนครอาโอโมริ
- พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะพื้นบ้านเทศบาลนครอาโอโมริ
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะจังหวัดอาโอโมริ
- พิพิธภัณฑ์จังหวัดอาโอโมริ
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอาซามูชิ
- อาซามูชิอนเซ็ง
- แหล่งโบราณคดีโคมากิโนะ (โบราณสถานแห่งชาติ)
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะอนุสรณ์มูนากาตะ ชิโกะ
- ซากปราสาทนามิโอกะ (โบราณสถานแห่งชาติ)
- พิพิธภัณฑ์เนบูตะวะรัซเซะ (Nebuta Museum Wa Rasse)
- แหล่งโบราณคดีโอมูริคัตสึยามะ (โบราณสถานแห่งชาติ)
- แหล่งโบราณคดีซันไนมารูยามะ (โบราณสถานแห่งชาติพิเศษ)[27]
- วัดเซรีวจิ
- ถนนชิมมาจิ
- ซูกายุอนเซ็ง
- แหล่งโบราณคดีทากายาชิกิดาเตะ (โบราณสถานแห่งชาติ)
- ศาลเจ้าอูรามาจิชิมเมงู
Remove ads
เมืองพี่น้อง
นครฮาโกดาเตะ ฮกไกโด[28] มีความสัมพันธ์เป็นเมืองแฝดตั้งแต่ ค.ศ. 1989 โดยทั้งสองเมืองมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภายใต้ชื่อ "เขตเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเซกัง"
แก็ชแกเมต เทศมณฑลบาช-กิชกุน ประเทศฮังการี[29] ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1994
นครพย็องแท็ก จังหวัดคย็องกี ประเทศเกาหลีใต้[29] ตั้งแต่ ค.ศ. 1995
นครต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน[29] ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2004
เทศมณฑลซินจู๋ ประเทศไต้หวัน[29] มีสถานะเป็นเมืองมิตรภาพตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2014
บุคคลที่มีชื่อเสียง
- โนริโกะ อาวายะ - นักร้อง
- ทากาฮารุ ฟูรูกาวะ - นักยิงธนู
- ทากาโนริ ฮาตาเกยามะ - นักมวย
- ยูจิ ฮายามิ - นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์
- ชิเงรุ อิซูมิยะ - นักแสดงและผู้ให้ความบันเทิง
- ยาโอะ คิตาบาตาเกะ - นักเขียนวรรณกรรมเยาวชน
- อิจิโร โคจิมะ - ช่างภาพ
- อิบูกิ คิโดะ - นักพากย์
- ไดมาโอ โคซากะ - นักแสดงตลก (รู้จักจาก "พีพีเอพี (เพนไพน์แอปเปิลแอปเปิลเพน)")
- ไดซูเกะ มัตสึซากะ - นักเบสบอล
- เคโซ มิอูระ - นักเล่นสกี
- ยูอิจิโร มิอูระ - นักเล่นสกี (บิดาของเคโซ)
- ชิโก มูนากาตะ - ศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้
- โคได นาราโอกะ - นักแบดมินตัน
- เร็ง นาริตะ - นักมวยปล้ำ
- ฮิโตชิ ไซโต - นักยูโด
- เคียวอิจิ ซาวาดะ - ช่างภาพ
- อากิมิตสึ ทากางิ - นักเขียนนวนิยายอาชญากรรม
- บูชูยามะ ทากาชิ - นักซูโม่
- คิโยชิ ทานาเบะ - นักมวยอาชีพ
- ชูจิ เทรายามะ - ศิลปินสมัยใหม่
- ทากาโนซาโตะ โทชิฮิเดะ - นักซูโม่
- ไดโงะ อูเมฮาระ - นักแข่งวิดีโอเกมต่อสู้ระดับโลก
- รีวชิ ยานางิซาวะ - นักมวยปล้ำและนักศิลปะการต่อสู้แบบผสม
- อากิโกะ ยาโนะ - นักร้อง-นักแต่งเพลง
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads