คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ฮกไกโด

เกาะของญี่ปุ่น จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ฮกไกโดmap
Remove ads

ฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道; โรมาจิ: Hokkaidō; ออกเสียง: [hok.kaꜜi.doː] ; แปลตรงตัว'มณฑลทะเลเหนือ'; ไอนุ: アィヌ・モシリ; Ainu Mosir; อัยนูโมซีร์; แปลตรงตัว'แผ่นดินของชาวไอนุ')[3] เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศญี่ปุ่น รองจากเกาะฮนชู และเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ทางเหนือสุดของประเทศ และมีสถานะเป็นภูมิภาคในตัวเอง[4] มีช่องแคบสึงารุเป็นพรมแดนธรรมชาติที่แยกฮกไกโดออกจากเกาะฮนชู โดยทั้งสองเกาะเชื่อมต่อกันด้วยทางรถไฟผ่านอุโมงค์เซกัง

ข้อมูลเบื้องต้น ฮกไกโด 北海道アイヌ モシㇼ / Ainu Mosir, การถอดเสียงภาษาญี่ปุ่น ...

เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของฮกไกโดคือ นครซัปโปโระ ซึ่งเป็นเมืองเดียวในเกาะที่ได้รับการจัดตั้งเป็นนครใหญ่ที่รัฐกำหนด ฮกไกโดเป็นเขตที่มีคนอาศัยอยู่เบาบาง มีประชากรทั้งเกาะประมาณ 5 ล้านคน คนส่วนใหญ่ย้ายมาจากเกาะฮนชูเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน โดยเป็นแหล่งที่ซามูไรแพ้สงครามจึงต้องหนีมาอยู่ที่เกาะนี้

เกาะฮกไกโดตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเกาะซาฮาลิน ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือประมาณ 43 กิโลเมตร (27 ไมล์) ส่วนทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะคูริล ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของประเทศรัสเซีย แม้ว่าเกาะทางใต้สี่เกาะของหมู่เกาะดังกล่าวจะถูกอ้างสิทธิ์โดยญี่ปุ่นก็ตาม ตำแหน่งที่ตั้งของฮกไกโดที่อยู่ตอนเหนือสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่นทำให้มีภูมิอากาศที่หนาวเย็น โดยในฤดูหนาวจะมีหิมะตกหนัก โดยเฉลี่ยจะมีหิมะท่วมอยู่ทั่วไปประมาณ 4–6 เดือน มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง −20 ถึง 5 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิระหว่าง 15 ถึง 30 องศาเซลเซียส แม้สภาพอากาศจะค่อนข้างรุนแรง แต่ฮกไกโดก็ยังเป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญของประเทศ ภูมิประเทศของฮกไกโดส่วนใหญ่เป็นภูเขา ในบริเวณที่ราบลุ่มก็จะเป็นเมืองที่คนอาศัย โดยจะหนาแน่นในบริเวณเมืองซัปโปโระ ซึ่งมีอากาศอุ่นกว่าบริเวณอื่น ๆ ของเกาะ แต่ก็ยังหนาวกว่าภูมิภาคอื่นของเกาะฮนชู ฮกไกโดเป็นเกาะที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ชาวญี่ปุ่นจากส่วนที่อื่น ๆ ของประเทศจึงนิยมมาตากอากาศหรือย้ายมาอาศัยและทำงานเป็นจำนวนมาก

ฮกไกโดเคยมีชื่อเรียกในอดีตว่า เอโซะ เยโซะ หรือ เยซโซะ[5] แม้ชาวญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งถิ่นฐานที่ปลายทางใต้สุดของเกาะตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ในอดีตพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะมีชาวไอนุเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานหลัก[6] ใน ค.ศ. 1869 หลังจากการปฏิรูปเมจิ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ผนวกเกาะทั้งเกาะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ตั้งอาณานิคม และเปลี่ยนชื่อเป็น "ฮกไกโด"[7][8][9][10][11][12] ชาวญี่ปุ่นได้ยึดครองที่ดินของชาวไอนุ และบังคับให้พวกเขากลืนกลายทางวัฒนธรรม[6][10] จนเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 21 ชาวไอนุได้ถูกกลืนกลายเข้าสู่สังคมญี่ปุ่นแทบทั้งหมด ส่งผลให้คนญี่ปุ่นเชื้อสายไอนุส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่มีความรู้เกี่ยวกับรากเหง้าหรือวัฒนธรรมของตนเองอีกต่อไป[13][14][15]

Remove ads

ชื่อ

สรุป
มุมมอง

เมื่อรัฐบาลเมจิจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนา ได้มีการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเดิมของดินแดน "เอโซจิ" โดยมัตสึอูระ ทาเกชิโรเสนอชื่อให้รัฐบาลเลือก 6 ชื่อ ซึ่งรวมถึงชื่ออย่าง "ไคโฮกูโด" (ญี่ปุ่น: 海北道; โรมาจิ: Kaihokudō) และ "ฮกไกโด" (ญี่ปุ่น: 北加伊道; โรมาจิ: Hokkaidō) รัฐบาลในขณะนั้นตัดสินใจเลือกใช้ชื่อ "ฮกไกโด" แต่เลือกเขียนด้วยอักษรว่า 北海道 โดยถือเป็นการประนีประนอมระหว่างชื่อ 海北道 และ 北加伊道 เพราะมีความคล้ายคลึงกับชื่อเส้นทางโบราณอย่าง "โทไกโด" (ญี่ปุ่น: 東海道; โรมาจิ: Tōkaidō) ตามคำกล่าวของมัตสึอูระ ชื่อฮกไกโดถูกคิดขึ้นเนื่องจากชาวไอนุเรียกพื้นที่นี้ว่า "ไค" และคำว่า "ไค" นี้ยังสอดคล้องกับการอ่านแบบจีน (องโยมิ) ของตัวอักษร 蝦夷 (องโยมิ อ่านว่า "คาอิ" [ka.i, カイ], คุงโยมิ อ่านว่า "เอมิชิ" [e.mi.ɕi, えみし]) ซึ่งใช้เรียกชาวไอนุและกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้องทั้งในจีนและญี่ปุ่นมานานนับพันปี จึงเป็นไปได้ว่า "ไค" ของมัตสึอูระได้รับอิทธิพลมาจากการอ่านแบบจีนของ 蝦夷 (Ka-i) หรืออาจเป็นการดัดแปลงมาจากคำภายนอก (exonym) ที่ชาวนีฟค์ใช้เรียกชาวไอนุ ซึ่งออกเสียงว่า Qoy หรือ เสียงอ่านภาษาGilyak: [kʰuɣɪ][16]

ใน ค.ศ. 1947 ฮกไกโดได้กลายเป็นจังหวัดของประเทศญี่ปุ่นอย่างเต็มรูปแบบ คำว่า 道 (-โด) ซึ่งแปลตรงตัวว่า "เส้นทาง" หรือ "ทาง" นั้น แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "prefecture" (จังหวัด) เช่นเดียวกับคำว่า 府 (-ฟุ) (府) ที่ใช้ในจังหวัดโอซากะและจังหวัดเกียวโต และ 県 (-เค็ง) ที่ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม โด ยังสามารถใช้เป็นตัวย่อเฉพาะของฮกไกโด เช่นในคำว่า 道道 (โดโด) หมายถึง "ถนนฮกไกโด"[17] หรือ 道議会 (โดงิไก) หมายถึง "สภาฮกไกโด"[18] คล้ายกับที่คำว่า 都 (-โทะ) ใช้แทนโตเกียว องค์การบริหารจังหวัดนี้เรียกตัวเองว่า "องค์การบริหารฮกไกโด" (Hokkaidō Government) แทนที่จะเรียกว่า "องค์การบริหารจังหวัดฮกไกโด" (Hokkaidō Prefectural Government)

ในช่วงที่ขบวนการเรียกร้องสิทธิชนพื้นเมืองเริ่มเข้มแข็งขึ้น จึงเกิดแนวคิดว่า "ฮกไกโด" ควรมีชื่อในภาษาไอนุ หากมีการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อขึ้นจริง คำศัพท์ของชาวไอนุที่อาจนำมาใช้ก็มีอยู่หลายคำ แต่คำเหล่านี้มักมีความหมายเดิมที่แตกต่างจากพื้นที่ภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่ในปัจจุบันอย่างชัดเจน คำว่า ไอนุโมชิร์ (アイヌモシㇼ; aynumosir) เป็นคำที่นักเคลื่อนไหวชาวญี่ปุ่นนิยมใช้[19] โดยมีความหมายหลักว่า "ดินแดนของมนุษย์" (ตรงข้ามกับ คามุยโมชิร์ (kamuymosir) ที่หมายถึง "ดินแดนของเทพเจ้า") เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ ชิซัมโมชิร์ (sisammosir; ดินแดนของเพื่อนบ้าน ซึ่งมักหมายถึงเกาะฮนชูหรือพื้นที่ที่ญี่ปุ่นตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ของเกาะฮกไกโด) คำว่า ไอนุโมชิร์ จึงหมายถึง "ดินแดนของชาวไอนุ" ซึ่งอาจสื่อถึงฮกไกโดได้[20] ทั้งนี้ หากมองจากมุมมองชาติพันธุ์ทางภาษาศาสตร์สมัยใหม่ พื้นที่ของชาวไอนุในอดีตได้ขยายครอบคลุมไปถึงเกาะซาฮาลินและหมู่เกาะคูริลทั้งหมด อีกคำหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นคือ ยาอุนโมชิร์ (ヤウンモシㇼ; yaunmosir) ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ดินแดนฝั่งแผ่นดิน" (ตรงข้ามกับ เรปุนโมชิร์ (repunmosir) หมายถึง "ดินแดนฝั่งทะเล") โดยขึ้นอยู่กับบริบท คำนี้อาจหมายถึงหมู่เกาะคูริล เกาะฮนชู หรือประเทศต่างชาติใด ๆ ก็ได้ หากผู้พูดอาศัยอยู่บนฮกไกโด ยาอุนโมชิร์ ก็อาจหมายถึงฮกไกโด[21] อีกคำหนึ่งคือ อาโคร์โมชิร์ (アコㇿモシㇼ; akor mosir) ซึ่งมีความหมายว่า "ดินแดนของพวกเรา" (ในความหมายรวมทั้งหมด) เมื่อนำมาใช้โดยชาวไอนุในฮกไกโด คำนี้อาจหมายถึงฮกไกโด หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่นทั้งหมดก็ได้[20]

Remove ads

ประวัติศาสตร์

สรุป
มุมมอง

ประวัติศาสตร์ยุคต้น

ในช่วงยุคโจมง วัฒนธรรมท้องถิ่นและวิถีชีวิตแบบเก็บของป่าล่าสัตว์บนเกาะฮกไกโดมีความรุ่งเรือง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 15,000 ปีก่อน แตกต่างจากเกาะฮนชูที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ฮกไกโดในช่วงเวลาดังกล่าวกลับไม่ปรากฏหลักฐานของความขัดแย้งเลย มีทฤษฎีที่ว่า ความเชื่อเรื่องวิญญาณในธรรมชาติของชาวโจมงเป็นต้นกำเนิดของความเชื่อทางจิตวิญญาณของชาวไอนุในเวลาต่อมา ประมาณ 2,000 ปีก่อน มีการอพยพของชาวยาโยอิขึ้นมาบนเกาะ ส่งผลให้ประชากรส่วนหนึ่งเริ่มเปลี่ยนจากการล่าสัตว์มาเป็นการเพาะปลูกแทน[22]

เอกสารนิฮงโชกิ ซึ่งแล้วเสร็จใน ค.ศ. 720 มักถูกยกให้เป็นบันทึกครั้งแรกของฮกไกโดในประวัติศาสตร์ที่มีการจดบันทึก เขียนไว้ว่าในช่วง ค.ศ. 658–660 อาเบะ โนะ ฮิราฟุ[23] ได้นำกองทัพเรือและกองทัพบกขนาดใหญ่ขึ้นไปยังพื้นที่ทางเหนือ และได้ติดต่อกับชนเผ่ามิชิฮาเซะและเอมิชิ หนึ่งในสถานที่ที่ฮิราฟุเดินทางไปคือ วาตาริชิมะ (ญี่ปุ่น: 渡島; โรมาจิ: Watarishima) ซึ่งมักเชื่อกันว่าเป็นฮกไกโดในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องที่ตั้งของวาตาริชิมะ และความเชื่อที่ว่าเอมิชิในพื้นที่ดังกล่าวคือบรรพบุรุษของชาวไอนุในปัจจุบัน[ต้องการอ้างอิง]

ในช่วงยุคนาระและเฮอัง (ค.ศ. 710–1185) ผู้คนในฮกไกโดมีการติดต่อค้าขายกับแคว้นเดวะ ซึ่งเป็นด่านหน้าของรัฐบาลกลางญี่ปุ่นในขณะนั้น ตั้งแต่ยุคศักดินาเป็นต้นมา ชาวฮกไกโดเริ่มถูกเรียกว่า เอโซะ (蝦夷) ต่อมาจึงมีการเรียกเกาะนี้ว่า เอโซจิ (ญี่ปุ่น: 蝦夷地; โรมาจิ: Ezochi; แปลตรงตัวว่า "แผ่นดินเอโซะ")[24] หรือ เอโซงาชิมะ (ญี่ปุ่น: 蝦夷ヶ島; โรมาจิ: Ezogashima; แปลตรงตัวว่า "เกาะของเอโซะ") ชาวเอโซะยังคงดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาปลา โดยได้ข้าวและเหล็กผ่านการค้าขายกับชาวญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง]

ญี่ปุ่นในยุคศักดินา

Thumb
พิธีต้อนรับของวังใกล้เมืองฮาโกดาเตะใน ค.ศ. 1751 ชาวไอนุนำของขวัญมามอบ (พิธีกรรมทักทายของชาวไอนุที่เรียกว่า โอมูชะ)

ในช่วงยุคมูโรมาจิ (ค.ศ. 1336–1573) ชาวญี่ปุ่นได้ตั้งถิ่นฐานขึ้นทางตอนใต้ของคาบสมุทรโอชิมะ โดยมีการสร้างที่พักอาศัยแบบป้อมปราการหลายแห่ง เช่น ป้อมชิโนริดาเตะ เมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามามากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจากทางใต้ ก็เริ่มเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวไอนุ และลุกลามไปสู่สงครามในที่สุด ใน ค.ศ. 1457 ทาเกดะ โนบูฮิโระ (ค.ศ. 1431–1494) ได้สังหารผู้นำชาวไอนุชื่อโคชามาอิง[23] และปราบกองกำลังฝ่ายตรงข้ามลงได้ ลูกหลานของโนบูฮิโระต่อมาได้กลายเป็นผู้นำของแคว้นมัตสึมาเอะ (มัตสึมาเอะฮัง) ซึ่งได้รับสิทธิผูกขาดในการค้าขายกับชาวไอนุในยุคอาซูจิ–โมโมยามะและยุคเอโดะ (ค.ศ. 1568–1868) เศรษฐกิจของตระกูลมัตสึมาเอะพึ่งพาการค้าขายกับชาวไอนุซึ่งมีเครือข่ายการค้ากว้างขวาง[25] ตระกูลมัตสึมาเอะมีอำนาจปกครองดินแดนตอนใต้ของเอโซจิเรื่อยมาจนสิ้นสุดยุคเอโดะ[ต้องการอ้างอิง]

Thumb
ซามูไรและชาวไอนุ ราว ค.ศ. 1775

การปกครองของตระกูลมัตสึมาเอะเหนือชาวไอนุควรเข้าใจในบริบทของการขยายตัวของรัฐศักดินาญี่ปุ่น[ต้องการอ้างอิง] ผู้นำทหารในแถบฮนชูตอนเหนือ เช่น ตระกูลฟูจิวาระฝ่ายเหนือ และตระกูลอากิตะ มีความสัมพันธ์ทางการเมืองและวัฒนธรรมกับราชสำนักและรัฐบาลโชกุนเพียงเล็กน้อย (รัฐบาลโชกุนคามากูระ และรัฐบาลโชกุนอาชิกางะ) บางครั้งผู้นำเหล่านี้กำหนดบทบาทของตนเองในระบบศักดินา เช่น การใช้ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับโชกุน และในบางกรณีก็ใช้ตำแหน่งที่ดูเหมือนไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นด้วยซ้ำ อันที่จริง ผู้นำศักดินาหลายคนมีเชื้อสายมาจากผู้นำทางทหารของเผ่าเอมิชิซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมญี่ปุ่น[26] ตระกูลมัตสึมาเอะมีเชื้อสายยามาโตะ เช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นโดยทั่วไป ส่วนชาวเอมิชิในฮนชูตอนเหนือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่าง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับชาวไอนุ ชาวเอมิชิถูกพิชิตและผนวกรวมเข้ากับรัฐญี่ปุ่นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ส่งผลให้วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของพวกเขาค่อย ๆ เลือนหายไปในฐานะชนกลุ่มน้อย เมื่อถึงยุคที่ตระกูลมัตสึมาเอะปกครองชาวไอนุ ชาวเอมิชิจำนวนมากได้กลายเป็นกลุ่มผสมเชื้อชาติ และมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับชาวญี่ปุ่นมากกว่าชาวไอนุ ทฤษฎี "การเปลี่ยนแปลง" (Transformation theory) เสนอว่าชาวโจมงพื้นเมืองได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีผู้อพยพชาวยาโยอิเข้ามาในภูมิภาคโทโฮกุของเกาะฮนชูตอนเหนือ ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎี "การแทนที่" (Replacement theory) ที่เชื่อว่าชาวโจมงถูกแทนที่โดยชาวยาโยอิอย่างสิ้นเชิง[27]

Thumb
กลุ่มชาวไอนุในช่วงการกบฏของชากูชาอิง (ค.ศ. 1669–1672)

ชาวไอนุได้ลุกฮือต่อต้านการปกครองแบบศักดินาหลายครั้ง การต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดคือกบฏของชากูชาอิง (Shakushain) ในช่วง ค.ศ. 1669–1672 ต่อมาใน ค.ศ. 1789 ก็เกิดการก่อกบฏขนาดเล็กในนาม กบฏเมนาชิ–คูนาชิริ (Menashi–Kunashir) ซึ่งถูกรัฐญี่ปุ่นปราบปราม หลังจากการกบฏครั้งนั้น คำว่า "ชาวญี่ปุ่น" และ "ชาวไอนุ" ได้กลายเป็นกลุ่มที่แยกกันอย่างชัดเจน และตระกูลมัตสึมาเอะก็ถูกมองว่าเป็นชาวญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์

Thumb
มัตสึมาเอะ ทากาฮิโระ ไดเมียวแห่งตระกูลมัตสึมาเอะในช่วงปลายยุคเอโดะ (10 ธันวาคม ค.ศ. 1829 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 1866)

จอห์น เอ. แฮร์ริสัน (John A. Harrison) จากมหาวิทยาลัยฟลอริดาระบุว่า ก่อน ค.ศ. 1868 ญี่ปุ่นใช้หลักภูมิศาสตร์ใกล้ชิดเป็นเหตุผลในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือฮกไกโด ซาฮาลิน และหมู่เกาะคูริล อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่เคยสำรวจ ปกครอง หรือใช้ประโยชน์จากพื้นที่เหล่านี้อย่างทั่วถึง การอ้างกรรมสิทธิ์จึงถูกท้าทายจากการที่รัสเซียขยายอิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตั้งถิ่นฐานที่คัมชัตกา (ตั้งแต่ ค.ศ. 1699), ซาฮาลิน (คริสต์ทศวรรษ 1850) และชายฝั่งทะเลโอค็อตสค์ (ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1640 เป็นต้นมา)[28]

ก่อนการปฏิรูปเมจิใน ค.ศ. 1868 รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันพื้นที่ภาคเหนือจากการรุกรานของรัสเซีย จึงเข้าควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ของเอโซจิในช่วง ค.ศ. 1855–1858[29] ชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งมองว่าชาวไอนุ "ไม่ใช่มนุษย์ และเป็นลูกหลานของสุนัขที่ต่ำต้อย"[10][30] รัฐบาลโทกูงาวะได้พยายามใช้มาตรการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับชาวไอนุเป็นระยะ ๆ เนื่องจากมองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม[10] ตัวอย่างหนึ่งคือในช่วงที่มีภัยคุกคามจากรัสเซีย เช่น กรณีคณะสำรวจของลักซ์มัน [ru] (Laxman expedition) ใน ค.ศ. 1793 และเหตุการณ์โกโลฟนิน (Golovnin Incident) ใน ค.ศ. 1804[10] โทกูงาวะได้เริ่มมาตรการผสมกลมกลืน แต่เมื่อภัยคุกคามลดลง รัฐบาลก็ยุติแผนการเหล่านี้[10] จนกระทั่ง ค.ศ. 1855 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาชิโมดะ ซึ่งกำหนดเขตแดนระหว่างจักรวรรดิรัสเซียกับญี่ปุ่น รัฐบาลโทกูงาวะจึงกลับมามองว่ารัสเซียเป็นภัยต่ออธิปไตยของญี่ปุ่นเหนือฮกไกโดอีกครั้ง และฟื้นฟูมาตรการผสมกลมกลืนกับชาวไอนุขึ้นมาใหม่[10]

ยุคเมจิ

การตั้งอาณานิคมในฮกไกโด

ก่อนเข้าสู่ยุคเมจิ เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า "เอโซจิ" ซึ่งสามารถแปลได้ว่า "ดินแดนของคนป่าเถื่อน" หรือ "ดินแดนของผู้ไม่เชื่อฟังรัฐบาล"[31] ไม่นานหลังสงครามโบชินใน ค.ศ. 1868 กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อโชกุนโทกูงาวะซึ่งนำโดยเอโนโมโตะ ทาเกอากิ ได้เข้ายึดครองเกาะชั่วคราว (รัฐดังกล่าวมักเรียกกันว่า "สาธารณรัฐเอโซะ" แม้ไม่ถูกต้องนัก) แต่การกบฏดังกล่าวก็ถูกปราบในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1869 หลังจากนั้น เอโซะจิจึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนญี่ปุ่นผ่านกระบวนการแบบอาณานิคม[32][10][12][11] ต่อมาเอโซจิอยู่ภายใต้การปกครองขององค์การบริหารจังหวัดฮาโกดาเตะ เมื่อรัฐบาลเมจิจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนา (ญี่ปุ่น: 開拓使; โรมาจิ: Kaitakushi; ทับศัพท์: ไคตากูชิ) ก็ได้มีการกำหนดชื่อใหม่ให้กับเกาะนี้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1869 เป็นต้นมา เกาะแห่งนี้จึงมีชื่อว่า "ฮกไกโด" ซึ่งสามารถแปลได้ว่า "เส้นทางทะเลทางเหนือ"[5] และมีการจัดตั้งหน่วยการปกครองในระดับแคว้น ได้แก่ แคว้นโอชิมะ ชิริเบชิ อิบูริ อิชิการิ เทชิโอะ คิตามิ ฮิดากะ โทกาจิ คูชิโระ เนมูโระ และแคว้นชิชิมะ[33]

Thumb
ป้อมโกเรียวกากุในเมืองฮาโกดาเตะ

แนวคิดในการตั้งอาณานิคมในเอโซะ ซึ่งต่อมากลายเป็นฮกไกโดนั้น เริ่มต้นใน ค.ศ. 1869 โดยผู้สนับสนุนฝ่ายญี่ปุ่นได้เสนอว่า การตั้งอาณานิคมในเอโซะจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างอำนาจและสถานะของญี่ปุ่นบนเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจากับชาติตะวันตก เช่น รัสเซีย[34] รัฐบาลเมจิจึงลงทุนอย่างมากในการพัฒนาเกาะฮกไกโดด้วยเหตุผลหลายประการ[35] หนึ่งคือเพื่อยืนยันอำนาจการควบคุมพื้นที่ดังกล่าวไว้เป็นแนวกันชนต่อภัยคุกคามจากรัสเซีย[35] ประการที่สองคือฮกไกโดมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น ถ่านหิน ไม้ ปลา และผืนดินอุดมสมบูรณ์[35] และประการสุดท้าย เนื่องจากการขยายอาณานิคมเป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติภูมิในสายตาชาติตะวันตก ญี่ปุ่นจึงมองว่าการพัฒนาเกาะฮกไกโดเป็นโอกาสในการแสดงตนในฐานะชาติสมัยใหม่ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับชาติตะวันตก[35]

Thumb
ชาวไอนุ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของฮกไกโด

วัตถุประสงค์หลักของคณะกรรมการพัฒนาคือการยึดครองฮกไกโดไว้ก่อนที่รัสเซียจะขยายอำนาจทางตะวันออกไกลเกินกว่าเมืองวลาดีวอสตอค ในช่วงแรก ญี่ปุ่นไม่สามารถตั้งถิ่นฐานในที่ราบภายในเกาะได้ เนื่องจากการต่อต้านจากชนพื้นเมือง[36] การต่อต้านนั้นถูกปราบในเวลาต่อมา และพื้นที่ราบก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการพัฒนา[36] เป้าหมายสำคัญที่สุดของญี่ปุ่นคือการเพิ่มจำนวนประชากรที่ทำเกษตรกรรม และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอพยพและตั้งถิ่นฐาน[36] อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นในขณะนั้นยังขาดความรู้ด้านเกษตรกรรมสมัยใหม่ และมีเพียงเทคนิคพื้นฐานในการทำเหมืองและการตัดไม้[36] รัฐบาลจึงมอบหมายให้คูโรดะ คิโยตากะ เป็นผู้นำโครงการนี้ ซึ่งเขาได้หันไปขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา[36]

ขั้นแรก คูโรดะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและชักชวนฮอเรซ แคปรอน กรรมาธิการการเกษตรของประธานาธิบดี ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ ให้มาร่วมงาน ระหว่าง ค.ศ. 1871–1873 แคปรอนพยายามเผยแพร่ความรู้ด้านเกษตรกรรมและเหมืองแร่แบบตะวันตก แม้จะประสบผลสำเร็จเพียงบางส่วนก็ตาม ด้วยความไม่พอใจต่ออุปสรรคต่าง ๆ แคปรอนจึงเดินทางกลับประเทศใน ค.ศ. 1875 ต่อมาใน ค.ศ. 1876 วิลเลียม เอส. คลาร์ก ได้เดินทางมาจัดตั้งวิทยาลัยเกษตรในเมืองซัปโปโระ แม้เขาจะอยู่เพียงหนึ่งปี แต่คลาร์กก็ได้ฝากอิทธิพลไว้ในฮกไกโดอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการเกษตรและการเผยแผ่ศาสนาคริสต์[37] คำกล่าวลาอันโด่งดังของเขา "Boys, be ambitious!" (เด็ก ๆ จงทะเยอทะยาน!) ยังคงปรากฏอยู่บนอาคารสาธารณะในฮกไกโดจนถึงทุกวันนี้ จำนวนประชากรของฮกไกโดเพิ่มขึ้นจาก 58,000 คน เป็น 240,000 คนในช่วงทศวรรษนั้น[38]

คูโรดะว่าจ้างแคปรอนด้วยเงินค่าตอบแทนปีละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภารกิจครั้งนี้ รัฐบาลเมจิและคูโรดะน่าจะให้ความสนใจในประสบการณ์ของแคปรอนเกี่ยวกับการตั้งอาณานิคม โดยเฉพาะบทบาทของเขาในการบังคับโยกย้ายชาวอเมริกันพื้นเมืองจากรัฐเทกซัสไปยังดินแดนใหม่หลังสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน[39] แคปรอนได้นำแนวทางเกษตรกรรมแบบลงทุนสูงจากอเมริกามาใช้ในฮกไกโด เช่น การใช้เครื่องมือแบบตะวันตก การนำเข้าเมล็ดพันธุ์พืชจากยุโรป และการนำเข้าสัตว์เลี้ยงจากต่างประเทศ รวมถึงวัวสายพันธุ์นอร์ทเดวอนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเขา[8] เขายังได้จัดตั้งฟาร์มทดลอง สำรวจแหล่งแร่และความเหมาะสมทางเกษตรกรรม และผลักดันให้มีการพัฒนาเรื่องแหล่งน้ำ โรงสี และเส้นทางคมนาคมในฮกไกโดอีกด้วย[8]

การตั้งถิ่นฐานของชาวญี่ปุ่นในฮกไกโดเป็นกระบวนการอาณานิคมโดยรัฐ ซึ่งได้รับการจัดการและสนับสนุนจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา[39] ตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 ถึง 1880 ผู้นำญี่ปุ่นได้มุ่งเน้นการตั้งถิ่นฐานในฮกไกโดอย่างเป็นระบบ โดยอพยพอดีตซามูไร บริวารของซามูไร และประชาชนทั่วไป รวมถึงชาวนาและชาวไร่ เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พร้อมมอบที่ดินฟรี และความช่วยเหลือทางการเงิน[39] การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากองค์ความรู้ของที่ปรึกษาชาวอเมริกันซึ่งนำเทคโนโลยีด้านการตั้งอาณานิคมมาใช้ ทำให้ฮกไกโดกลายเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อเป้าหมายของทุนนิยมญี่ปุ่น[39]

ผู้นำญี่ปุ่นได้รับแรงบันดาลใจจากรูปแบบอาณานิคมแบบตั้งถิ่นฐานของสหรัฐอเมริกาในระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการ[35] เจ้าหน้าที่ฝ่ายอาณานิคมของญี่ปุ่นเรียนรู้เทคนิคการตั้งอาณานิคมจากชาติจักรวรรดินิยมตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา หนึ่งในเทคนิคเหล่านี้คือการประกาศให้พื้นที่ขนาดใหญ่ของฮกไกโดเป็นที่ดินร้าง ซึ่งถูกใช้เป็นข้ออ้างในการยึดครองและไล่ที่ชาวไอนุ[35][40] ญี่ปุ่นได้จัดตั้งคณะกรรมการการตั้งถิ่นฐานฮกไกโด (Hokkaido Colonization Board) ขึ้นใน ค.ศ. 1869 หนึ่งปีหลังเริ่มต้นยุคเมจิ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้ชาวญี่ปุ่นจากแผ่นดินใหญ่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในฮกไกโด[41] ผลที่ตามมาคือเกาะฮกไกโดถูกอาณานิคมโดยญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์[40] ด้วยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม รัฐบาลเมจิได้ยึดพื้นที่อุดมสมบูรณ์และเขตทรัพยากรแร่ต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของชาวไอนุที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นมาแต่เดิม[40] รัฐบาลได้ออกกฎหมายและดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวญี่ปุ่น และตัดสิทธิของชาวไอนุจากที่ดินดั้งเดิมและวิถีการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมของตนเอง[40]

พระราชบัญญัติคุ้มครองชาวพื้นเมืองเดิมแห่งฮกไกโด ค.ศ. 1899 (北海道旧土人保護法公布) ยิ่งซ้ำเติมความยากจนและการถูกกีดกันของชาวไอนุ โดยบังคับให้พวกเขาย้ายออกจากถิ่นฐานเดิมไปอยู่ในพื้นที่ภูเขาที่กันดารกลางเกาะ[42][43] กฎหมายนี้ยังห้ามชาวไอนุล่าสัตว์และจับปลา ซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของพวกเขาอีกด้วย[44] ในสายตารัฐบาล ชาวไอนุถูกมองว่าเป็นเพียงแรงงานราคาถูก นโยบายการผสมกลมกลืนที่เลือกปฏิบัตินี้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกต่ำต้อย และส่งผลให้เกิดความยากจนและโรคภัยในชุมชนไอนุ[45] ปัญหาเหล่านี้ยังทำให้เกิดแนวโน้มของการอพยพ ชาวไอนุจำนวนมากหันไปทำงานกับรัฐบาลหรือภาคเอกชน ซึ่งมักได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย ไม่พอเลี้ยงดูครอบครัว[40]

รัฐบาลเมจิยังได้ดำเนินแผนการกลืนกลายทางวัฒนธรรมอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายไม่เพียงแต่จะผสมกลมกลืนชาวไอนุเข้าสู่สังคมญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังต้องการลบเลือนภาษาและวัฒนธรรมของชาวไอนุอย่างสิ้นเชิง[40] พวกเขาถูกบังคับให้ใช้ชื่อและภาษาญี่ปุ่น และวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเขาค่อย ๆ ถูกกัดเซาะลง[42] เด็กไอนุถูกห้ามไม่ให้พูดภาษาของตน และในโรงเรียนก็มีการสอนแต่ภาษาญี่ปุ่น[46] ด้วยการตีตราอย่างแพร่หลาย ชาวไอนุจำนวนมากจึงต้องปกปิดรากเหง้าของตนเอง[42] องค์การยูเนสโกจัดให้ภาษาไอนุเป็นภาษาที่อยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างยิ่ง[47] ด้วยอำนาจทางการเมืองเต็มรูปแบบของรัฐเมจิเหนือเกาะฮกไกโด การกดขี่ชนพื้นเมือง การเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ และการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรอย่างทะเยอทะยาน ฮกไกโดจึงกลายเป็นอาณานิคมแบบตั้งถิ่นฐานที่ประสบความสำเร็จเพียงแห่งเดียวของญี่ปุ่น[40]

หลังจากการตั้งอาณานิคมฮกไกโด รัฐบาลเมจิได้พึ่งพาแรงงานนักโทษเพื่อเร่งกระบวนการพัฒนา[10] ญี่ปุ่นได้สร้างเรือนจำสามแห่ง และเปลี่ยนฮกไกโดให้เป็น "เกาะคุก" โดยคุมขังนักโทษทางการเมืองและใช้พวกเขาเป็นแรงงาน[10] ในพิธีเปิดเรือนจำแห่งแรก รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อสถานที่จากชื่อดั้งเดิมของชาวไอนุว่า "ชิเบ็ตสึปูโตะ" เป็นชื่อญี่ปุ่นว่า "สึกิงาตะ" ซึ่งเป็นความพยายามในการ "แผลงให้เป็นญี่ปุ่น" ในชื่อภูมิศาสตร์ของฮกไกโด[10] เรือนจำแห่งที่สองตั้งอยู่ใกล้เหมืองถ่านหินโฮกูตังโฮโรไน ซึ่งชาวไอนุถูกบังคับให้ทำงาน[10] แรงงานนักโทษราคาถูกมีบทบาทสำคัญในกิจการเหมืองถ่านหินและกำมะถัน รวมถึงการสร้างถนนในฮกไกโด[10] ในเวลาต่อมา แรงงานรูปแบบอื่น ๆ เช่น แรงงานสัญญาผูกมัด แรงงานชาวเกาหลี แรงงานเด็ก และแรงงานหญิง ได้เข้ามาแทนที่แรงงานนักโทษ[10] อย่างไรก็ตาม สภาพการทำงานยังคงยากลำบากและเสี่ยงอันตราย การเปลี่ยนผ่านของญี่ปุ่นสู่ระบบทุนนิยมต้องพึ่งพาการเติบโตของภาคเหมืองถ่านหินในฮกไกโดอย่างมาก ความสำคัญของถ่านหินจากฮกไกโดเพิ่มขึ้นตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเหมืองเหล่านี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก[10]

สงครามโลกครั้งที่สอง

ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 ท่าเรือ เมือง และสิ่งปลูกสร้างทางทหารหลายแห่งในฮกไกโดถูกโจมตีโดยกองเรือที่ 38 ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14–15 กรกฎาคม เครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินของกองเรือดังกล่าวได้ทำให้เรือจำนวนมากในท่าเรือตามแนวชายฝั่งตอนใต้ของฮกไกโดจมลงและถูกทำลาย รวมถึงในภาคเหนือของเกาะฮนชู นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เรือรบสามลำและเรือลาดตระเวนเบาอีกสองลำได้ยิงถล่มเมืองมูโรรัง[48] ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมจำนนอย่างเป็นทางการ สหภาพโซเวียตได้เตรียมการเพื่อรุกรานฮกไกโด แต่ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ของสหรัฐอเมริกาได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่า การยอมจำนนของหมู่เกาะหลักทั้งหมดของญี่ปุ่นจะถูกยอมรับโดยพลเอกดักลาส แมกอาเธอร์ตามปฏิญญาไคโร ค.ศ. 1943[49]

ปัจจุบัน

ฮกไกโดได้รับสถานะเท่าเทียมกับจังหวัดอื่น ๆ ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1947 เมื่อพระราชบัญญัติปกครองท้องถิ่นฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้ รัฐบาลกลางญี่ปุ่นได้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道開発庁; โรมาจิ: Hokkaidō Kaihatsuchō; ทับศัพท์: ฮกไกโด ไคฮัตสึโจ) ใน ค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจบริหารเหนือฮกไกโด หน่วยงานดังกล่าวถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวใน ค.ศ. 2001 โดยยังคงมีสำนักงานฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道局; โรมาจิ: Hokkaidō-kyoku; ทับศัพท์: ฮกไกโด-เคียวกุ) และสำนักงานพัฒนาภูมิภาคฮกไกโด (ญี่ปุ่น: 北海道開発局; โรมาจิ: Hokkaidō Kaihatsukyoku; ทับศัพท์: ฮกไกโด ไคฮัตสึเกียวกุ) ในสังกัดกระทรวงดังกล่าว ซึ่งยังคงมีบทบาทอย่างมากในโครงการก่อสร้างสาธารณะต่าง ๆ บนเกาะฮกไกโด

Remove ads

ภูมิศาสตร์

สรุป
มุมมอง
ข้อมูลเบื้องต้น ชื่อท้องถิ่น: 北海道, ภูมิศาสตร์ ...

เกาะฮกไกโดตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น ใกล้กับประเทศรัสเซีย (แคว้นซาฮาลิน) มีแนวชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น (ทางทิศตะวันตกของเกาะ), ทะเลโอค็อตสค์ (ทางทิศเหนือ), และมหาสมุทรแปซิฟิก (ทางทิศตะวันออก) ศูนย์กลางของเกาะเป็นภูเขาและที่ราบสูงภูเขาไฟ ฮกไกโดมีที่ราบหลายแห่ง เช่น ที่ราบอิชิการิ 3,800 ตารางกิโลเมตร (1,500 ตารางไมล์), ที่ราบโทกาจิ 3,600 ตารางกิโลเมตร (1,400 ตารางไมล์), ที่ราบคูชิโระ 2,510 ตารางกิโลเมตร (970 ตารางไมล์) (พื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น), และที่ราบซาโรเบ็ตสึ 200 ตารางกิโลเมตร (77 ตารางไมล์) ฮกไกโดมีขนาดพื้นที่ 83,423.84 ตารางกิโลเมตร (32,210.12 ตารางไมล์) ซึ่งทำให้เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น

ช่องแคบสึงารุแยกฮกไกโดออกจากฮนชู (จังหวัดอาโอโมริ),[5] ช่องแคบลาเปรูซแยกฮอกไกโดออกจากเกาะซาฮาลินในรัสเซีย, และช่องแคบเนมูโระแยกฮกไกโดออกจากเกาะคูนาชีร์ในหมู่เกาะคูริลของรัสเซีย

เขตอำนาจทางการปกครองของฮกไกโดจะรวมไปถึงเกาะเล็ก ๆ หลายแห่งที่อยู่รอบเกาะฮกไกโดด้วย เช่น เกาะริชิริ เกาะโอกูชิริ และเกาะเรบุง (ตามการคำนวณของญี่ปุ่น ฮกไกโดยังได้รวมหมู่เกาะคูริลไว้ด้วย) ฮกไกโดเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดและอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น เกาะนี้อยู่ในอันดับที่ 21 ของโลกตามขนาดพื้นที่

พืชและสัตว์

ในฮกไกโดมีประชากรหมีสีน้ำตาลอุซซูริอยู่สามกลุ่มย่อย ซึ่งถือเป็นประชากรหมีน้ำตาลที่มีจำนวนมากที่สุดในเอเชียนอกเหนือจากรัสเซีย หมีสีน้ำตาลของฮกไกโดแบ่งออกเป็นสามสายพันธุ์ย่อยที่ชัดเจน จากทั้งหมดเพียงแปดสายพันธุ์ทั่วโลก[50] โดยสายพันธุ์บนเกาะฮนชูนั้นสูญพันธุ์ไปนานแล้ว

ต้นไม้พื้นเมืองประเภทสนในเขตภาคเหนือของฮกไกโดคือ เฟอร์ซาฮาลิน (Abies sachalinensis)[51] นอกจากนี้ยังมีพืชดอก ไฮเดรนเยียเฮอร์ตา (Hydrangea hirta) ก็พบได้บนเกาะนี้เช่นกัน

ข้อมูลเพิ่มเติม ชื่อ, ประเภท ...

กิจกรรมทางธรณีวิทยา

เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ในญี่ปุ่น ฮกไกโดเป็นเขตที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อย นอกจากแผ่นดินไหวจำนวนมากแล้ว ยังมีภูเขาไฟที่ถือว่ายังมีพลังอยู่ (เกิดการปะทุอย่างน้อยหนึ่งครั้งตั้งแต่ ค.ศ. 1850) ได้แก่

  • ฮกไกโดโคมางาตาเกะ
  • เขาเมอากัง
  • เขาทารูมาเอะ
  • เขาโทกาจิ
  • เขาอูซุ และโชวะชินซัง

ใน ค.ศ. 1993 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ทำให้เกิดสึนามิถล่มเกาะโอกูชิริ มีผู้เสียชีวิต 202 คน ต่อมาในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2003 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.3 ใกล้กับเกาะฮกไกโด และในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 2018 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.6 จุดศูนย์กลางอยู่ใกล้นครโทมาโกไม ทำให้เกิดไฟดับทั่วทั้งเกาะ[53]

ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.1 ตามมาตราริกเตอร์ บริเวณนอกชายฝั่งของเกาะฮกไกโด[54]

อุทยาน

  • อุทยานธรรมชาติจังหวัด (道立自然公園) 12 แห่ง อุทยานธรรมชาติของจังหวัดครอบคลุมพื้นที่ 146,802 เฮกตาร์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาจังหวัดทั้งหมด[55]

ภูมิอากาศ

Thumb
ฮกไกโดในฤดูหนาวและฤดูร้อน
Thumb
ภาพถ่ายดาวเทียมของฮกไกโดในฤดูหนาว เดือนมกราคม ค.ศ. 2003

ในฐานะที่เป็นภูมิภาคที่มีอากาศหนาวที่สุดของญี่ปุ่น ฮกไกโดมีฤดูร้อนที่ค่อนข้างเย็นสบาย และฤดูหนาวที่มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุม โดยหนาวนานอยู่ประมาณครึ่งปี (ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนเมษายน) พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะจัดอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบชื้นภาคพื้นทวีป (humid continental climate) ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพิน ในหลายพื้นที่เป็นแบบ Dfb (เฮมิบอเรียล ซึ่งคือเขตภูมิอากาศระหว่างเขตอบอุ่นกับซับอาร์กติก) แต่ก็มีแบบ Dfa (ฤดูร้อนแบบชื้นภาคพื้นทวีป) ในที่ราบลุ่มตอนในบางแห่ง อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมอยู่ระหว่าง 17 ถึง 22 องศาเซลเซียส (62.6 ถึง 71.6 องศาฟาเรนไฮต์) ขณะที่ในเดือนมกราคมอยู่ระหว่าง −12 ถึง −4 องศาเซลเซียส (10.4 ถึง 24.8 องศาฟาเรนไฮต์) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความสูงและระยะทางจากมหาสมุทร โดยทั่วไปฝั่งตะวันตกของเกาะจะอุ่นกว่าฝั่งตะวันออกเล็กน้อย อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้คือ 39.5 องศาเซลเซียส (103.1 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 2019[56]

พื้นที่ตอนเหนือของฮกไกโดอยู่ในชีวนิเวศไทกา[57] ซึ่งมีหิมะตกหนัก ความสูงของหิมะจะแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ประมาณ 11 เมตร (400 นิ้ว) ในเขตภูเขาที่อยู่ติดทะเลญี่ปุ่น จนถึงเพียงประมาณ 1.8 เมตร (71 นิ้ว) ตามชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ลักษณะภูมิประเทศของเกาะทำให้มักเกิดพายุหิมะที่ตกหนักและตกยาวนานจนก่อตัวเป็นแนวหิมะสูง ปริมาณการตกของหยาดน้ำฟ้ารวมทั้งปีมีตั้งแต่ 1,600 มิลลิเมตร (63 นิ้ว) บริเวณภูเขาทางฝั่งทะเลญี่ปุ่น ไปจนถึงราว 800 มิลลิเมตร (31 นิ้ว) (นับว่าต่ำที่สุดในญี่ปุ่น) บริเวณชายฝั่งทะเลโอค็อตสค์และที่ราบลุ่มตอนใน และประมาณ 1,100 มิลลิเมตร (43 นิ้ว) ทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ฮกไกโดมีหิมะผง (powder snow) ที่มีคุณภาพสูง และภูเขาจำนวนมาก ทำให้ฮกไกโดเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับกีฬาฤดูหนาว โดยฤดูหิมะมักเริ่มในเดือนพฤศจิกายน และรีสอร์ตสกี เช่น ที่นิเซโกะ ฟูราโนะ เทอิเนะ และรูซุตสึ มักเปิดให้บริการระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายน ฮกไกโดยังจัดเทศกาลหิมะซัปโปโระในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองฤดูหนาวอีกด้วย

ในระหว่างฤดูหนาว การเดินเรือในทะเลโอค็อตสค์มักได้รับผลกระทบจากแผ่นน้ำแข็งลอยขนาดใหญ่ (drift ice) เมื่อรวมกับลมแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน ทำให้การเดินทางทางอากาศและทางทะเลบริเวณชายฝั่งตอนเหนือของฮกไกโดเป็นไปได้ยากและมักหยุดชะงัก ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็ง ส่วนการประมงก็ต้องรอจนกว่าจะสิ้นฤดูหนาว อย่างไรก็ตาม ท่าเรือที่อยู่ทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลญี่ปุ่นมักไม่มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี แม้ว่าแม่น้ำส่วนใหญ่จะกลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาวก็ตาม

ต่างจากเกาะใหญ่แห่งอื่น ๆ ของญี่ปุ่น ฮกไกโดมักไม่ได้รับผลกระทบจากฤดูฝนในช่วงเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม อีกทั้งความชื้นที่ต่ำและอากาศฤดูร้อนที่อบอุ่นแต่ไม่ร้อนจัด ยังทำให้ภูมิอากาศของฮกไกโดเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากส่วนอื่น ๆ ของประเทศ

Remove ads

เขตการปกครอง

สรุป
มุมมอง
Thumb
แผนที่เกาะฮกไกโด แสดงกิ่งจังหวัดและเมืองสำคัญ

ณ เดือนเมษายน ค.ศ. 2010 ฮกไกโดมีสำนักงานส่งเสริมบูรณาการ (総合振興局) จำนวน 9 แห่ง และสำนักงานส่งเสริม (振興局) อีก 5 แห่ง รวมเป็น 14 แห่ง ฮกไกโดเป็นหนึ่งใน 8 จังหวัดของญี่ปุ่นที่มีการจัดตั้ง "สำนักงานสาขา" (ญี่ปุ่น: 支庁; โรมาจิ: shichō; ทับศัพท์: ชิโจ) หรือในภาษาอังกฤษใช้คำว่า "subprefecture" (กิ่งจังหวัด) อย่างไรก็ตาม ฮกไกโดเป็นจังหวัดเดียวในกลุ่มนี้ที่มีสำนักงานดังกล่าวครอบคลุมทั่วทั้งดินแดนของจังหวัด (ไม่ใช่เฉพาะเกาะนอกชายฝั่งหรือพื้นที่ห่างไกล) สาเหตุหลักคือพื้นที่ของฮกไกโดมีขนาดกว้างใหญ่ หลายส่วนของจังหวัดอยู่ไกลเกินกว่าจะบริหารจัดการจากนครซัปโปโระได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานสาขาในฮกไกโดจึงทำหน้าที่หลายประการเทียบเท่ากับสำนักงานของจังหวัดอื่น ๆ ในญี่ปุ่น

ข้อมูลเพิ่มเติม กิ่งจังหวัด, อักษรญี่ปุ่น ...
Remove ads

ประชากร

สรุป
มุมมอง
Thumb
ทิวทัศน์ของนครซัปโปโระ เมืองที่มีประชากรมากที่สุดในฮกไกโด และเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น
Thumb
พีระมิดประชากรฮกกไกโดใน ค.ศ. 2020

ฮกไกโดเป็นเกาะที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามในบรรดาห้าเกาะหลักของญี่ปุ่น โดยมีประชากร 5,111,691 คนใน ค.ศ. 2023[4][58] และมีความหนาแน่นของประชากรต่ำที่สุดในประเทศ คือเพียง 61 คนต่อตารางกิโลเมตร (160 คนต่อตารางไมล์) ฮกไกโดอยู่ในอันดับที่ 21 ของเกาะที่มีประชากรมากที่สุดในโลก เมืองสำคัญได้แก่ นครซัปโปโระและนครอาซาฮิกาวะที่ตั้งอยู่ในตอนกลางของเกาะ และนครฮาโกดาเตะ เมืองท่าทางตอนใต้ที่หันหน้าไปทางเกาะฮนชู นครซัปโปโระเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในฮกไกโดและใหญ่เป็นอันดับห้าในญี่ปุ่น โดยมีประชากร 1,959,750 คน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2023 และมีความหนาแน่นของประชากร 1,748 คนต่อตารางกิโลเมตร (4,530 คนต่อตารางไมล์)

ข้อมูลเพิ่มเติม นคร(-ชิ), จำนวนผู้อยู่อาศัย (คน) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2023 ...
ข้อมูลเพิ่มเติม ปี, ประชากร ...
Remove ads

เศรษฐกิจ

สรุป
มุมมอง
Thumb
ฟาร์มขนาดใหญ่บนที่ราบโทกาจิ

แม้จะมีอุตสาหกรรมเบาอยู่บ้าง (โดยเฉพาะการผลิตกระดาษและการผลิตเบียร์) ประชากรส่วนใหญ่ของฮกไกโดประกอบอาชีพในภาคบริการ ใน ค.ศ. 2001 ภาคบริการและอุตสาหกรรมขั้นที่สามอื่น ๆ สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากกว่าสามในสี่ของทั้งจังหวัด[60]

ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมขั้นต้นอื่น ๆ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของฮกไกโด โดยฮกไกโดมีพื้นที่เพาะปลูกคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในด้านการผลิตสินค้าเกษตรหลายชนิด เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง มันฝรั่ง หัวบีตน้ำตาล หอมใหญ่ ฟักทอง ข้าวโพด น้ำนมดิบ และเนื้อวัว ฮกไกโดยังมีพื้นที่ป่าคิดเป็น 22% ของทั้งประเทศ พร้อมอุตสาหกรรมไม้ขนาดใหญ่ จังหวัดนี้ยังเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของประเทศในด้านผลิตภัณฑ์ประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ[60] ขนาดฟาร์มเฉลี่ยในฮกไกโดใน ค.ศ. 2013 อยู่ที่ 26 เฮกตาร์ต่อเกษตรกร ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่อยู่ที่ 2.4 เฮกตาร์ถึงเกือบ 11 เท่า[61]

Thumb
ฟาร์มโทมิตะในเมืองนากาฟูราโนะ

การท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อากาศเย็นสบาย นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นของญี่ปุ่นและประเทศในเอเชียที่อากาศร้อนและชื้นต่างหลั่งไหลมายังฮกไกโดเพื่อสัมผัสพื้นที่โล่งกว้างของเกาะ ในฤดูหนาว กีฬาสกีและกีฬาฤดูหนาวอื่น ๆ ก็เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ[62]

การทำเหมืองถ่านหินเคยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมของฮกไกโด โดยเฉพาะแหล่งถ่านหินอิชิการิ เมืองต่าง ๆ เช่น นครมูโรรัง พัฒนาขึ้นเพื่อลำเลียงถ่านหินไปยังภูมิภาคอื่นของหมู่เกาะญี่ปุ่น[22]

ใน ค.ศ. 2023 บริษัทราพิดัส (Rapidus Corporation) ได้ประกาศลงทุนทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุดของฮกไกโด ด้วยแผนลงทุนมูลค่า 5 ล้านล้านเยนเพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในนครชิโตเซะ ซึ่งคาดว่าจะมีพนักงานมากกว่า 1,000 คนในอนาคต[63]

Remove ads

การขนส่ง

สรุป
มุมมอง
Thumb
สถานีรถไฟชินฮาโกดาเตะโฮกูโตะบนเส้นทางฮกไกโดชิงกันเซ็ง

ฮกไกโดมีจุดเชื่อมต่อทางบกกับแผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียว คือ อุโมงค์เซกัง อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางมายังฮกไกโดโดยเครื่องบิน ท่าอากาศยานหลักคือท่าอากาศยานชินชิโตเซะ ตั้งอยู่ที่นครชิโตเซะ ทางตอนใต้ของนครซัปโปโระ ซึ่งอยู่ห่างเพียง 40 นาทีโดยรถไฟ เส้นทางบินระหว่างโตเกียว–ชิโตเซะเป็นหนึ่งใน 10 เส้นทางบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลก โดยมีเที่ยวบินไป-กลับแบบลำตัวกว้างมากกว่า 40 เที่ยวต่อวันจากหลายสายการบิน หนึ่งในสายการบินเหล่านี้คือสายการบินแอร์โด ซึ่งตั้งชื่อตามฮกไกโด

ฮกไกโดสามารถเดินทางไปถึงได้ทางเรือเฟอร์รีจากนครเซ็นได นครนีงาตะ และเมืองอื่น ๆ อีกบางแห่ง โดยเฟอร์รีจากโตเกียวให้บริการเฉพาะขนส่งสินค้า สำหรับทางรถไฟความเร็วสูง เส้นทางฮกไกโดชิงกันเซ็งสามารถพาผู้โดยสารจากโตเกียวไปยังพื้นที่ใกล้นครฮาโกดาเตะได้ภายในเวลาเพียงกว่า 4 ชั่วโมง[64] เครือข่ายทางรถไฟของฮกไกโดพัฒนาในระดับหนึ่ง โดยรถไฟระหว่างเมืองดำเนินงานโดยบริษัทรถไฟฮกไกโด แต่หลายเมืองยังคงเข้าถึงได้โดยทางถนนเท่านั้น ทางรถไฟสายถ่านหินเคยถูกสร้างขึ้นรอบนครซัปโปโระและโฮโรไนตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตามคำแนะนำของวิศวกรชาวอเมริกันชื่อโจเซฟ ครอว์ฟอร์ด (Joseph Crawford)[22] สำหรับรถไฟใต้ดินมีเฉพาะที่นครซัปโปโระ

ฮกไกโดยังเป็นที่ตั้งของหนึ่งในถนนดนตรีของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นถนนที่มีร่องลึกเจาะอยู่ตามแนวทาง เมื่อรถวิ่งผ่านจะเกิดแรงสั่นสะเทือนและเสียงดังก้องผ่านล้อรถไปยังตัวถัง ทำให้เกิดเสียงเพลงขณะขับขี่[65][66]

Remove ads

การศึกษา

Thumb
มหาวิทยาลัยฮกไกโด (กันยายน ค.ศ. 2009)

คณะกรรมการการศึกษาฮกไกโดมีหน้าที่ดูแลโรงเรียนของรัฐในจังหวัด (ยกเว้นระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย) โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นของรัฐอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาล (ยกเว้นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายฮกไกโดโนโบริเบ็ตสึอาเกบิ และโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยการศึกษาฮกไกโด) ส่วนโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐจะดำเนินการโดยคณะกรรมการการศึกษาจังหวัดหรือเทศบาล

โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย

ณ ค.ศ. 2016[67] ฮกไกโดมีโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งหมด 291 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนของรัฐระดับชาติ 4 แห่ง โรงเรียนเอกชน 55 แห่ง[68] โรงเรียนของรัฐระดับจังหวัดหรือเทศบาล 233 แห่ง[69] และโรงเรียนมัธยมศึกษาระดับต้นและปลายแบบบูรณาการ 2 แห่ง

วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย

ฮกไกโดมีมหาวิทยาลัย 34 แห่ง (เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐระดับชาติ 7 แห่ง ของรัฐระดับท้องถิ่น 6 แห่ง และเอกชน 21 แห่ง) วิทยาลัยอนุปริญญา 15 แห่ง และวิทยาลัยเทคโนโลยี 6 แห่ง (เป็นของรัฐระดับชาติ 3 แห่ง ของรัฐระดับท้องถิ่น 1 แห่ง และเอกชน 2 แห่ง)

Remove ads

การเมืองการปกครอง

สรุป
มุมมอง

ผู้ว่าราชการจังหวัด

Thumb
ศาลากลางฮกไกโดหลังเก่า ในเขตชูโอ นครซัปโปโระ
Thumb
ศาลากลางฮกไกโดหลังปัจจุบัน ในเขตชูโอ นครซัปโปโระ

ผู้ว่าราชการฮกไกโดคนปัจจุบันคือ นาโอมิจิ ซูซูกิ[70] โดยได้รับเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งใน ค.ศ. 2019 ในฐานะผู้สมัครอิสระ ย้อนกลับไปใน ค.ศ. 1999 โฮริได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองหลักทั้งหมดที่ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์ ขณะที่อิโตลงสมัครโดยไม่มีการสนับสนุนจากพรรคใด ก่อน ค.ศ. 1983 ตำแหน่งผู้ว่าราชการฮกไกโดถูกครองโดยสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตยนามว่า นาโอฮิโระ โดงากิไน และคิงโงะ มาจิมูระ ต่อเนื่องกันนานถึง 24 ปี ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1971 ขณะที่มาจิมูระวางมือ ผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยม โชเฮ สึกาดะ พ่ายแพ้โดงากิไนไปเพียง 13,000 คะแนน[71] โดยสึกาดะได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นด้วย (ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของฝ่ายซ้ายซึ่งต่อต้านสนธิสัญญาความมั่นคงญี่ปุ่น-สหรัฐ ทำให้ผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ชนะเลือกตั้งระดับจังหวัดและท้องถิ่นหลายแห่งในคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970) ใน ค.ศ. 1959 มาจิมูระเคยเอาชนะเซ็ตสึโอะ โยโกมิจิ (บิดาของโยโกมิจิ) ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการคนต่อไป แทนที่ผู้ว่าราชการฮกไกโดคนแรกจากการเลือกตั้งคือ โทชิบูมิ ทานากะ แห่งพรรคสังคมนิยม ซึ่งวางมือหลังดำรงตำแหน่ง 3 สมัย โดยใน ค.ศ. 1947 ทานากะชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการรอบชี้ขาดกับผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตย เอจิ อาริมะ หลังจากไม่มีผู้ใดได้คะแนนเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ในรอบแรก

สภาจังหวัด

สภาฮกไกโดมีสมาชิก 100 คน มาจาก 47 เขตเลือกตั้ง ณ วันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2015 กลุ่มสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ถือเสียงข้างมากด้วยจำนวน 51 ที่นั่ง กลุ่มที่นำโดยพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (DPJ) มี 26 ที่นั่ง กลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ ฮกไกโดยูชิไก จากพรรคใหม่ไดอิจิและสมาชิกอิสระรวม 12 ที่นั่ง พรรคโคเม 8 ที่นั่ง และพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น 4 ที่นั่ง[72] การเลือกตั้งทั่วไปของสภาฮกไกโดจะจัดควบคู่กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการในช่วงการเลือกตั้งท้องถิ่นรอบใหญ่ (ล่าสุดคือเดือนเมษายน ค.ศ. 2023)

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

สำหรับสภาผู้แทนราษฎร ฮกไกโดแบ่งเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนเขตละหนึ่งคนออกเป็น 12 เขต ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2017 ผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาลผสม คือ พรรคเสรีประชาธิปไตยและพรรคโคเม ชนะ 7 เขต ส่วนพรรคฝ่ายค้านหลัก คือ พรรคประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ชนะ 5 เขต สำหรับระบบสัดส่วน ฮกไกโดและโตเกียวเป็นเพียงสองจังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งแบบ "บล็อก" เป็นของตนเอง (กล่าวคือในหนึ่งบล็อกครอบคลุมเพียงจังหวัดเดียว) เขตเลือกตั้งสัดส่วนของฮกไกโดมีผู้แทน 8 คน ใน ค.ศ. 2017 พรรคเสรีประชาธิปไตยได้คะแนนเสียง 28.8% และได้ 3 ที่นั่ง พรรคประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญได้ 26.4% และได้ 3 ที่นั่ง พรรคคิโบได้ 12.3% และได้ 1 ที่นั่ง ส่วนพรรคโคเมได้ 11.0% และได้ 1 ที่นั่ง พรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นซึ่งเคยได้ 1 ที่นั่งใน ค.ศ. 2014 สูญเสียที่นั่งทั้งหมดใน ค.ศ. 2017 แม้ได้คะแนนเสียง 8.5%

สำหรับวุฒิสภา การแบ่งจำนวนผู้แทนในเขตเลือกตั้งครั้งใหญ่ในคริสต์ทศวรรษ 1990 ทำให้จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากฮกไกโดต่อหนึ่งครั้งการเลือกตั้งลดลงจาก 4 คนเหลือ 2 คน หลังการเลือกตั้ง ค.ศ. 2010 และ 2013 เขตเลือกตั้งฮกไกโด มีผู้แทนจากพรรคเสรีประชาธิปไตย 2 คน และจากพรรคประชาธิปไตย 2 คน (เช่นเดียวกับเขตเลือกตั้งวุฒิสภาที่มีสมาชิกสองคนส่วนใหญ่) ในการเลือกตั้งวุฒิสภา ค.ศ. 2016 ได้มีการเพิ่มจำนวนสมาชิกในเขตนี้เป็น 3 คน ทำให้ฮกไกโดมีผู้แทน 5 คนในวุฒิสภาเป็นการชั่วคราว และเพิ่มเป็น 6 คนหลังการเลือกตั้งใน ค.ศ. 2019

Remove ads

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ฮกไกโดมีความสัมพันธ์กับเขตการปกครองในพื้นที่อื่น ๆ ของโลกดังต่อไปนี้[73]

ณ เดือนมกราคม ค.ศ. 2014 เทศบาล 74 แห่งในฮกไกโดมีข้อตกลงเมืองพี่น้องกับ 114 เมืองใน 21 ประเทศทั่วโลก[80]

Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads