คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

เจเอ็นอาร์ คลาสซี 56

รถจักรไอน้ำญี่ปุ่นประเภท 2-6-0 ซึ่งมี 164 คัน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เจเอ็นอาร์ คลาสซี 56
Remove ads

รถจักรไอน้ำเจเอ็นอาร์ คลาส ซี 56 (อังกฤษ: Japanese National Railway class C56 steam locomotive) หรือเรียกแบบการรถไฟแห่งประเทศไทยว่า รถจักรไอน้ำโมกุล ซี 56 เป็นรถจักรไอน้ำที่สร้างขึ้นในประเทศญี่ปุ่น สร้างโดยสมาคมอุตสาหกรรมรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2478 - พ.ศ. 2482 ออกแบบและสร้างโดย ฮิเดะโอะ ชิมะ และใช้งานโดยการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 รถจักรไอน้ำรุ่นนี้มีจำนวนรถจักรไอน้ำทั้งหมด 164 คัน[1] หลังจากนั้น จึงนำมาใช้การครั้งแรกในประเทศไทยโดยการรถไฟแห่งประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2488 - พ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2[2] จุดประสงค์หลักของรถจักรไอน้ำในระยะแรกจะใช้โดยประเทศญี่ปุ่นโดยการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่นก่อนโดยใช้ลากขบวนรถโดยสารและขบวนรถสินค้าในประเทศญี่ปุ่น จวบจนสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นนำรถจักรไอน้ำรุ่นนี้มาดัดแปลงและนำมาใช้การเป็นอาวุธยุทธโธปกรณ์ในเส้นทางทางรถไฟสายมรณะ ในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อไปสู่ประเทศพม่าระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และมีรถจักรไอน้ำที่ใช้งานโดยกองทัพญี่ปุ่นที่ฝั่งพม่า จำนวน 90 คัน ตั้งแต่หมายเลข C56 1 ถึง C56 90[3] และเหลือรถจักรไอน้ำฝั่งประเทศญี่ปุ่น 74 คัน

ข้อมูลเบื้องต้น Class C56, ประเภทและที่มา ...
Thumb
รถจักรไอน้ำ C56 หมายเลข 714 (C56 16) (C5616) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ด้านหลังอนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวงบริเวณสถานีกรุงเทพ เมื่อกรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัจจุบัน รถจักรไอน้ำโมกุล C56 ที่ผ่านการใช้งานในประเทศไทยและประเทศพม่าคงเหลืออยู่ 12 คัน แบ่งในในประเทศไทยเหลืออยู่ 11 คัน และคงเหลือล้อขับ 1 คู่ และในประเทศพม่าคงเหลืออยู่ 1 คัน และคงเหลือคันเยื้องศูนย์ 2 ท่อน แบ่งได้ดังนี้

จอดเป็นอนุสรณ์ในประเทศไทย อยู่ 7 คัน คือหมายเลข 702 (C56 4), 714 (C56 16), 719 (C56 23), 728 (C56 36), 733 (C56 41), 738 (C56 47) และ 744 (C56 53)[1][4]

จอดเป็นอนุสรณ์ในประเทศพม่า อยู่ 1 คัน หมายเลขของการรถไฟพม่าคือ C.0522 (C56 56)[1][5]

จัดแสดงล้อขับในประเทศญี่ปุ่น อยู่ 1 คู่ ของหมายเลข 722 (C56 26)[1][6]

จอดเป็นอนุสรณ์ในประเทศญี่ปุ่น อยู่ 1 คัน คือหมายเลข 725 (C56 31)[1][7][8]

ใช้การในประเทศญี่ปุ่น อยู่ 1 คัน คือหมายเลข 735 (C56 44)[1][9][10]

ใช้การในประเทศไทยโดย การรถไฟแห่งประเทศไทย อยู่ 2 คันคือหมายเลข 713 (C56 15) และ หมายเลข 715 (C56 17) ซึ่ง 2 คันนี้ได้รับการบูรณะพร้อมๆกับรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นมิกาโด หมายเลข 953 และรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นมิกาโด หมายเลข 962 รถจักรไอน้ำญี่ปุ่นแปซิฟิค หมายเลข 824 และรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นแปซิฟิค หมายเลข 850 ในต้นปี พ.ศ. 2529 ซึ่งรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ทั้ง 2 คันนี้ยังคงใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง และเคยทำการเดินขบวนเสด็จ หมายกำหนดการสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จไปยังปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ในปี พ.ศ. 2529 รวมถึงทำขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษนำเที่ยวเป็นเวลาหลายปี ในปัจจุบันรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ทั้ง 2 คันนี้ใช้ไม้หมอนรองรางรถไฟเก่ามาตัดเป็นท่อนๆในการใช้เป็นเชื้อเพลิง ในส่วนของหมายเลข 713 (C56 15) ได้มีการเปลี่ยนอะไหล่มาใช้คันเยื้องศูนย์ของ C56 19 (ตัวรถจักรไม่ได้นำมาใช้งานในไทย) และหมายเลข 723 (C56 28) อีกด้วย และรถจักรไอน้ำ C56 จะถูกนำมาใช้ในงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะจัดงานในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี[4][11]

คันเยื้องศูนย์ถูกนำมาใช้สำหรับหมายเลข 713 (C56 15) อยู่ 2 ท่อน คือของ C56 19 (ตัวรถจักรไม่ได้นำมาใช้งานในไทย) และของหมายเลข 723 (C56 28)

รถจักรไอน้ำโมกุล C56 ถูกสร้างขึ้นโดย สมาคมอุตสาหกรรมรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Association of Railway Industry) ซึ่งในสมาคมจะประกอบไปด้วยบริษัทผู้สร้างหลายบริษัทด้วยกัน ทั้งนี้เมื่อมีคำสั่งให้ผลิตรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ทาง สมาคมอุตสาหกรรมรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น จะกระจายคำสั่งการผลิตนี้ให้กับ 5 บริษัทที่รับผิดชอบในการสร้างรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ดังนี้

  1. บริษัท นิปปอน ชาเรียว เซโซะ ไกรชะ จำกัด โรงงานตั้งอยู่ที่นครนาโงยะ, จังหวัดไอจิ, ประเทศญี่ปุ่น
  2. บริษัท กิช่า เซโซะ ไกรชะ จำกัด โรงงานตั้งอยู่ที่นครโอซากะ, จังหวัดโอซากะ, ประเทศญี่ปุ่น (ปัจจุบันถูกควบรวมกิจการโดย บริษัท คาวาซากิเฮฟวีอินดัสทรีส์ จำกัด ไปเมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2515)
  3. บริษัท คาวาซากิเฮฟวีอินดัสทรีส์ จำกัด โรงงานตั้งอยู่ที่ระหว่างนครโคเบะ และ เขตมินาโตะ (โตเกียว), ในกรุงโตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น (ต่อมาได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท กิช่า เซโซะ ไกรชะ จำกัด ไปเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2515)
  4. บริษัท ฮิตาชิ จำกัด (มหาชน) โรงงานตั้งอยู่ที่ในกรุงโตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น
  5. บริษัท มิตซูบิชิเฮฟวีอินดัสทรีส์ จำกัด โรงงานตั้งอยู่ที่เมืองมิฮาระ, จังหวัดฮิโรชิมะ, ประเทศญี่ปุ่น
Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

จุดเริ่มต้นของรถจักรไอน้ำโมกุล C56

การก่อสร้างทางรถไฟซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415 (สมัยเมจิ 5) ได้เปลี่ยนไปสู่สนับสนุนก่อสร้างเส้นทางสายรองที่กระจัดกระจาย ซึ่งความต้องการด้านการขนส่งมีไม่มากท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองเมื่อโอกาสในการพัฒนาเส้นทางสายหลักชัดเจนขึ้น

Thumb
แบบล้อของรถจักรไอน้ำโมกุล C56

ในขณะนั้น รถจักรไอน้ำในเส้นทางเหล่านี้เป็นรุ่นเก่าที่ถูกปลดประจำการเส้นทางเนื่องจากไม่สามารถกับความต้องการและความเร็วที่เพิ่มขึ้นในเส้นทางเดินรถ รวมถึงรถจักรนำเข้าต่างๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่องโหว่ของอุปสรรคระหว่างเส้นทางหลักและเส้นทางรอง รถจักรไอน้ำในเส้นทางหลักมีขนาดใหญ่มากเกินไปที่จะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางสายรอง แม้ว่าจะเป็นรุ่นเก่าก็ตาม และการบำรุงรักษาเนื่องจากอายุของหัวรถจักรนำเข้าและความยากลำบากในการยึดชิ้นส่วน คาดว่าจะมีต้นทุนบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้นในช่วงต้นยุคโชวะ จึงมีการวางแผนจัดหารถจักรไอน้ำสำหรับเส้นทางสายรองที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา และบำรุงรักษาง่ายกว่าเส้นทางสายหลัก

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2478 - พ.ศ. 2482)

Thumb
เรือนเพลิงในหม้อน้ำของรถจักรไอน้ำโมกุล C56

เนื่องจากเดิมทีรถจักรไอน้ำ C56 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานภายในประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี พ.ศ. 2478 ซึ่งในเวลานั้นประเทศญี่ปุ่นได้เปลี่ยนมาใช้งานระบบห้ามล้อลมอัดหมดแล้ว รวมถึงได้เปลี่ยนเครื่องพ่วงจากแบบขอและห่วงคานเกลียวมาเป็นแบบอัตโนมัติ จึงต้องเปลี่ยนขอพ่วงแบบอัตโนมัติมาเป็นขอพ่วง ABC แทน ซึ่งมีระดับที่ต่ำกว่าเดิมต้องวางช่องของรังเครื่องพ่วงขึ้นมาใหม่ เมื่อรถจักรไอน้ำ C56 จำนวน 90 คันได้ถูกส่งมาใช้งานในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักกดเพลาไม่มากเกินไปนักกับสภาพเส้นทางนี้เพราะในสมัยนั้นรางของประเทศไทยรับน้ำหนักกดเพลาสูงสุดได้แค่เพียง 10.5 ตันเท่านั้น ในขณะที่รถจักร C56 มีน้ำหนักกดเพลาที่ 10.6 ตัน (เคยมีการนำเอารถจักรไอน้ำ C58 มาวิ่งจำนวน 4 คัน แต่ภายหลังได้นำกลับไปเพราะมีน้ำหนักกดเพลาถึง 13.5 ตัน) นอกจากนั้นก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงระบบห้ามล้อที่ใช้สั่งการรถพ่วงจากเดิมที่เป็นห้ามล้อลมอัดมาเป็นระบบห้ามล้อสูญญากาศ โดยติดตั้งเครื่องไล่ลมเข้าไปเพราะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลานั้นยังคงใช้ระบบห้ามล้อสูญญากาศอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย , พม่า , กัมพูชาและมาเลเซีย

การรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่นสร้างรถจักร C56 มาเพื่อใช้งานกับรางที่มีความกว้างขนาด 1.067 เมตร ดังนั้นเมื่อนำมาใช้งานกับรางที่มีขนาดความกว้าง 1 เมตรในประเทศไทยจึงต้องทำการปรับล้อเพื่อให้สามารถใช้กับราง 1 เมตรได้ ( วิธีการนั้นไม่ได้ใช้วิธีการอัดแว่นล้อเข้ามาเหมือนกับที่ดำเนินการกับรถโดยสาร JR-West ในปัจจุบันนี้ ) แว่นล้อของรถจักร C56 ยังเป็นของเดิมที่ใช้กับราง 1.067 เมตร แต่ใช้วิธีการสร้างปลอกล้อขึ้นมาใหม่โดยให้มีขนาดความกว้างของพื้นล้อมากกว่าเดิมเพื่อให้เกาะกับรางขนาด 1 เมตรได้ ดังนั้นถ้าใครสังเกตก็จะเห็นว่าพื้นล้อของล้อกำลังรถจักรไอน้ำ C56 หมายเลข 713และ 715 ที่โรงรถจักรธนบุรี รวมทั้งที่จอดตั้งแสดงตามที่ต่างๆในประเทศไทยจะมีพื้นล้อกำลังที่กว้างกว่ารถจักรไอน้ำรุ่นอื่นๆ[12]

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2488 - พ.ศ. 2520; พ.ศ. 2529 - ปัจจุบัน)

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กรมรถไฟได้ประสบความเสียหายในบริภัณฑ์รถไฟและสิ่งปลูกสร้างเป็นอย่างมาก เมื่อสงครามได้ยุติลง จึงปรากฏว่ากรมรถไฟขาดแคลนรถจักรและล้อเลื่อนที่จะมาใช้การรับใช้ประชาชนตามสถานะเดิมต่อไป ดังนั้นในปี พ.ศ. 2489 ด้วยความเอื้อเฟื้อของสหประชาชาติได้จำหน่ายรถจักรไอน้ำที่เหลือใช้จากสงครามให้แก่กรมรถไฟจำนวน 68 คัน (รุ่นเลขที่ 380-447) เพื่อบรรเทาการขาดแคลนดังกล่าว รถจักรเหล่านี้เป็นชนิดมิกาโด (2-8-2) ซึ่งเรียกกันโดยเฉพาะในวงการของสหประชาชาติว่ารถจักร “แมคอาเธอร์” เป็นรถจักรที่สร้างโดยบริษัทต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ตามรายการจำเพาะที่กำหนดขึ้นโดยทางการทหารแห่งสหรัฐ

นอกจากนี้ยังได้รับรถจักรที่เหลือใช้จากสงครามของฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งนำมาใช้การในเอเซียอาคเนย์นี้ 50 คัน คือ รถจักรญี่ปุ่น รุ่นเลขที่ 701-746 (C-56) และ รุ่นเลขที่ 761- 764 (C-58)และเป็นรถจักรของการรถไฟสหพันธรัฐมลายู ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นนำมาใช้การในประเทศไทยระหว่างสงครามอีก 18 คัน คือรุ่นเลขที่ 801 (เจ้าของเดิมเรียกว่ารุ่น "P")[13]

พ.ศ. 2488 - พ.ศ. 2520

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2488 ใช้เป็นขบวนรถโดยสารจากธนบุรี - น้ำตกบนแขวงธนบุรี บนเส้นทางรถไฟสายใต้ มีน้ำหนักเบาที่สามารถผ่านสะพานถ้ำกระแซได้ ส่วนทางรถไฟสายเหนือ ทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ และทางรถไฟสายใต้ตั้งแต่แขวงชุมพรลงไปนั้น นิยมเป็นรถจักรสับเปลี่ยนทางนั้นกว่า เพราะมีน้ำหนักมากเล็กน้อย คือ 10.6 ตัน

พ.ศ. 2529 - ปัจจุบัน

และต่อมาก็ทำการซ่อมรถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 713 (C56 15) (C5615) และรถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 715 (C56 17) (C5617) เพิ่มอีก 2 คันเพื่อทำการเดินขบวนเสด็จ หมายกำหนดการสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จไปยังปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2529 รถจักรไอน้ำทุกคันที่มีการซ่อม ได้ดัดแปลงระบบไฟฟ้า ห้ามล้อ และเครื่องยนต์ของรถจักร Henschel  เพื่อต่อพหุ ทำขบวนเป็นขบวนพิเศษนำทางขบวนเสด็จจาก กรุงเทพกาญจนบุรีท่ากิเลน และไปจอดรอที่ป้ายหยุดรถวังสิงห์ หมายกำหนดการ ใช้รถจักรไอน้ำญี่ปุ่นแปซิฟิค หมายเลข 824 พหุกับรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นแปซิฟิค หมายเลข 850 ลากจูงขบวนเสด็จจาก สถานีหลวงจิตรลดา ไปถึงสถานีกาญจนบุรี โดย นายชำนาญ ล้ำเลิศ เป็น พนักงานขับรถคันนำ เมื่อทำขบวนเสด็จถึงสถานีกาญจนบุรี จอดเทียบให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชบริพาร ประชาชนเฝ้าเสด็จ และทางการรถไฟฯ ก็ได้ทำการเปลี่ยนหัวรถจักรไอน้ำใหม่โดยนำรถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 713 (C56 15) (C5615) และรถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 715 (C56 17) (C5617) ทำขบวนเสด็จต่อจาก สถานีกาญจนบุรี ไป ที่สถานีท่ากิเลน และเสด็จทางรถยนต์พระที่นั่งต่อไปยังปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีท่ากิเลนไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3.5 กม. พนักงานรถจักรที่หน้าที่ขับรถชื่อนายกุล มณีกุล[14]

Remove ads

การออกแบบ

สรุป
มุมมอง

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น รถจักรไอน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าสู่เส้นทางสายรอง ซึ่งอยู่ต่ำกว่าเส้นทางหลักอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ รถจักรไอน้ำ C12 จึงสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 สำหรับเส้นทางระยะใกล้ เป็นรถจักรไอน้ำขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เดินหน้าถอยหลังได้สะดวก[15] อย่างไรก็ตาม สำหรับเส้นทางเดินรถที่ค่อนข้างไกลรถจักรไอน้ำ C12 ไม่เหมาะสำหรับการใช้งาน เนื่องจากบรรทุกถ่านหินและน้ำได้น้อย ด้วยเหตุนี้ C56 จึงได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นรุ่นขนาดเล็กโดยถอดถังเก็บน้ำและที่เก็บถ่านหินออกจาก C12 และทั้งสองประเภทมีการออกแบบที่มีชิ้นส่วนทั่วไปจำนวนมาก ดูเหมือนว่าจะขึ้นอยู่กับวิธีการออกแบบของรถจักรแบบ 64 และรถจักรแบบเอ็นดะ 24 แบบที่ออกแบบมาสำหรับสายงานสาขาในเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรถจักรไอน้ำ[ต้องการอ้างอิง] รถจักรไอน้ำทั้งสองประเภทมีลักษณที่คล้ายคลึงกันกับ C12 และ C56 ตามลำดับ

ในเวลานั้นมีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่ติดตั้งสแครช C12 เป็นรถจักรไอน้ำถัง ดังนั้นจึงง่ายต่อการถอยหลัง แต่ C56 เป็นรถจักรไอน้ำที่ได้ปรับแก้ ดังนั้นด้านข้างของหัวรถจักรจึงถูกตัดออกไปเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้มองเห็นทัศนวิสัยด้านหลังได้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มองเห็นด้านหลังได้ยาก เป็นลักษณะ อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับรุ่น C12 ตรงที่ไม่มีล้อตาม และลักษณะการวิ่งขณะถอยหลังลดลงอย่างมาก[16] ด้วยเหตุนี้ รถจักรไอน้ำรุ่นนี้ได้ตกรางจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงกล่าวกันว่าการถอยหลังไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ยกเว้นการสับรางด้วยความเร็วต่ำ[โดยใคร?]

Remove ads

การผลิต

สรุป
มุมมอง

สำหรับการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น มีการผลิตรถจักร 160 คันระหว่างปี พ.ศ. 2478 (โชวะ 10) ถึง พ.ศ. 2482 (โชวะ 14) ผู้ผลิต ได้แก่ บริษัท คาวาซากิเฮฟวี่อินดรัสทรีส์ จำกัด, บริษัท ฮิตาชิ จำกัด (มหาชน), บริษัท นิปปอน ชาเรียว เซโซะ ไกรชะ จำกัด และ บริษัท มิตซูบิชิเฮฟวีอินดัสทรีส์ จำกัด นอกจากนี้ ยังมีการผลิตรถจักร 4 คันสำหรับรถไฟคาระฟูโตะโชะ และอีกคันสำหรับภาคเอกชน

ปีที่การผลิตและการส่งมอบมีดังนี้

  • พ.ศ. 2478 - รถจักรหมายเลข C56 1 - C56 24
  • พ.ศ. 2479 - รถจักรหมายเลข C56 25 - C56 87
  • พ.ศ. 2480 - รถจักรหมายเลข C56 88 - C56 121
  • พ.ศ. 2481 - รถจักรหมายเลข C56 122 - C56 154
  • พ.ศ. 2482 - รถจักรหมายเลข C56 155 - C56 160

รถไฟคาระฟูโตะโชะ C52

ในปี พ.ศ. 2485 เกาะคาระฟูโตะโชะ อยู่ในภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น รถจักรไอน้ำ 4 คัน (C52 1 - 4 หมายเลขการผลิต 961 - 964) ผลิตโดย บริษัท นิปปอน ชาเรียว เซโซะ ไกรชะ จำกัด เหล่านี้รวมอยู่ในกระทรวงการรถไฟเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2486 (โชวะ 18) เนื่องจากมินามิคาราฟูโตะกลายเป็นทะเล และกลายเป็น C56 161 - 164 หลังจากนั้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2487 C56 103 และ 152 ถูกย้ายจากแผ่นดินใหญ่ไปยังสำนักงานการรถไฟคาระฟูโตะโชะ แต่ในปี พ.ศ. 2488 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 รถจักรไอน้ำทั้ง 6 คันจึงถูกสหภาพโซเวียตซึ่งครอบครองเกาะคาระฟูโตะโชะเข้ายึดแล้วกลายมาเป็นเกาะซาฮาลิน

รถจักรไอน้ำล็อตนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากห้องขับแบบเปิด มาเป็นห้องขับแบบปิดตามข้อกำหนดสำหรับภูมิภาคที่มีอากาศหนาวจัด ในปี พ.ศ. 2490 (โชวะ 22) พนักงานรถไฟชาวญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ในเกาะคาระฟูโตโชะหรือเกาะซาฮาลินที่เป็นทางรถไฟ พนักงานทำสีของโรงรถจักร Yuzhno-Sakhalinsk ตามข้อกำหนดของสหภาพแรงงานโซเวียต ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า แม้ว่าสีตัวถังจะเป็นสีดำ แต่ว่ากันว่าล้อกำลัง เป็นสีแดงและสีอ่อนเป็นสีฟ้าอ่อน นอกจากนี้ยังไม่มีเอกสารเกี่ยวกับการประท้วงหลังพิจารณาไม่ชัดเจน[ต้องการอ้างอิง] และว่ากันว่ายังคงอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2503[ต้องการอ้างอิง]

รถจักรไอน้ำโมกุล C56 ในปัจจุบัน

สรุป
มุมมอง

เนื่องจากรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ทุกคันถูกตัดเศษเหล็กที่โรงรถจักรทั่วประเทศ สำหรับประเทศไทยได้ปลดประจำการปี พ.ศ. 2520 และประเทศญี่ปุ่นได้ปลดประจำการปี พ.ศ. 2517 แต่ในส่วนของประเทศไทย บางคันได้ตั้งเป็นอนุสรณ์ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศ และบางคันได้กลับสู่ประเทศญี่ปุ่นตามลำดับดังนี้

ผ่านการใช้งานในประเทศไทยและประเทศพม่าโดยกองทัพญี่ปุ่น (ความกว้างของรางรถไฟ: 1.000 เมตร) (Metre gauge)

ปัจจุบันรถจักรไอน้ำโมกุล C56 จากประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านการใช้งานในประเทศไทยคงเหลืออยู่ 11 คัน และในประเทศพม่าคงเหลืออยู่ 1 คัน รวมทั้งหมด 12 คัน จอดเป็นอนุสรณ์ตามสถานที่ต่างๆทั้งหมด 9 คัน และยังสามารถใช้การได้ทั้งหมด 3 คัน แบ่งได้ดังนี้

จอดเป็นอนุสรณ์ในประเทศไทยอยู่ 7 คัน

จอดเป็นอนุสรณ์ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ 1 คัน

  • C56 31 (หมายเลขของการรถไฟแห่งประเทศไทยคือ 725) (C5631) เป็นรถจักรไอน้ำในพิธีเปิดทางรถไฟสายมรณะเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2486 และประเทศญี่ปุ่นได้ขอซื้อคืนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2522 ปัจจุบันถูกทำสีกลับเป็นสีดำล้วนแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นและจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ยูชูคาน ในส่วนของศาลเจ้ายาซูกูนิ ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น[1][4][7][8]

จอดเป็นอนุสรณ์ในประเทศพม่าอยู่ 1 คัน

ใช้การได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ 1 คัน

  • C56 44 (หมายเลขของการรถไฟแห่งประเทศไทยคือ 735) (C5644) เดิมนั้น กองทัพญี่ปุ่นได้ตั้งชื่อรหัสรถจักร คือ C56-44 ใช้ในทางรถไฟสายมรณะ หลังสงครามครั้งที่ 2 ยุติลง รถจักรไอน้ำคันนี้ ได้ประจำการที่แขวงชุมพร จังหวัดชุมพร หลังการรถไฟแห่งประเทศไทยได้เลิกใช้รถจักรไอน้ำทั้งหมดที่ลากจูงรถโดยสารและรถสินค้าเมื่อปี พ.ศ. 2519-2520 รถจักรไอน้ำคันนี้ สังกัดสุดท้ายที่รถจักรคันนี้เคยอยู่ก่อนถูกนำกลับประเทศญี่ปุ่น คือ แขวงชุมพร โดยหลังจากที่การรถไฟได้เลิกการใช้งานรถจักรไอน้ำทุกชนิดในการลากจูงขบวนรถสินค้า,โดยสาร เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2519 - 2520 รถจักรไอน้ำหลายต่อหลายคันก็ได้ถูกจอดทิ้งเอาไว้ตามแขวงต่างๆ บางคันก็ถูกขายเป็นเศษเหล็ก บางคันโชคดีหน่อยทีทางการได้นำไปตั้งแสดงตามสถานี หรือ สถานที่ต่างๆ รวมทั้งบางส่วนที่มีผู้ติดต่อขอซื้อเอาไว้ หนึ่งในนั้นคือ รถจักรไอน้ำ C56-44 หมายเลข 735 (ร.ฟ.ท.) ซึ่งได้ถูกบริษัท Oigawa Railway หรือ Daitetsu ของประเทศญี่ปุ่นซื้อไป จนสุดท้ายรถจักรคันนี้ได้ถูกนำกลับบ้านเกิดในปีพ.ศ. 2522 และเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่ Oigawa Railway แห่งนี้ และถูกขยายล้อเพื่อให้สามารถลงรางรถไฟขนาด 1.067 (Cape Guage) เมตรของประเทศญี่ปุ่นได้ รวมถึงทำสีกลับเป็นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการใช้งาน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2550 รถจักรไอน้ำคันนี้ถูกทำสีกลับเป็นแบบสมัยใช้การในประเทศไทย โดยมีอักษร ร.ฟ.ท. อยู่บริเวณรถลำเลียงและหมายเลข 735 อยู่ด้านข้างห้องขับและด้านหน้าของตัวรถเพื่อทำขบวนรถพิเศษฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 120 ปี ไทย - ญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2550 และทำขบวนรถท่องเที่ยวในสีนี้จนถึงปี พ.ศ. 2553 ต่อมาถูกทำสีกลับเป็นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นอีกครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2558 ถูกทำเป็นสีแดงและตกแต่งภายนอกทุกอย่างให้เหมือนตัวละครรถจักรไอน้ำชื่อ James the Red Engine ในการ์ตูนเรื่อง Thomas & friends และล่าสุดปี พ.ศ. 2559 รถจักรไอน้ำคันนี้ถูกทำสีกลับเป็นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นและยังคงใช้การจนถึงทุกวันนี้[1][9][10][11]

ใช้การได้ในประเทศไทยอยู่ 2 คัน โดย ร.ฟ.ท.

  • C56 15 และ C56 17 (หมายเลขของการรถไฟแห่งประเทศไทยคือ 713 และ 715 ตามลำดับ) (C5615 และ C5617) รถจักรไอน้ำ 2 คันนี้ ได้รับการบูรณะพร้อมๆกับรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นมิกาโด หมายเลข 953 และรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นมิกาโด หมายเลข 962 รถจักรไอน้ำญี่ปุ่นแปซิฟิค หมายเลข 824 และรถจักรไอน้ำญี่ปุ่นแปซิฟิค 850 ในต้นปี พ.ศ. 2529 ซึ่งรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ทั้ง 2 คันนี้ยังคงใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง และเคยทำการเดินขบวนเสด็จ หมายกำหนดการสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จไปยังปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ในปี พ.ศ. 2529 รวมถึงทำขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษนำเที่ยวเป็นเวลาหลายปี ในปัจจุบันรถจักรไอน้ำโมกุล C56 ทั้ง 2 คันนี้ใช้ไม้หมอนรองรางรถไฟเก่ามาตัดเป็นท่อนๆในการใช้เป็นเชื้อเพลิง และจะใช้ในงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะจัดงานในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี[1][4][11]

ประเทศญี่ปุ่น (ความกว้างของรางรถไฟ: 1.067 เมตร) (Cape gauge)

รถจักรไอน้ำโมกุล C56 ที่ยังคงเก็บรักษาไว้ในประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 20 คัน[1] ซึ่งจอดเป็นอนุสรณ์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น และบางคันยังคงอยู่ในสภาพใช้การได้ ได้แก่

  • C56 92 (C5692) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ด้านหน้าสถานีรถไฟอิซูมิในจังหวัดคาโงชิมะ[1]
  • C56 94 (C5694) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะนิชิในเมืองโอมาจิ จังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 96 (C5696) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่หมู่บ้านมินามิมากิ ในจังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 98 (C5698) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ห้องโถงศตวรรษที่ 19 บริเวณสถานีรถไฟโทรกโกะซางะ ในนครเกียวโต[1]
  • C56 99 (C5699) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ Dacho Dream Eco Land ในเมืองซัตสึมะเซ็นได, จังหวัดคาโงชิมะ[1]
  • C56 101 (C56101) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะในเมืองซากุ, จังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 106 (C56106) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะ ในเมืองฟูจู, จังหวัดฮิโรชิมะ[1]
  • C56 108 (C56108) จอดอยู่ที่เมืองอุนนัง, จังหวัดชิมาเนะ[1]
  • C56 110 (C56110) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะในเมืองโซกะ, จังหวัดไซตามะ[1]
  • C56 111 (C56111) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่โรงเรียนประถมศึกษาในเมืองทาการาซูกะ, จังหวัดเฮียวโงะ[1]
  • C56 124 (C56124) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ศูนย์การประชุมในเมืองอาซูมิโนะ, จังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 126 (C56126) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่โรงเรียนประถมโคบูจิซาวะในเมืองโฮกูโตะ, จังหวัดยามานาชิ[1]
  • C56 129 (C56129) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะในเมืองอียามะ, จังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 131 (C56131) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะในเมืองมัตสึเอะ, จังหวัดชิมาเนะ[1]
  • C56 135 (C56135) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่สวนสาธารณะในเมืองคาโต, จังหวัดเฮียวโงะ[1]
  • C56 139 (C56139) ปัจจุบันใช้ทำการแสดงในส่วนของทางรถไฟสายคานางาวะริงไกในนครโยโกฮามะ, จังหวัดคานางาวะ[1]
  • C56 144 (C56144) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ปราสาทโคโมโระ เมืองโคโมโระ, จังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 149 (C56149) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่ด้านหน้าสถานีรถไฟคิโยซาโตะ ในเมืองโฮกูโตะ, จังหวัดยามานาชิ[1]
  • C56 150 (C56150) จอดเป็นอนุสรณ์อยู่ที่หมู่บ้านฮากูบะ, จังหวัดนางาโนะ[1]
  • C56 160 (C56160) ปัจจุบันยังใช้การอยู่ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟเกียวโต โดยเจอาร์-เวสต์[1]
Remove ads

รายชื่อหมายเลขรถจักร

การรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น

ข้อมูลเพิ่มเติม หมายเลขรถจักร, ป้ายหน้ารถ, ข้างรถ และ หลังรถ ...

การรถไฟแห่งประเทศไทย

ข้อมูลเพิ่มเติม หมายเลข รฟท., หมายเลข JNR ...

รถไฟคาระฟูโตะโชะ

ข้อมูลเพิ่มเติม หมายเลขรถไฟคาระฟูโตะโชะ, หมายเลข JNR ...
Remove ads

แกลลอรี่

Remove ads

รถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 735 (C56 44)[1][4][9][10]

สรุป
มุมมอง

รถจักรไอน้ำโมกุล C56 หมายเลข 735 เดิมนั้น กองทัพญี่ปุ่นได้ตั้งชื่อรหัสรถจักร คือ C56 44 ใช้ในทางรถไฟสายมรณะ หลังสงครามครั้งที่ 2 ยุติลง รถจักรไอน้ำคันนี้ ได้ประจำการที่แขวงชุมพร จังหวัดชุมพร หลังการรถไฟแห่งประเทศไทยได้เลิกใช้รถจักรไอน้ำทั้งหมดที่ลากจูงรถโดยสารและรถสินค้าเมื่อปี พ.ศ. 2519-2520 รถจักรไอน้ำคันนั้น คือ รถจักร C56 44 หรือ หมายเลข 735 ตามหมายเลขที่เคยใช้ในการรถไฟแห่งประเทศไทย สังกัดสุดท้ายที่รถจักรคันนี้เคยอยู่ก่อนถูกนำกลับประเทศญี่ปุ่น คือ แขวงชุมพร โดยหลังจากที่การรถไฟได้เลิกการใช้งานรถจักรไอน้ำทุกชนิดในการลากจูงขบวนรถสินค้า,โดยสาร เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 - 2525 รถจักรไอน้ำหลายต่อหลายคันก็ได้ถูกจอดทิ้งเอาไว้ตามแขวงต่างๆ บางคันก็ถูกขายเป็นเศษเหล็ก บางคันโชคดีหน่อยทีทางการได้นำไปตั้งแสดงตามสถานี หรือ สถานที่ต่างๆ รวมทั้งบางส่วนที่มีผู้ติดต่อขอซื้อเอาไว้ หนึ่งในนั้นคือ รถจักรไอน้ำ C56 หมายเลข 735 (ไทย) ซึ่งได้ถูกบริษัท Oigawa Railway หรือ Daitetsu ของประเทศญี่ปุ่นซื้อไป จนสุดท้ายรถจักรคันนี้ได้ถูกนำกลับบ้านเกิดในปีพ.ศ. 2522 และเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่ Oigawa Railway แห่งนี้และถูกทำสีกลับเป็นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นโดยใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการใช้งาน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2550 รถจักรไอน้ำคันนี้ถูกทำสีกลับเป็นแบบสมัยใช้การในประเทศไทย โดยมีอักษร ร.ฟ.ท. อยู่บริเวณรถลำเลียงและหมายเลข 735 อยู่ด้านข้างห้องขับและด้านหน้าของตัวรถเพื่อทำขบวนรถพิเศษฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 120 ปี ไทย - ญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2550 และทำขบวนรถท่องเที่ยวในสีนี้จนถึงปี พ.ศ. 2553 ต่อมาถูกทำสีกลับเป็นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นอีกครั้ง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2558 ถูกทำเป็นสีแดงและตกแต่งภายนอกทุกอย่างให้เหมือนตัวละครรถจักรไอน้ำชื่อ James the Red Engine ในการ์ตูนเรื่อง Thomas & friends และล่าสุดปี พ.ศ. 2559 รถจักรไอน้ำคันนี้ถูกทำสีกลับเป็นแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นและยังคงใช้การจนถึงทุกวันนี้

บริษัทรถไฟโออิกาวาได้ซื้อรถจักรคันนี้กลับไปในปี พ.ศ. 2522 และได้นำมาบูรณะจนสามารถวิ่งใช้การได้อีกครั้ง ต่อมาเกิดปัญหาหม้อน้ำทะลุทำให้ต้องหยุดวิ่งไปชั่วคราว (เคยมีความคิดจะปลดระวางรถคันนี้หลังจากเกิดความเสียหายนี้ด้วย) ภายหลังได้มีการนำเอาหม้อน้ำของรถจักรไอน้ำ C12 ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว มาใส่ทดแทนของเดิมที่ชำรุด ดังนั้นรถจักรไอน้ำ C56 44 คันนี้จึงมีหม้อน้ำที่ได้รับการเปลี่ยนใหม่จากรถจักรตระกูลเดียวกัน บรรดาอุปกรณ์บางส่วนที่เคยใช้งานในสมัยที่ประจำการอยู่ในประเทศไทย ได้ถูกถอดออกแล้วนำมาแสดงไว้ที่สถานีเซนซุ อยู่ใกล้กับรถจักรไอน้ำ 49616 ที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ เป็นในลักษณะกึ่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งให้ผู้คนได้ทราบความเป็นมาของรถจักรคันนี้

Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads