คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ภาษาญี่ปุ่น
ภาษาหลักของประเทศญี่ปุ่น จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ภาษาญี่ปุ่น (คันจิ: 日本語 ฮิรางานะ: にほんご/にっぽんご[1][2][3] โรมาจิ: Nihongo, Nippongo ทับศัพท์: นิฮงโงะ, นิปปงโงะ, [ɲihoŋŋo, ɲippoŋŋo[1][2]] ) เป็นภาษาราชการของประเทศญี่ปุ่นโดยพฤตินัย[4][หมายเหตุ 1] ปัจจุบันมีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ทั่วโลกประมาณ 125 ล้านคนโดยเป็นผู้อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นประมาณ 124 ล้านคน และมีผู้ใช้เป็นภาษาที่สองประมาณ 120,000 คน[5] นอกจากนี้ รัฐอาเงาร์ สาธารณรัฐปาเลา ยังได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในภาษาราชการร่วมกับภาษาปาเลาและภาษาอังกฤษ[6][หมายเหตุ 2]
ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษารูปคำติดต่อที่มีลักษณะทางวากยสัมพันธ์หรือการเรียงลำดับคำในประโยคแบบ ประธาน-กรรม-กริยา (subject-object-verb: SOV) แม้ว่าที่จริงแล้วลำดับคำจะมีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่งก็ตาม[8] มีโครงสร้างพยางค์ที่ไม่ซับซ้อนและส่วนใหญ่เป็นพยางค์เปิด (open syllable)[9] คำศัพท์ที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่นมีทั้งคำญี่ปุ่นดั้งเดิม เรียกว่า "วาโงะ" (ญี่ปุ่น: 和語 โรมาจิ: Wago) คำที่มาจากภาษาจีน เรียกว่า "คังโงะ" (ญี่ปุ่น: 漢語 โรมาจิ: Kango) คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ เรียกว่า "ไกไรโงะ" (ญี่ปุ่น: 外来語 โรมาจิ: Gairaigo) และคำที่ประกอบด้วยคำจากสองประเภทขึ้นไป เรียกว่า "คนชูโงะ" (ญี่ปุ่น: 混種語 โรมาจิ: Konshugo)[10][หมายเหตุ 3] ภาษาญี่ปุ่นมีระบบการเขียนที่ใช้อักษรหลายประเภทร่วมกัน ได้แก่ อักษรฮิรางานะและอักษรคาตากานะ (พัฒนามาจากอักษรมันโยงานะ) เป็นตัวอักษรแสดงหน่วยเสียง (phonograph) ระดับพยางค์ และอักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรแสดงหน่วยคำ (logograph)[12] ส่วนอักษรโรมันหรือโรมาจินั้นปัจจุบันมีการใช้ที่จำกัด เช่น ข้อความบนป้ายสาธารณะตามท้องถนน ชื่อและนามสกุลบนหนังสือเดินทาง และการป้อนข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์[13]
Remove ads
ระบบเสียง
สรุป
มุมมอง
เสียงสระ

แผนภาพไดอะแกรมแสดงช่องปากมนุษย์ บริเวณด้านซ้ายของไดอะแกรมเป็นบริเวณที่ใกล้กับฟันและริมฝีปาก บริเวณด้านขวาของไดอะแกรมเป็นบริเวณที่ใกล้กับช่องคอ จุดสีดำแสดงตำแหน่งที่ลิ้นยกตัวขึ้นระหว่างการออกเสียงสระ
- หน่วยเสียง /i/ ในการออกเสียงจริงระดับลิ้นจะลดต่ำลงมาเล็กน้อย[14][15] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดขึ้นได้ว่า [i̞]
- หน่วยเสียง /e/ ในการออกเสียงจริงระดับลิ้นจะลดต่ำลงมาอยู่ระหว่างเสียง [e] กับ [ɛ][14] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดขึ้นได้ว่า [e̞]
- หน่วยเสียง /a/ ในการออกเสียงจริงตำแหน่งลิ้นจะอยู่ระหว่างเสียง [a] กับ [ɑ][14] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดขึ้นได้ว่า [a̠]
- หน่วยเสียง /o/ ในการออกเสียงจริงตำแหน่งลิ้นจะลดต่ำลงมาอยู่ระหว่างเสียง [o] กับ [ɔ][14] อาจเขียนเป็นสัทอักษรให้ละเอียดได้ขึ้นว่า [o̞]
- หน่วยเสียง /u/ ในสำเนียงโตเกียวมีความแตกต่างจากเสียง [u] คือ ริมฝีปากไม่ห่อกลม กล่าวคือ ริมฝีปากจะผ่อนคลายแต่ไม่ถึงขั้นเหยียดริมฝีปากแบบ /i/ แม้ว่าอาจจะมีการหดริมฝีปาก (lip compression) กรณีที่ออกเสียงช้า ๆ อย่างระมัดระวังบ้างก็ตาม[16][17] อีกทั้งตำแหน่งลิ้นเยื้องมาข้างหน้าค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะเมื่อตามหลังเสียงพยัญชนะ [s] [t͡s] [d͡z] [z] ตำแหน่งลิ้นจะเยื้องไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น) ดังนั้นจึงอาจเขียนสัทอักษรโดยละเอียดได้ว่า [ɯ̈][14][15][18][หมายเหตุ 4] อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงเรื่องความแปลกเด่น (markedness) ที่ไม่สอดคล้องกันแล้ว กล่าวคือ โดยทั่วไปภาษาใดที่มีหน่วยเสียง /ɯ/ ซึ่งเป็นสมาชิกเสียงสระมาตรฐานชุดรอง ภาษานั้นก็ควรมีหน่วยเสียง /u/ ซึ่งเป็นสมาชิกเสียงสระมาตรฐานชุดหลักด้วย ไม่ควรจะมีเพียงแค่หน่วยเสียง /ɯ/ โดยไม่มีหน่วยเสียง /u/ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความประสานทางรูปแบบของการแจกแจง (หน่วยเสียงสระทั้ง 5 เสียงเป็นสมาชิกเสียงสระมาตรฐานชุดหลักเหมือนกันทั้งหมด) เราจึงควรเลือกเสียง [u] ขึ้นมาเป็นตัวแทนของหน่วยเสียงมากกว่าเสียง [ɯ][15] ดังที่แสดงในตารางข้างต้น
- ความยาวของเสียงสระมีหน้าที่ในการแยกความหมาย เช่น เสียงสระ /i/ สั้น-ยาวในคำว่า ojiisan /ozisaN/ "ลุง, น้าหรืออาเพศชาย" เทียบกับ ojiisan /oziːsaN/ "ตา, ปู่, ชายสูงอายุ" หรือเสียงสระ /u/ สั้น-ยาวในคำว่า tsuki /tuki/ "พระจันทร์" เทียบกับ tsūki /tuːki/ "กระแสลม" อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์ยังคงเห็นไม่ตรงกันว่าระบบเสียงภาษาญี่ปุ่นมีหน่วยเสียงสระยาว /aː/ /iː/ /uː/ /eː/ /oː/ หรือไม่ ทั้งนี้ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมักกำหนดให้มีหน่วยเสียงพิเศษ เช่น /R/ หรือ /H/ ตามหลังเสียงสระสั้น เช่น ojiisan → /oziRsaN/ หรือ /oziHsaN/, tsūki → /tuRki/ หรือ /tuHki/[17]
เสียงพยัญชนะ
- สัทอักษรที่อยู่ในวงเล็บเป็นหน่วยเสียงย่อย (เสียงแปร) ของหน่วยเสียงใดหน่วยเสียงหนึ่ง
- เสียงกัก ไม่ก้อง /p, t, k/ เมื่อปรากฏในตำแหน่งต้นคำอาจมีการพ่นลม (aspiration) ตามมาหลังจากปลดปล่อยการกัก เป็นเสียงแปรอิสระ (ไม่มีหน้าที่ในการแยกความหมาย)[16] เขียนเป็นสัทอักษรโดยละเอียดได้ว่า [pʰ, tʰ, kʰ]
- หน่วยเสียง /t/ (เสียงกัก ปุ่มเหงือก ไม่ก้อง) จะออกเสียงเป็น [t͡ɕ] (เสียงกักเสียดแทรก ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง ไม่ก้อง) เมื่อตามด้วยเสียงสระ /i/ และจะออกเสียงเป็น [t͡s] (เสียงกักเสียดแทรก ปุ่มเหงือก ไม่ก้อง) เมื่อตามด้วยเสียงสระ /u/
- เสียง [ʔ] (เสียงกัก เส้นเสียง) พบได้ในตำแหน่งท้ายคำ เช่น 「あっ」「あれっ」[19]
- หน่วยเสียง /n/ (เสียงนาสิก ปุ่มเหงือก) จะออกเสียงเป็น [ɲ] (เสียงนาสิก เพดานแข็ง) เมื่อตามด้วยเสียงสระ /i/ หรือเสียงพยัญชนะ /j/[หมายเหตุ 5]
- หน่วยเสียง /g/ (เสียงกัก เพดานอ่อน ก้อง) เมื่ออยู่ตำแหน่งที่ไม่ใช่ต้นคำอาจจะออกเสียงเป็น [ŋ] (เสียงนาสิก เพดานอ่อน)[หมายเหตุ 6] หรือ [ɣ] (เสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ก้อง)[หมายเหตุ 7]
- หน่วยเสียง /ɾ/ (เสียงลิ้นกระทบ ปุ่มเหงือก) เมื่ออยู่ต้นคำอาจจะออกเสียงเป็น /l/ (เสียงเปิดข้างลิ้น ปุ่มเหงือก) และอาจพบการออกเสียงเป็น [r] (เสียงรัว ปุ่มเหงือก) ในคนบางกลุ่ม เช่น ชาวเอโดะ (ญี่ปุ่น: 江戸っ子 โรมาจิ: Edokko ทับศัพท์: เอดกโกะ)[หมายเหตุ 8] ทั้งนี้ ตำราบางเล่มใช้ตัวอักษร /r/ แทน /ɾ/ เพื่อความสะดวก
- หน่วยเสียง /h/ (เสียงเสียดแทรก เส้นเสียง ไม่ก้อง) จะออกเสียงเป็น [ç] (เสียงเสียดแทรก เพดานแข็ง ไม่ก้อง) เมื่อตามด้วยเสียงสระ /i/ และจะออกเสียงเป็น [ɸ] (เสียงเสียดแทรก ริมฝีปาก ไม่ก้อง) เมื่อตามด้วยเสียงสระ /u/ และอาจจะออกเสียงเป็น [ɦ] (เสียงเสียดแทรก เส้นเสียง ก้อง) หรือ [x] (เสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง) ได้ในบางสภาพแวดล้อม[หมายเหตุ 9]
- หน่วยเสียง /s/ (เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก ไม่ก้อง) จะออกเสียงเป็น [ɕ] (เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง ไม่ก้อง) เมื่อตามด้วยเสียงสระ /i/ หรือเสียงพยัญชนะ /j/
- หน่วยเสียง /z/ (เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก ก้อง) กรณีที่ตามด้วยเสียงสระ /i/ หรือเสียงพยัญชนะ /j/ จะออกเสียงเป็น [d͡ʑ] (เสียงกักเสียดแทรก ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง ก้อง) หรือ [ʑ] (เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก-เพดานแข็ง ก้อง) ส่วนกรณีที่ตามด้วยเสียงสระอื่น ๆ จะออกเสียงเป็น [d͡z] (เสียงกักเสียดแทรก ปุ่มเหงือก ก้อง) หรือ [z] (เสียงเสียดแทรก ปุ่มเหงือก ก้อง)
- หน่วยเสียง /j/ (เสียงเปิด เพดานแข็ง) จะปรากฏหน้าเสียงสระ /u /o/ /a/ และไม่ปรากฏหน้าเสียงสระ /i/ /e/ ทั้งนี้ ตำราบางเล่มใช้ตัวอักษร /y/ แทน /j/ เพื่อความสะดวก
- หน่วยเสียง /ɰ/ (เสียงเปิด เพดานอ่อน) จะปรากฏหน้าเสียงสระ /a/ เท่านั้น และมีเสียง [w] (เสียงเปิด ริมฝีปาก-เพดานอ่อน ก้อง) เป็นเสียงแปรอิสระ ทั้งนี้ ตำราบางเล่มใช้ตัวอักษร /w/ แทน /ɰ/ เพื่อความสะดวก
- ส่วนอื่น ๆ ของบทความนี้จะใช้ /r/ แทน /ɾ/, ใช้ /y/ แทน /j/ และใช้ /w/ แทน /ɰ/ เมื่อกล่าวถึงหน่วยเสียงด้วยเหตุผลเรื่องความสะดวกเช่นกัน
เสียงพยัญชนะควบกล้ำ
เสียงพยัญชนะควบกล้ำ (consonant cluster) ในภาษาญี่ปุ่นปรากฏเฉพาะตำแหน่งต้นพยางค์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ /Cy/ กับ /Cw/
- /Cy/ คือ เสียงพยัญชนะควบกล้ำที่ตำแหน่งที่สองเป็นเสียงเลื่อน /y/ ในระบบการเขียนปัจจุบันแทนเสียงด้วยตัวอักษร 「や・ゆ・よ」/「ヤ・ユ・ヨ」 ขนาดเล็ก: 「ゃ・ゅ・ょ」/「ャ・ュ・ョ」เช่น 「きゃ」(/kya/),「にゅ」(/nyu/),「ひょ」(hyo) เสียงพยัญชนะควบกล้ำชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "ไคโยอง" (ญี่ปุ่น: 開拗音 โรมาจิ: Kaiyōon)
- /Cw/ คือ เสียงพยัญชนะควบกล้ำที่ตำแหน่งที่สองเป็นเสียงเลื่อน /w/ ปัจจุบันเสียงนี้ได้สูญไปจากระบบเสียงภาษาญี่ปุ่น (ภาษากลาง) แล้ว แม้จะยังคงมีเหลือให้เห็นในการสะกดคำวิสามานยนามบางคำก็ตาม เช่น ชื่อมหาวิทยาลัย "Kwansei Gakuin University" อย่างไรก็ตาม ภาษาถิ่นบางถิ่นยังคงมีเสียงพยัญชนะควบกล้ำชนิดนี้อยู่[21] เสียงพยัญชนะควบกล้ำชนิดนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "โกโยอง" (ญี่ปุ่น: 合拗音 โรมาจิ: Gōyōon)
เสียงพยัญชนะท้ายนาสิก
เขียนแทนหน่วยเสียงได้ด้วยอักษร N ใหญ่ (/N/) เป็นเสียงที่ปรากฏในตำแหน่งท้ายพยางค์และมีการกลมกลืนเสียง (assimilation) กับเสียงที่อยู่รอบข้าง[22] ในระบบการเขียนปัจจุบันแทนเสียงด้วยตัวอักษร 「ん」/「ン」 เสียงพยัญชนะท้ายนาสิกแบ่งเป็นหน่วยเสียงย่อยได้ดังนี้[14][17]
- จะออกเสียงเป็น [m] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนะริมฝีปากที่มีการปิดฐานกรณ์: [p, b, m]
- จะออกเสียงเป็น [n] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนปุ่มเหงือกที่มีการปิดฐานกรณ์: [t, d, n, t͡s, d͡z, ɾ]
- จะออกเสียงเป็น [ɲ] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนะ (หน้า) เพดานแข็งที่มีการปิดฐานกรณ์: [t͡ɕ, d͡z, ɲ]
- จะออกเสียงเป็น [ŋ] เมื่อตามด้วยเสียงพยัญชนะเพดานอ่อนที่มีการปิดฐานกรณ์: [k, g, ŋ]
- จะออกเสียงเป็น [ŋ] หรือ [ɴ] เมื่อไม่มีเสียงอะไรตามมา (เช่น เมื่อพูดจบหรือเว้นช่วงระหว่างพูด)
- จะออกเสียงเป็นเสียงสระนาสิก (nasal vowel) เมื่อตามด้วยเสียงที่ไม่มีการปิดฐานกรณ์ โดยอาจจะออกเป็นเสียง [ã, ĩ, ɯ̃, ẽ] หรือ [õ] ขึ้นอยู่กับเสียงรอบข้าง (หากพูดช้า ๆ อาจจะเป็นเสียง [ŋ] หรือ [ɴ])
เสียงพยัญชนะซ้ำ
เขียนแทนหน่วยเสียงได้ด้วยอักษร Q ใหญ่ (/Q/) เป็นเสียงที่ปรากฏในตำแหน่งท้ายพยางค์และออกเสียงโดยซ้ำเสียงพยัญชนะต้นของพยางค์ถัดไปตามกระบวนการทางสัทวิทยาที่เรียกว่าการซ้ำเสียง (gemination)[23] ทำให้เสียงพยัญชนะเหล่านี้กลายเป็นเสียงพยัญชนะยาว (long consonant)[14][16] ในระบบการเขียนปัจจุบันแทนเสียงด้วยตัวอักษร 「つ」/「ツ」 ขนาดเล็ก: 「っ」/「ッ」
โดยปกติแล้ว เสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดกับเสียงพยัญชนะไม่ก้องเท่านั้น ยกเว้นคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศบางคำที่อาจจะพบการซ้ำเสียงพยัญชนะก้อง อีกทั้งยังพบการซ้ำเสียงพยัญชนะเสียดแทรก [ɸ, ç, h] (เสียงพยัญชนะของอักษรวรรค は) ในคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศบางคำด้วย
อย่างไรก็ตาม คนญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะออกเสียงโดยเปลี่ยนจากเสียงก้องเป็นเสียงไม่ก้องอยู่หลายคำ เช่น [bedːo] → [betːo], [bagːɯ] → [bakːɯ] บ่อยครั้งที่ป้ายหรือโฆษณาสะกดคำโดยใช้อักษรเสียงไม่ก้องแทน เช่น 「バッグ」 เป็น 「バック」 [14][24]
เสียงของอักษรคานะ
ん | หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายนาสิก /N/ |
っ | หน่วยเสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/ |
- ตัวอักษร 「を」 ออกเสียงเหมือน 「お」[3][19][หมายเหตุ 11]
- ตัวอักษร 「ぢ」「ぢゃ」「ぢゅ」「ぢょ」「づ」 ออกเสียงเหมือน 「じ」「じゃ」「じゅ」「じょ」「ず」 ตามลำดับ[3][14]
- มีนักภาษาศาสตร์บางกลุ่มที่นับจำนวนหน่วยเสียงในภาษาญี่ปุ่นแตกต่างไปจากข้อมูลข้างต้น เช่น
- กลุ่มที่นับเสียง [ŋ] (เสียงนาสิก เพดานอ่อน) แยกจากหน่วยเสียง /g/ (เสียงกัก เพดานอ่อน ก้อง) ออกมาเป็นอีกหนึ่งหน่วยเสียง[14][หมายเหตุ 12]
- กลุ่มที่มองว่า [tʲi](てぃ/ティ) กับ [tɯ](とぅ/トゥ) ซึ่งใช้กับเฉพาะคำศัพท์ภาษาต่างประเทศ เช่น 「パーティー」 (อังกฤษ: party) 「タトゥー」 (อังกฤษ: tattoo) เป็นสมาชิกในระบบเสียงของภาษาญี่ปุ่นด้วย[19]
- กลุ่มที่ไม่ยอมรับว่าภาษาญี่ปุ่นมีหน่วยเสียงพยัญชนะซ้ำ (Q)[19]
- กลุ่มที่วิเคราะห์ว่ามีหน่วยเสียงยาว (R หรือ H) อยู่ในภาษาญี่ปุ่นด้วย[22]
- เสียงพยัญชนะที่อยู่หน้าเสียงสระ /i/ จะมีการออกเสียงเพดานแข็ง (palatalization) ประกอบ โดยแบ่งระดับการยกลิ้นได้ 2 ระดับ[26]
- ยกลิ้นส่วนหน้าขึ้นใกล้เพดานแข็งมากจนทำให้จุดกำเนิดเสียงเคลื่อนออกไปจากจุดเดิมจนต้องเปลี่ยนไปใช้สัทอักษรตัวอื่น เช่น /si/ → [ɕi] (เปลี่ยนจาก s เป็น ɕ)
- ยกลิ้นส่วนหน้าขึ้นใกล้เพดานแข็งแต่ไม่มากจนต้องถึงขั้นเปลี่ยนสัทอักษร เช่น /ki/ → [kʲi] (เพิ่มเครื่องหมาย [ʲ] เพื่อแสดงว่ามีการยกลิ้นส่วนหน้าประกอบเท่านั้น)
การลดความก้องของเสียงสระ
การลดความก้องของเสียงสระ (ญี่ปุ่น: 母音無声化 โรมาจิ: Boin-museika อังกฤษ: vowel devoicing) พบได้ในภาษาญี่ปุ่นหลายถิ่นรวมถึงภาษากลาง (ภาษาโตเกียว) มักจะเกิดขึ้นเมื่อเสียงสระปิด (/i/ หรือ /u/) อยู่ระหว่างเสียงพยัญชนะไม่ก้องกับเสียงพยัญชนะไม่ก้อง[27] เช่น
(อักษรสีแดง คือ เสียงสระที่ลดความก้อง)
นอกจากนี้ การลดความก้องของเสียงสระมักจะเกิดขึ้นเมื่อเสียงสระปิดตามหลังเสียงพยัญชนะไม่ก้องและเป็นจังหวะที่ผู้พูดพูดจบหรือเว้นวรรค[14] เช่น
โดยทั่วไป เจ้าของภาษามักจะเลี่ยงการลดความก้องแบบต่อเนื่องกัน ส่งผลให้มีเสียงสระปิดบางตำแหน่งไม่ลดความก้องแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมตามเงื่อนไข[14] แต่ก็เป็นไปได้ที่จะออกเสียงโดยลดความก้องเสียงสระปิดแบบต่อเนื่องกัน[16]
อย่างไรก็ตาม การลดความก้องของเสียงสระอาจจะพบในเสียงสระที่ไม่ใช่สระปิดได้เช่นกัน[14][16]
การลดความก้องของเสียงสระของคำศัพท์แต่ละคำสามารถตรวจสอบได้จากพจนานุกรมการออกเสียงภาษาญี่ปุ่น เช่น 『新明解日本語アクセント辞典』 หรือ 『NHK日本語発音アクセント新辞典』 ทั้งนี้ ปรากฏการณ์นี้พบได้น้อยในภาษาญี่ปุ่นตะวันตก (Western Japanese)[หมายเหตุ 13]
พยางค์และมอรา
พยางค์
พยางค์ในภาษาญี่ปุ่นสามารถแบ่งตามน้ำหนักของพยางค์ (syllable weight) ได้ดังนี้[16]
1. | พยางค์เบา (light syllable) |
พยางค์เบาในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยเสียงสระสั้น จะมีเสียงพยัญชนะต้น/พยัญชนะต้นควบกล้ำหรือไม่ก็ได้ | |
ตัวอย่าง: /i/ (กระเพาะ), /su/ น้ำส้มสายชู, /tya/ ชา | |
2. | พยางค์หนัก (heavy syllable) |
พยางค์หนักในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยเสียงสระยาวหรือเสียงสระสั้นที่มีเสียงพยัญชนะท้าย จะมีเสียงพยัญชนะต้น/พยัญชนะต้นควบกล้ำหรือไม่ก็ได้ | |
ตัวอย่าง: /oː/ (พระราชา), /zyuN/ (เกณฑ์) | |
3. | พยางค์หนักมาก (superheavy syllable) |
เป็นพยางค์ที่จำนวนหน่วยแยกส่วน (segment) มากกว่าจำนวนของหน่วยแยกส่วนในพยางค์เบาและพยางค์หนัก พยางค์ชนิดนี้มีเฉพาะในบางภาษาและองค์ประกอบของหน่วยส่วนแยกไม่ชัดเจนเพราะขึ้นอยู่กับลักษณะของพยางค์เบาและพยางค์หนักในภาษานั้น ๆ[28] | |
ตัวอย่าง: /aːN/ (เสียงร้องไห้ของเด็กทารก), /roːN/ (เงินกู้) |
โครงสร้างพยางค์
C หมายถึง เสียงพยัญชนะ (consonant) |
V หมายถึง เสียงสระ (vowel) |
y หมายถึง เสียงเลื่อน /y/ |
N หมายถึง เสียงพยัญชนะท้ายนาสิก /N/ |
Q หมายถึง เสียงพยัญชนะซ้ำ /Q/ |
เครื่องหมาย ː ใช้แสดงเสียงยาว (long) |
เครื่องหมาย . ใช้แสดงขอบเขตระหว่างพยางค์ (syllable boundary) |
มอรา
มอรา (ญี่ปุ่น: 拍 โรมาจิ: Haku) เป็นหน่วยการนับในระดับที่เล็กกว่าระดับคำตามทฤษฎีสัทวิทยาเน้นจังหวะ (metrical phonology)[31] เป็นการนับช่วงความยาวของเสียงที่เท่า ๆ กัน และเป็นหน่วยพื้นฐานกำหนดจังหวะ (rhythm) ของคำและประโยคภาษาญี่ปุ่น[32] จำนวนมอราของคำคำหนึ่งในภาษาญี่ปุ่นอาจจะเท่ากับจำนวนพยางค์หรือมากกว่าจำนวนพยางค์ โดยพยางค์เบา 1 พยางค์นับเป็น 1 มอรา พยางค์หนัก 1 พยางค์นับแยกเป็น 2 มอรา และพยางค์หนักมาก 1 พยางค์นับเป็น 3 มอรา[16] เช่น คำว่า 「おばあさん」 (ย่า, ยาย) หากนับจำนวนพยางค์จะได้ 3 พยางค์ แต่หากนับจำนวนมอราจะได้ 5 มอรา
แม้ว่าเมื่อวัดค่าตามจริงแล้วมอราแต่ละมอราอาจจะไม่ได้เท่ากันในทางกายภาพ แต่เจ้าของภาษา (ในที่นี้คือผู้พูดภาษาญี่ปุ่น) ทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะรับรู้ช่วงความยาวของของแต่ละมอราว่ายาวเท่า ๆ กัน (ความยาวทางจิตวิทยา)[14]
ความแตกต่างระหว่างการนับจำนวนพยางค์กับจำนวนมอราของคำในภาษาญี่ปุ่นสามารถสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้
1. เสียงสระสั้นทุกเสียง หรือเสียงพยัญชนะตามด้วยเสียงสระสั้น นับเป็น 1 พยางค์ และนับเป็น 1 มอราเท่ากัน
2. เสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะท้ายนาสิก (/N/) หรือเสียงพยัญชนะและเสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะท้ายนาสิก (/N/) นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา คือ CV กับ N
3. เสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะซ้ำ (/Q/) หรือเสียงพยัญชนะและเสียงสระตามด้วยเสียงพยัญชนะซ้ำ (/Q/) นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา คือ CV กับ Q
4. เสียงสระยาว หรือเสียงพยัญชนะและเสียงสระยาว นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา
5. เสียงสระประสมสองส่วน (diphthong) นับเป็น 1 พยางค์ แต่นับแยกเป็น 2 มอรา
ระดับเสียงแบบเสียงสูง-ต่ำ
ระดับเสียงแบบเสียงสูง-ต่ำ (ญี่ปุ่น: 高低アクセント โรมาจิ: Kōtei-akusento อังกฤษ: Pitch accent) เป็นหนึ่งในสัทลักษณะ (sound quality) ที่พบได้ในภาษาญี่ปุ่นหลายถิ่นรวมถึงภาษากลาง (ภาษาโตเกียว) จัดเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงน้ำหนัก (accent) คำหรือพยางค์ในถ้อยความให้มีความเด่นชัดขึ้น[33] แตกต่างจากเสียงวรรณยุกต์ (tone) ตรงที่เสียงวรรณยุกต์เป็นระดับเสียงภายในพยางค์ (ต่ำ กลาง สูง ขึ้น ตก ฯลฯ ภายในพยางค์) ในขณะที่ระดับเสียงสูงต่ำในภาษาญี่ปุ่นเป็นระดับเสียงระหว่างมอรา (ต้องฟังเปรียบเทียบระหว่างมอราจึงจะทราบว่ามอราใดสูง มอราใดต่ำ)[14]
ประเภทของระดับเสียงแบบเสียงสูง-ต่ำ
คำในภาษากลาง (ภาษาโตเกียว) สามารถแบ่งประเภทตามตำแหน่งเสียงตก (ตำแหน่งที่เสียงเริ่มลดระดับต่ำลง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 「下がり目」) ได้ดังนี้[1]
(เครื่องหมาย 「\」 ใช้เพื่อแสดงตำแหน่งเสียงตก ส่วนเครื่องหมาย 「 ̄」 ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือหน่วยคำนั้นไม่มีตำแหน่งเสียงตก อักษรไม่เข้มใช้เพื่อแสดงว่ามอราดังกล่าวลดความก้องของเสียงสระ)
- คำที่มีตำแหน่งเสียงตกต้นคำ (ญี่ปุ่น: 頭高型 โรมาจิ: Atama-daka-gata ทับศัพท์: อาตามาดากางาตะ) มอราแรกเสียงจะสูง ถัดจากนั้นจะเริ่มลดระดับต่ำลง เช่น
- 木: [キ\] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「キ」
- 猫: [ネ\コ] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「ネ」
- 命: [イ\ノチ] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「イ」
- 埼玉: [サ\イタマ] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「サ」
- คำที่มีตำแหน่งเสียงตกกลางคำ (ญี่ปุ่น: 中高型 โรมาจิ: Naka-daka-gata ทับศัพท์: นากาดากางาตะ) เสียงจะสูงไปจนถึงตำแหน่งเสียงตก จากนั้นเสียงจะเริ่มลดระดับต่ำลง เช่น
- あなた: [アナ\タ] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「ナ」
- 味噌汁: [ミソシ\ル] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「シ」
- 飛行機: [ヒコ\ーキ] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「コ」
- 美術館: [ビジュツ\カン] หรือ [ビジュ\ツカン] เสียงลดระดับต่ำลงหลังจาก 「ツ」 หรือ 「ジュ」
- คำที่มีตำแหน่งเสียงตกท้ายคำ (ญี่ปุ่น: 尾高型 โรมาจิ: O-daka-gata ทับศัพท์: โอดากางาตะ) เสียงจะสูงไปจนถึงท้ายคำ หากมีหน่วยคำ เช่น คำช่วย มาต่อท้าย เสียงจะเริ่มลดระดับต่ำลงตั้งแต่คำช่วยตัวดังกล่าว เช่น
- 山: [ヤマ\] เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงเป็น [ヤマ\カ゚]
- 男: [オトコ\] เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงเป็น [オトコ\カ゚]
- 妹: [イモート\] เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงเป็น [イモート\カ゚]
- คำที่ไม่มีตำแหน่งเสียงตก (แบบราบ) (ญี่ปุ่น: 平板型 โรมาจิ: Heiban-gata ทับศัพท์: เฮบังงาตะ)
- 魚: [サカナ ̄] เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงราบต่อเนื่องไป [サカナカ゚ ̄]
- 竹: [タケ ̄] เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงราบต่อเนื่องไป [タケカ゚ ̄]
- 休日: [キュージツ ̄] เมื่อมีคำช่วย 「が」 มาต่อท้ายจะออกเสียงราบต่อเนื่องไป [キュージツカ゚ ̄]
สัญลักษณ์แสดงตำแหน่งเสียงตก
ในอักขรวิธีของภาษาญี่ปุ่นไม่มีสัญลักษณ์ในการแสดงระดับเสียงแบบภาษาไทย (เครื่องหมายวรรณยุกต์) ดังนั้นในการแสดงตำแหน่งเสียงตกจึงจำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์พิเศษบางอย่างซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของหนังสือหรือพจนานุกรมเล่มนั้น เช่น
นอกจากการใช้สัญลักษณ์ เช่น [\] หรือ [ ┓ ] ในการแสดงตำแหน่งเสียงตก (下がり目) ของคำศัพท์แล้ว ยังมีการใช้ตัวเลขในการแสดงแกนเสียงสูง-ต่ำ (มอราตัวสุดท้ายก่อนที่เสียงจะเริ่มลดระดับต่ำลง ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า アクセント核) เช่น ในพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่น 『大辞林』 หรือ 『新明解国語辞典』
(สีน้ำเงินใช้แสดงตำแหน่งแกนเสียงสูง-ต่ำ)
- き(1)【木】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 1 นั่นคือ 「き」:[キ\]
- いのち(1)【命】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 1 นั่นคือ 「い」:[イ\ノチ]
- みそしる(3)【味噌汁】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 3 นั่นคือ 「し」:[ミソシ\ル]
- ひこうき(2)【飛行機】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 2 นั่นคือ 「こ」:[ヒコ\ーキ]
- いもうと(4)【妹】 หมายถึง แกนเสียงสูง-ต่ำอยู่ที่มอราที่ 4 นั่นคือ 「と」:[イモート\]
- さかな(0)【魚】 หมายถึง ไม่มีแกนเสียงสูง-ต่ำ:[サカナ ̄]
Remove ads
ระบบการเขียน
ปัจจุบันภาษาญี่ปุ่นใช้ระบบการเขียนแบบผสมผสาน โดยใช้อักษรฮิรางานะและอักษรคาตากานะซึ่งเป็นตัวอักษรแสดงหน่วยเสียง (phonograph) ระดับพยางค์ และอักษรคันจิซึ่งเป็นตัวอักษรแสดงหน่วยคำ (logograph)[12] ประโยคหนึ่งประโยคอาจมีอักษรทั้ง 3 ประเภทปะปนกัน
ประโยคข้างต้นประกอบด้วยตัวอักษรทั้ง 3 ประเภท สีเขียวคืออักษรฮิรางานะ สีน้ำเงินคืออักษรคาตากานะ และสีแดงคืออักษรคันจิ
คันจิ
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ฮิรางานะและคาตากานะ
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Remove ads
ไวยากรณ์
สรุป
มุมมอง
โครงสร้างประโยคพื้นฐาน
ลำดับของคำในประโยคภาษาญี่ปุ่นคือ ประธาน กรรม และกริยา โดยประธาน กรรม และส่วนอื่นๆ ในประโยคจะมี "คำช่วย" กำกับอยู่เพื่อบ่งบอกหน้าที่ของคำที่นำหน้า
โครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาญี่ปุ่นประกอบด้วยหัวเรื่องและส่วนอธิบาย ตัวอย่างเช่น Kochira wa Tanaka-san desu (こちらは田中さんです) kochira แปลว่า "นี้" เป็นหัวเรื่องของประโยคเพราะมี wa กำกับอยู่ ส่วน Tanaka-san desu เป็นส่วนอธิบายของประโยค desu เป็นที่เติมท้ายคำนามเพื่อแสดงความสุภาพ ประโยคนี้แปลคร่าวๆ ได้ว่า "สำหรับคนนี้ เขาคือคุณทานากะ" ภาษาญี่ปุ่นมีความคล้ายกับภาษาในเอเชียหลายๆ ภาษาที่มักจะระบุหัวเรื่องของประโยคแยกจากประธาน กล่าวคือหัวเรื่องของประโยคไม่จำเป็นต้องเป็นประธานของประโยค ตัวอย่างเช่น Zō wa hana-ga nagai desu (象は鼻が長いです) แปลตามตัวได้ว่า "สำหรับช้าง จมูก(ของพวกมัน)ยาว" หัวเรื่องของประโยคคือ zō (ช้าง) ในขณะที่ประธานของประโยคคือ hana (จมูก)
ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ชอบละคำ กล่าวคือ มักจะมีการละประธานหรือกรรมของประโยคที่เป็นที่รู้กันกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังรู้สึกว่าประโยคที่สั้นๆดีกว่าประโยคยาวๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาพูด ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงมักจะละคำต่างๆในประโยคมากกว่าจะอ้างถึงมันด้วยคำสรรพนาม ตัวอย่างเช่น จากประโยคข้างบน hana-ga nagai ก็แปลได้ว่า "จมูก[ของช้าง]ยาว" โดยที่ไม่ต้องระบุหัวเรื่องของประโยคหากเป็นที่เข้าใจตรงกันว่ากำลังกล่าวถึงช้าง นอกจากนี้ กริยาเพียงตัวเดียวก็ถือว่าเป็นประโยคที่สมบูรณ์ได้ เช่น Yatta! แปลว่า "[ฉัน]ทำ[มันสำเร็จแล้ว]" คำคุณศัพท์เพียงตัวเดียวก็ถือว่าเป็นประโยคที่สมบูรณ์ได้เช่นกัน เช่น Urayamashii! แปลว่า "[ฉันรู้สึก]อิจฉา[มัน]"
แม้ว่าภาษาญี่ปุ่นจะมีคำบางคำที่ถือได้ว่าเป็นคำสรรพนาม แต่คนญี่ปุ่นก็ไม่ใช้คำสรรพนามบ่อยเท่ากับภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียน ในทางกลับกัน คนญี่ปุ่นมักจะใช้กริยาพิเศษหรือกริยาช่วยเพื่อบ่งบอกทิศทางของการกระทำ เช่น "ล่าง" เพื่อบ่งบอกว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำจากนอกกลุ่มที่เป็นผลประโยชน์ต่อในกลุ่ม และใช้คำว่า "บน" เพื่อบ่งบอกว่าเป็นการกระทำจากภายในกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อนอกกลุ่ม ตัวอย่างเช่น oshiete moratta แปลว่า "[เขา/พวกเขา]อธิบายให้[ฉัน/พวกเรา]" ขณะที่ oshiete ageta แปลว่า "[ฉัน/พวกเรา]อธิบายให้[เขา/พวกเขา]" การใช้กริยาช่วยในลักษณะนี้ทำให้รู้ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำได้เหมือนกับการใช้คำสรรพนามและคำบุพบทในภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียน
คำสรรพนามในภาษาญี่ปุ่นมีลักษณะคล้ายคลึงกับคำนาม กล่าวคือ เราสามารถใช้คำขยายมาขยายคำสรรพนามได้ ซึ่งแตกต่างจากคำสรรพนามในภาษากลุ่มอินโด-ยุโรเปียนที่ไม่สามารถกระทำได้ เช่น
- The amazed he ran down the street. (เขาที่กำลังงงวิ่งไปตามถนน)
ประโยคข้างบนนี้ไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แต่ถือว่าถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น
- 驚いた彼は道を走っていた。 Odoroita kare wa michi o hashitte itta.
สาเหตุที่คำสรรพนามในภาษาญี่ปุ่นคล้ายคลึงกับคำนาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำสรรพนามบางคำมีต้นกำเนิดมาจากคำนาม เช่น kimi ที่แปลว่า "คุณ" แต่เดิมแปลว่า "เจ้านาย" และ boku ที่แปลว่า "ผม" แต่เดิมแปลว่า "ข้ารับใช้" ดังนั้น นักภาษาศาสตร์บางคนจึงไม่จัดว่าคำสรรพนามในภาษาญี่ปุ่นเป็นคำสรรพนามที่แท้จริง แต่เป็นคำนามที่ใช้อ้างอิง คนญี่ปุ่นจะใช้คำเรียกตัวเองในกรณีที่ต้องบอกว่าใครกำลังทำอะไรให้ใครเท่านั้น
คำสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองขึ้นอยู่กับเพศของผู้พูดและสถานการณ์ในขณะนั้น ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ ผู้หญิงและผู้ชายสามารถใช้ watashi หรือ watakushi ได้ ส่วนในสถานการณ์ที่เป็นกันเอง ผู้ชายมักเรียกตัวเองว่า ore คำสรรพนามที่ใช้เรียกผู้ฟังนั้นขึ้นอยู่กับสถานภาพทางสังคมและความคุ้นเคยระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง คำบางคำอาจเป็นคำที่สุภาพในสถานการณ์หนึ่ง แต่อาจไม่สุภาพในอีกสถานการณ์หนึ่งก็ได้
ชาวญี่ปุ่นมักเรียกบุคคลด้วยตำแหน่งหน้าที่แทนการใช้สรรพนาม ตัวอย่าง เช่น นักเรียนเรียกอาจารย์ว่า sensei (先生, อาจารย์) ไม่ใช่ anata ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมเพราะคำว่า anata ใช้เรียกบุคคลที่มีสถานภาพเท่ากันหรือต่ำกว่าเท่านั้น
ชาวต่างชาติที่พูดภาษาญี่ปุ่นมักขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า watashi-wa แม้ว่าประโยคนี้จะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่ก็ฟังดูแปลกมากสำหรับชาวญี่ปุ่น เปรียบเทียบเหมือนกับการใช้คำนามซ้ำๆในภาษาไทย เช่น "สมชายกำลังมา กรุณาทำข้าวผัดให้สมชายเพราะสมชายชอบข้าวผัด ฉันหวังว่าสมชายจะชอบชุดที่ฉันใส่อยู่ ..."
ตัวอย่างประโยค
คำนาม 1 + は + คำนาม 2 + です。 |
มีความหมายว่า "คำนาม 1 นั้นคือ คำนาม 2" ตัวอย่างเช่น
私はソムチャイです。 | Watashi wa Somuchai desu | ฉันชื่อสมชาย |
私はタイ人です。 | Watashi wa Taijin desu | ฉันเป็นคนไทย |
ในโครงสร้างประโยคนี้ใช้ は (อ่านว่า วะ ไม่ใช่ ฮะ) เป็นคำช่วยใช้ชี้หัวข้อเรื่องที่กำลังจะพูด ในที่นี้คือ "ฉัน" ประโยคบอกเล่าสามารถเปลี่ยนให้เป็นประโยคคำถามเพื่อถามว่าใช่หรือไม่ โดยการเติม か ลงท้ายประโยค เวลาพูดให้ออกเสียงสูงท้ายประโยค ตัวอย่างเช่น
あなたは日本人ですか? | Anata wa Nihonjin desu ka? | คุณเป็นคนญี่ปุ่นใช่หรือไม่ |
いいえ、中国人です。 | Iie, Chūgokujin desu | ไม่ใช่, เป็นคนจีน |
คำศัพท์
私 | watashi | ฉัน |
あなた | anata | คุณ |
タイ人 | taijin | คนไทย |
日本人 | Nihonjin | คนญี่ปุ่น |
中国人 | Chūgokujin | คนจีน |
はい | hai | ใช่ |
いいえ | iie | ไม่ใช่ |
ประธาน + は + กรรม + を+ กริยา |
มีความหมายว่า "ประธานกระทำกริยากับกรรม" ตัวอย่างเช่น
私はご飯を食べる。 | Watashi wa gohan o taberu | ฉันกินข้าว |
彼は本を読みます。 | Kare wa hon o yomimasu | เขาอ่านหนังสือ |
ในโครงสร้างประโยคนี้ จะเห็นว่าเราใช้คำช่วย を ต่อท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
คำศัพท์
ご飯 | gohan | ข้าว |
本 | hon | หนังสือ |
食べる | taberu | กิน |
読みます | yomimasu | อ่าน |
彼 | kare | เขา (ผู้ชาย) |
กริยารูปอดีต และปฏิเสธ
ภาษาญี่ปุ่นมีการผันรูปของกริยา เป็นไปตามกาล(Tense)เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นในประโยคปฏิเสธมีการผันกริยาเพื่อแสดงความหมายว่า "ไม่" อีกด้วย หลักการผันกริยามีดังนี้
รูปปัจจุบัน บอกเล่า | รูปอดีต บอกเล่า | รูปปัจจุบัน ปฏิเสธ | รูปอดีต ปฏิเสธ |
~ます | ~ました | ~ません | ~ませんでした |
食べます tabemasu | 食べました tabemashita | 食べません tabemasen | 食べませんでした tabemasendeshita |
飲みます nomimasu | 飲みました nomimashita | 飲みません nomimasen | 飲みませんでした nomimasendeshita |
見ます mimasu | 見ました mimashita | 見ません mimasen | 見ませんでした mimasendeshita |
今日テレビを見ます。 | Kyō terebi o mimasu | วันนี้จะดูโทรทัศน์ |
昨日テレビを見ました。 | Kinō terebi o mimashita | เมื่อวานดูโทรทัศน์ |
今日テレビを見ません。 | Kyō terebi o mimasen | วันนี้จะไม่ดูโทรทัศน์ |
昨日テレビを見ませんでした。 | Kinō terebi o mimasendeshita | เมื่อวานไม่ได้ดูโทรทัศน์ |
คำศัพท์
見ます | mimasu | ดู |
テレビ | terebi | โทรทัศน์ |
今日 | kyō | วันนี้ |
昨日 | kinō | เมื่อวาน |
คำนามและคำบ่งชี้
คำสรรพนาม
แม้ว่าตำราไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นหลายเล่มจะกล่าวถึงคำสรรพนาม (代名詞 ไดเมชิ) แต่นั่นก็ไม่ใช่คำสรรพนามที่แท้จริง เพราะคำสรรพนามที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่มีคำมาขยาย แต่ไดเมชิในภาษาญี่ปุ่นมีคำขยายได้ เช่น 背の高い彼女 (se no takai kanojo หมายถึง "เธอ" ที่มีคำว่า"สูง"มาขยาย) ปัจจุบันมีไดเมชิใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ในขณะที่ไดเมชิเก่าๆก็กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว
มีไดเมชิจำนวนหนึ่งที่ถือได้ว่าใกล้เคียงกับคำสรรพนาม เช่น 彼 (kare, เขา) 彼女 (kanojo, เธอ); 私 (watashi, ฉัน) ขณะที่ไดเมชิบางคำถือว่าเป็น"คำนามส่วนตัว" ไม่ใช่สรรพนาม เช่น 己 (onore, ฉัน (ให้ความหมายในทางอ่อนน้อมเป็นอย่างมาก)) หรือ 僕 (boku, ฉัน (เด็กผู้ชาย)) คำเหล่านี้เปรียบเสมือนชื่อตัวเอง นั่นคือคนอื่นอาจเรียกเราด้วยไดเมชิเดียวกับที่เราเรียกตัวเองก็ได้ ผู้อื่นอาจใช้ おのれ (onore) ซึ่งเป็นการเรียกผู้ฟังในเชิงหยาบคาย หรืออาจใช้ boku ซึ่งเป็นการเรียกผู้ฟังในเชิงเห็นผู้ฟังเป็นเด็ก นอกจากนี้ ยังมีไดเมชิบางคำที่มีหลายความหมาย เช่น kare และ kanojo สามารถแปลได้ว่า แฟน(ที่เป็นผู้ชาย) และ แฟน(ที่เป็นผู้หญิง) ตามลำดับ
คนญี่ปุ่นมักไม่ค่อยใช้ไดเมชิเรียกตัวเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องระบุประธานทุกครั้งในกรณีที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจตรงกันอยู่แล้ว และโดยปกติ คนญี่ปุ่นมักจะเรียกชื่อหรือใช้คำนามเฉพาะเจาะจงแทนการใช้สรรพนาม เช่น
- 「木下さんは、背が高いですね。」
- Kinoshita-san wa, se ga takai desu ne.
- (กำลังพูดกับคุณคิโนะชิตะ) "คุณคิโนะชิตะสูงจังเลยนะครับ"
- 「専務、明日福岡市西区の山本商事の社長に会っていただけますか?」
- Semmu, asu Fukuoka-shi Nishi-ku no Yamamoto-shōji no shachō ni atte itadakemasuka?
- (กำลังพูดกับผู้จัดการ) "ท่านผู้จัดการจะสามารถไปพบท่านประธานบริษัทยามะโมโตะพรุ่งนี้ได้ไหมคะ?"
คำบ่งชี้
- * รูปพิเศษ
คำบ่งชี้มีทั้งหมดสามแบบคือ คำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย ko, so และ a คำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย ko ใช้ระบุสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง คำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย so ใช้ระบุสิ่งที่ใกล้ตัวผู้ฟังมากกว่าผู้พูด และคำบ่งชี้ที่ขึ้นต้นด้วย a ใช้ระบุสิ่งที่อยู่ไกลทั้งผู้พูดและผู้ฟัง คำบ่งชี้สามารถทำให้เป็นรูปคำถามได้ด้วยการใช้คำว่า do ขึ้นต้น คำบ่งชี้ยังสามารถใช้ระบุบุคลได้ด้วย เช่น
- 「こちらは林さんです。」
- Kochira wa Hayashi-san desu.
- "นี่คือคุณฮะยะชิ"
คำบ่งชี้ที่ใช้เจาะจงคำนาม ต้องวางไว้หน้าคำนาม เช่น この本 (kono hon) แปลว่า หนังสือเล่มนี้ และ その本 (sono hon) แปลว่า หนังสือเล่มนั้น
เมื่อใช้คำบ่งชี้ระบุสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือสิ่งที่ผู้พูดหรือผู้ฟังไม่เห็นในขณะนั้น คำบ่งชี้แต่ละคำจะมีความหมายในเชิงความรู้สึกที่แตกต่างกัน คำบ่งชี้ที่แสดงความไกลทั้งผู้พูดและผู้ฟัง มักจะใช้พูดถึงสิ่งหรือประสบการณ์ที่ผู้พูดมีร่วมกับผู้ฟัง เช่น
- A:先日、札幌に行って来ました。
- A: Senjitsu, Sapporo ni itte kimashita.
- A: เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปซัปโปโรมา
- B:あそこ(*そこ)はいつ行ってもいい所ですね。
- B: Asoko (*Soko) wa itsu itte mo ii tokoro desu ne.
- B: ไม่ว่าจะไปเมื่อไร ที่นั่นก็เป็นที่ที่ดีเสมอเลยเนอะ
หากใช้ soko แทน asoko ในประโยคนี้ จะหมายความว่า B ไม่มีความรู้เกี่ยวกับซัปโปโร ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับซัปโปโร ดังนั้น จึงใช้ soko แทนไม่ได้ คำบ่งชี้ที่ใช้บอกว่าอยู่ใกล้ผู้ฟังมากกว่าผู้พูด มักใช้พูดถึงสิ่งหรือประสบการณ์ที่ผู้พูดและผู้ฟังไม่ได้มีร่วมกัน เช่น
- 佐藤:田中という人が昨日死んだって…
- Satō: Tanaka to iu hito ga kinō shinda tte…
- ซะโต: ฉันได้ยินว่าคนที่ชื่อทานากะตายเมื่อวานนี้…
- 森:えっ、本当?
- Mori: E', hontō?
- โมริ: เอ๊ะ จริงหรือ?
- 佐藤:だから、その(*あの)人、森さんの昔の隣人じゃなかったっけ?
- Satō : Dakara, sono (*ano) hito, Mori-san no mukashi no rinjin ja nakatta 'kke?
- ซะโต: ฉันถึงได้ถามไง เขาเป็นญาติของเธอไม่ใช่หรือ?
สังเกตว่า ถ้าใช้ ano แทน sono ในประโยคนี้จะไม่เหมาะสม เพราะว่าซะโตะไม่ได้รู้จักกับทานากะเป็นการส่วนตัว
ความสุภาพ
ภาษาญี่ปุ่นมีการใช้ไวยากรณ์พิเศษเพื่อแสดงถึงความสุภาพและความเป็นทางการ ซึ่งแตกต่างจากภาษาตะวันตก
สังคมญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในหลายระดับ กล่าวคือ คนหนึ่งมีสถานะสูงกว่าอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยที่มากำหนด อาทิ หน้าที่การงาน อายุ ประสบการณ์ และสถานะทางจิตใจ (ผู้คนจะเรียกร้องให้สุภาพต่อกัน) ผู้ที่มีวุฒิน้อยกว่าจะใช้ภาษาที่สุภาพ ขณะที่ผู้ที่มีวุฒิอาจใช้ภาษาที่เรียบง่าย ผู้ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนจะใช้ภาษาสุภาพต่อกัน เด็กเล็กมักไม่ใช้ภาษาสุภาพจนกว่าจะเป็นวัยรุ่น เมื่อโตขึ้น พวกเขาจะพูดภาษาที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เทเนโงะ (丁寧語) (ภาษาสุภาพ) มักจะเป็นการผันคำเป็นส่วนใหญ่ ส่วนซงเคโงะ (尊敬語) (ภาษายกย่อง) และ เค็นโจโงะ (謙譲語) (ภาษาถ่อมตัว) จะใช้รูปคำกริยาพิเศษที่แสดงถึงการยกย่องและการถ่อมตัว เช่น อิคุ ที่แปลว่า "ไป" จะเปลี่ยนเป็น อิคิมะซุ เมื่ออยู่ในรูปสุภาพ เปลี่ยนเป็น อิรัสชะรุ เมื่ออยู่ในรูปยกย่อง และเปลี่ยนเป็น มะอิรุ เมื่ออยู่ในรูปถ่อมตัว
ภาษาถ่อมตัวจะใช้ในการพูดเกี่ยวกับตัวเอง หรือกลุ่มของตัวเอง (บริษัท, ครอบครัว) ขณะที่ภาษายกย่องจะใช้เมื่อกล่าวถึงผู้สนทนาหรือกลุ่มอื่น เช่น คำว่า -ซัง ที่ใช้ต่อท้ายชื่อ (แปลว่า คุณ-) ถือเป็นภาษายกย่องอย่างหนึ่ง จะไม่ใช้เรียกตนเองหรือเรียกคนที่อยู่ในกลุ่มของตนให้ผู้อื่นฟังเพราะบริษัทถือเป็นกลุ่มของผู้พูด เมื่อพูดกับผู้ที่อยู่สูงกว่าในบริษัทของตน หรือพูดกับพนักงานในบริษัทของตนเกี่ยวกับผู้ที่อยู่สูงกว่า ชาวญี่ปุ่นจะใช้ภาษายกย่องผู้ที่อยู่สูงกว่าในกลุ่มของตน แต่เมื่อพูดกับพนักงานบริษัทอื่น (คนที่อยู่นอกกลุ่ม) ชาวญี่ปุ่นจะใช้รูปแบบถ่อมตนเมื่ออ้างถึงคนที่สูงกว่าในบริษัทของตน
คำที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่นจะเกี่ยวข้องกับบุคคล ภาษาและการกระทำซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละคนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ (ทั้งในกลุ่มและนอกกลุ่ม) ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงมีการกำหนดคำยกย่องทางสังคมที่เรียกว่า"การยกย่องแบบสัมพัทธ์" ซึ่งแตกต่างจากระบบของเกาหลีซึ่งเป็น"การยกย่องแบบสัมบูรณ์" กล่าวคือ ภาษาเกาหลีจะกำหนดคำที่ใช้คุยกับแต่ละคนๆไป (เช่น พ่อของตน, แม่ของตน, หัวหน้าของตน) โดยไม่ขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ดังนั้น ภาษาสุภาพของเกาหลีจึงฟังดูบุ่มบ่ามเมื่อแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นตามตัวอักษร เช่นในภาษาเกาหลี เราพูดว่า "ท่านประธานบริษัทของพวกเรา... " กับคนที่อยู่นอกกลุ่มได้ตามปกติ แต่ชาวญี่ปุ่นถือว่าการพูดเช่นนี้ไม่สุภาพ
คำนามหลายคำในภาษาญี่ปุ่นอาจทำให้อยู่ในรูปสุภาพได้ ด้วยการเติมคำอุปสรรค โอะ- หรือ โกะ- นำหน้า คำว่า โอะ- มักใช้กับคำที่มาจากภาษาญี่ปุ่น ขณะที่คำว่า โกะ- ใช้กับคำที่รับมาจากภาษาจีน บางครั้ง คำที่เติมนำหน้าก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำนั้นอย่างถาวร และกลายเป็นคำศัพท์ที่อยู่ในรูปปกติ เช่นคำว่า โกะฮัง ที่แปลว่าอาหาร การใช้คำเหล่านี้แสดงถึงความเคารพต่อเจ้าของสิ่งของและเคารพต่อสิ่งของ เช่น คำว่า โทะโมะดะชิ ที่แปลว่าเพื่อน จะกลายเป็นคำว่า โอะ-โทะโมะดะชิ เมื่อกล่าวถึงเพื่อนของบุคคลที่สถานะสูงกว่า (แม้แต่แม่ก็มักจะใช้คำนี้เมื่อกล่าวถึงเพื่อนของลูก) ผู้พูดอาจใช้คำว่า โอะ-มิซุ ที่แปลว่าน้ำ แทนคำว่ามิซุเพื่อแสดงความสุภาพก็ได้
ชาวญี่ปุ่นจะใช้ภาษาสุภาพกับผู้ที่ยังไม่สนิทสนมกัน นั่นคือ พวกเขาจะใช้ภาษาสุภาพกับผู้ที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ แต่หลังจากสนิทสนมกันมากขึ้นแล้ว พวกเขาจะไม่ใช้ภาษาสุภาพอีกต่อไป ทั้งนี้ไม่ขึ้นกับอายุ สถานะทางสังคม หรือเพศ
Remove ads
คำศัพท์
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประวัติศาสตร์
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วิวัฒนาการของภาษาญี่ปุ่นสามารถแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ได้ดังนี้[12]
- ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric age; 先史時代) อยู่ในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 8 ตรงกับยุคโจมง ยุคยาโยอิ ยุคโคฟุง และยุคอาซูกะ
- ภาษาญี่ปุ่นเก่า (Old Japanese; 上代語) อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ตรงกับยุคนาระ
- ภาษาญี่ปุ่นกลางตอนต้น (Early Middle Japanese; 中古語) อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตรงกับยุคเฮอัง
- ภาษาญี่ปุ่นกลางตอนปลาย (Late Middle Japanese; 中世語) อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปี ตรงกับยุคคามากูระ ยุคมูโรมาจิ และยุคอาซูจิ-โมโมยามะ
- ภาษาญี่ปุ่นปัจจุบัน (Modern Japanese; 近世語, 現代語) เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงปัจจุบัน โดยอาจแบ่งย่อยได้เป็น 2 ช่วง ได้แก่ ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในยุคเอโดะ (近世語) กับภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตั้งแต่ยุคเมจิจนถึงปัจจุบัน (現代語)
Remove ads
การจำแนกตามภูมิศาสตร์
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภาษาญี่ปุ่นสามารถแบ่งเป็นภาษาย่อยได้ดังต่อไปนี้[34]
อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์บางคนไม่จัดให้ภาษาที่พูดในหมู่เกาะรีวกีวเป็นภาษาย่อยของภาษาญี่ปุ่นตามตารางข้างต้น แต่จัดให้ภาษาดังกล่าวเป็นภาษาพี่น้องร่วมตระกูลกับภาษาญี่ปุ่น[35]
Remove ads
กลุ่มภาษา
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การเรียนภาษาญี่ปุ่น
มหาวิทยาลัยจำนวนมากทั่วโลกมีการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนมัธยมและโรงเรียนประถมบางแห่งที่สอนภาษาญี่ปุ่นด้วย ภาษาญี่ปุ่นได้รับความสนใจตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1800 และเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเฟื่องฟูในทศวรรษ 1980 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัฒนธรรมป๊อปปูล่าร์ของญี่ปุ่น (เช่น อนิเมะ และ วิดีโอเกม) กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ใน ค.ศ. 2003 มีผู้ศึกษาภาษาญี่ปุ่นอยู่ทั้งหมด 2.3 ล้านคนทั่วโลก แบ่งเป็น ชาวเกาหลีใต้ 900,000 คน ชาวจีน 389,000 ชาวออสเตรเลีย 381,000 คน และชาวอเมริกัน 140,000 คน ในญี่ปุ่นมีชาวต่างชาติที่ศึกษาภาษาญี่ปุ่นทั้งที่มหาวิทยาลัยและที่โรงเรียนสอนภาษาอยู่ทั้งหมด 90,000 คน แบ่งเป็นชาวจีน 77,000 คน และชาวเกาหลีใต้ 15,000 นอกจากนี้ รัฐท้องถิ่นและกลุ่มองค์กรไม่หวังผลกำไรยังสนับสนุนให้มีการเรียนภาษาญี่ปุ่นฟรีสำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยอยู่ รวมถึงชาวบราซิล-ญี่ปุ่น และชาวต่างชาติที่โอนสัญชาติเป็นญี่ปุ่นด้วย
รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้มีการสอบวัดระดับทักษะการใช้ภาษาญี่ปุ่นสำหรับชาวต่างชาติ การทดสอบที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) และการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นธุรกิจ (JETRO) ที่จัดโดยองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น
Remove ads
หมายเหตุ
- เสียง [ŋ] มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "เสียงขุ่นนาสิก" (ญี่ปุ่น: 鼻濁音 โรมาจิ: Bidakuon ทับศัพท์: บิดากูอง)
- Saitō (2015) ได้ให้เสียง [ɣ̃] (เสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน นาสิก) เป็นหน่วยเสียงย่อยอีกหนึ่งเสียงด้วย
- ชาวเอโดะ หรือ เอดกโกะ หมายถึง คนที่เกิดและโตในเมืองเอโดะหรือคนที่อาศัยอยู่ในใจกลางเมืองของกรุงโตเกียวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ การออกเสียงแบบนี้เป็นลักษณะเด่นของวิธีการพูดแบบ "เบรัมเม คูโจ" (ญี่ปุ่น: べらんめえ口調 โรมาจิ: Beranmē-kuchō ทับศัพท์: เบรัมเมคูโจ) ซึ่งเคยใช้ในหมู่พ่อค้าย่านใจกลางเมืองเอโดะ (กรุงโตเกียวในปัจจุบัน)[20]
- Saitō (2015) ได้ให้เสียง [χ] (เสียงเสียดแทรก ลิ้นไก่ ไม่ก้อง) เป็นหน่วยเสียงย่อยอีกหนึ่งเสียงด้วย
- เนื่องจากหน่วยเสียง /N/ ออกเสียงยาว 1 มอรา ในที่นี้จึงใช้สัญลักษณ์ "เสียงยาว" (long) ในการแสดงเสียงโดยละเอียดเช่นเดียวกับที่ปรากฏใน Vance (2008) อย่างไรก็ตาม Saito (2015) เลือกใช้สัญลักษณ์ "เสียงยาวครึ่งหนึ่ง" (half-long)
- 「を」 เดิมเคยใช้แสดงเสียง /wo/ ต่อมาในช่วงภาษาญี่ปุ่นกลางตอนต้นจนถึงช่วงต้นของภาษาญี่ปุ่นกลางตอนปลาย เสียง /wo/ ได้รวมเข้ากับเสียง /o/[12] ปัจจุบันคำศัพท์ที่เคยเขียนด้วย 「を」 ได้เปลี่ยนมาเขียนด้วย 「お」 ยกเว้นคำช่วย 「を」[25]
- สามารถเขียนแทนด้วยอักษรฮิรางานะ 「か゚・き゚・く゚・け゚・こ゚」 หรืออักษรคาตากานะ 「カ゚・キ゚・ク゚・ケ゚・コ゚」 นิยมใช้เฉพาะเมื่อมีความจำเป็น เช่น การแสดงเสียงอ่านในพจนานุกรมการออกเสียง
- Hasegawa (2015) ระบุว่าในภาษาคิงกิ (คันไซ) เสียงสระจะออกเป็นเสียงก้องอย่างชัดเจนถึงขนาดที่คำศัพท์ 1 มอรามักจะลากเสียงสระให้ยาวขึ้นเป็น 2 มอรา
Remove ads
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads