คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ตันซิ่ว
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ตันซิ่ว[2] (ค.ศ. 233–297[1]) มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า เฉิน โช่ว (จีน: 陳壽; พินอิน: Chén Shòu) ชื่อรอง เฉิงจั้ว (จีน: 承祚; พินอิน: Chéngzuò) เป็นนักประวัติศาสตร์ ขุนนาง และนักเขียนชาวจีนในยุคสามก๊กและยุคราชวงศ์จิ้นของจีน ตันซิ่วเป็นที่รู้จักจากงานเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของตนคือสามก๊กจี่ (三國志 ซานกั๋วจื้อ) ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและยุคสามก๊ก ตันซิ่วเขียนสามก๊กจี่ในรูปบทชีวประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเป็นหลัก ปัจจุบันสามก๊กจี่ของตันซิ่วเป็นส่วนหนึ่งของสารบบตำราประวัติศาสตร์จีนยี่สิบสี่ชุด (二十四史 เอ้อร์ฉือซื่อฉื่อ)
Remove ads
แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประวัติของตันซิ่ว
ชีวประวัติของตันซิ่วปรากฏใน 2 แหล่ง แหล่งแรกคือหฺวาหยางกั๋วจื้อ (華陽國志) ซึ่งเขียนโดยฉาง ฉฺวี (常璩) ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก แหล่งที่สองคือจิ้นชู (晉書) ซึ่งเขียนโดยฝาง เสฺวียนหลิง (房玄齡) และคนอื่น ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ในยุคราชวงศ์ถัง
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ตันซิ่วเริ่มรับราชการในฐานะข้าราชการของรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊ก แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกส่งออกจากนครหลวงเนื่องจากตันซิ่วปฏิเสธที่จะประจบฮุยโฮ (黃皓 หฺวาง เฮ่า) ขันทีราชสำนักผู้มีอิทธิพลในจ๊กก๊กในช่วงปลาย หลังการล่มสลายของจ๊กก๊กเมื่อ ค.ศ. 263 ชีวิตราชการของตันซิ่วอยู่ในช่วงหยุดชะงัก ก่อนที่จาง หฺวา (張華) ขุนนางราชวงศ์จิ้นจะเสนอให้รับตันซิ่วเข้ารับราชการในราชสำนักราชวงศ์จิ้น ตันซิ่วดำรงตำแหน่งหลัก ๆ ด้านอาลักษณ์และเลขานุการในราชสำนักราชวงศ์จิ้นก่อนจะเสียชีวิตด้วยอาการปวยเมื่อ ค.ศ. 297 ตันซิ่วมีงานเขียนมากกว่า 200 งานเขียน มีประมาณ 30 งานเขียนที่เขียนร่วมกับญาติโดยถือให้เป็นผลงานของตันซิ่ว[3]
ประวัติช่วงต้นและการรับราชการในจ๊กก๊ก
ตันซิ่วเป็นชาวอำเภออานฮั่น (安漢縣 อานฮั่นเซี่ยน) เมืองปาเส (巴西郡 ปาซีจฺวิ้น) ซึ่งอยู่ในนครหนานชง (南充市 หนานชงชื่อ) มณฑลเสฉวน (四川 ซือชฺวาน) ในปัจจุบัน ตันซิ่วเป็นที่รู้จักในเรื่องความขยันเล่าเรียนตั้งแต่วัยเยาว์และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้มีสติปัญญา มีไหวพริบ และมีความรู้กว้างขวาง ตันซิ่วได้รับการสั่งสอนจากเจาจิ๋ว (譙周 เฉียวโจว) ขุนนางจ๊กก๊กซึ่งเป็นชาวเมืองปาเสเช่นกัน ตันซิ่วภายใต้การสั่งสอนของเจาจิ๋วได้อ่านตำราชูจิง (書經) และชุนชิวซานจฺว้าน (春秋三傳) และยังมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับตำราประวัติศาสตร์ฉื่อจี้ (史記) และฮั่นชู (漢書)[4]
จิ้นชูระบุว่าตันซิ่วรับราชการเป็นเสมียนอำเภอกวานเก๋อ (觀閣令史 กวานเก๋อลิ่งฉื่อ) แต่ในหฺวาหยางกั์วจื้อระบุว่าตันซิ่วดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ตามลำดับ: นายทะเบียน (主簿 จู่ปู้) ของขุนพลพิทักษ์ (衛將軍 เว่ย์เจียงจฺวิน), เจ้าพนักงานของห้องสมุดหลวงตะวันออก (東觀秘書郎 ตงกวานมี่ชูหลาง), เจ้าพนักงานทหารม้ามหาดเล็ก (散騎侍郎 ซ่านฉีชื่อหลาง) และเจ้าพนักงานสำนักประตูเหลือง (黃門侍郎 หฺวางเหมินชื่อหลาง)[5] ในช่วงปลายสมัยของจ๊กก๊ก (ป. คริสต์ทศวรรษ 250 – ค.ศ. 263) ข้าราชการจำนวนมากประจบประแจงฮุยโฮผู้เป็นขันทีราชสำนักผู้ทรงอิทธิพล หวังจะได้รับความโปรดปรานจากฮุยโฮ ตันซิ่วปฏิเสธที่แสดงพฤติกรรมประจบสอพลอเช่นนั้น การที่ตันซิ่วกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบให้ชีวิตราชการของตันซิ่วตกต่ำลง ตันซิ่วถูกปลดจากตำแหน่งหลายครั้งและถูกส่งตัวออกนอกเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) นครหลวงของจ๊กก๊ก[6]
การรับราชการในราชวงศ์จิ้น
หลังการล่มสลายของจ๊กก๊กเมื่อ ค.ศ. 263 ชีวิตราชการของตันซิ่วเข้าสู่ช่วงหยุดชะงักจนกระทั่งจาง หฺวาเสนอให้รับตันซิ่วเข้ารับราชการในราชสำนักราชวงศ์จิ้น จาง หฺวาชื่นชมความสามารถของตันซิ่วและรู้สึกว่าแม้ว่าตันซิ่วมีชื่อเสียงไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ควรถูกลดขั้นและปลดจากตำแหน่งระหว่างที่อยู่ในจ๊กก๊ก ตันซิ่วได้รับการเสนอชื่อเป็นเซี่ยวเหลียน (孝廉; ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับราชการ) และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานอาลักษณ์ (佐著作郎 จั่วจู้จั้วหลาง) และรักษาการตำแหน่งนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอยงเป๋ง (陽平縣 หยางผิงเซี่ยน)
เมื่อ ค.ศ. 274 ตันซิ่วรวบรวมและเรียบเรียงงานเขียนของจูกัดเหลียง (諸葛亮 จูเก่อ เลี่ยง) ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีคนแรกของจ๊กก๊ก[7] และเสนอต่อราชสำนักราชวงศ์จิ้น ตันซิ่วได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจ้าพนักงานอาลักษณ์ (著作郎 จู้จั้วหลาง) และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจสอบราชการพลเรือน (中正 จงเจิ้ง) ของเมืองปาเส[8] หฺวาหยางกั๋วจื้อระบุว่าตันซิ่วยังดำรงตำแหน่งเป็นปลัดรัฐ (相 เซียง) ของเฮาแห่งยงเป๋ง (平陽侯 หยางผิงโหว) ด้วย[9]
เมื่อจาง หฺวาเสนอให้ตันซิ่วดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการราชวัง (中書郎 จงชูหลาง) กรมบุคลากรแต่งตั้งให้ตันซิ่วเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองฉางกว่าง (長廣郡 ฉางกว่างจฺวิ้น) แทนตามการเสนอของซุนโจย (荀勗 สฺวิน ซฺวี่) จิ้นชูระบุว่าซุนโจยเกลียดจาง หฺวาและไม่ชอบตันซิ่วที่เกี่ยวข้องกับจาง หฺวา ซุนโจยจึงโน้นน้าวให้กรมบุคลากรตั้งให้ตันซิ่วมีตำแหน่งอื่น ตันซิ่วปฏิเสธการรับตำแหน่งโดยให้เหตุผลว่าตนต้องดูแลมารดาผู้ชราของตน[10] หฺวาหยางกั๋วจื้อให้รายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตันซิ่วและซุนโจยที่แตกต่างออกไป โดยระบุว่าซุนโจยและจาง หฺวาชอบสามก๊กจี่ที่เป็นงานเขียนของตันซิ่วอย่างมาก ทั้งสองให้ความเห็นว่าตันซิ่วเหนือกว่าปาน กู้ (班固) และซือหม่า เชียน (司馬遷) แต่ภายหลังซุนโจยไม่ชอบภาควุยก๊ก (魏書 เว่ย์ชู) ซึ่งเป็นภาคหนึ่งในสามภาคของสามก๊กจี่ และไม่ต้องการให้ตันซิ่วทำงานในสำนักเดียวกันกับตน จึงให้ตันซิ่วไปเป็นเจ้าเมืองฉางกว่าง[11]
เมื่อ ค.ศ. 278[12] ก่อนที่ขุนพลเตาอี้ (杜預 ตู้ ยฺวี่) จะเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพของทัพราชวงศ์จิ้นในมณฑลเกงจิ๋ว (荊州 จิงโจว) เตาอี้ทูลเสนอชื่อตันซิ่วต่อจักรพรรดิสุมาเอี๋ยน (司馬炎 ซือหม่า เหยียน) โดยทูลว่าตันซิ่วมีความสามารถในการรับราชการเป็นเจ้าพนักงานสำนักประตูเหลือง (黃門侍郎 หฺวางเหมินชื่อหลาง) หรือเจ้าพนักงานทหารม้ามหาดเล็ก (散騎侍郎 ซ่านฉีชื่อหลาง) จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงยอมรับการเสนอของเตาอี้และทรงแต่งตั้งตันซิ่วเป็นขุนนางตรวจสอบจัดการเอกสาร (御史治書 ยฺวี่ฉื่อจื้อชู)[13][14]
จิ้นชูระบุว่าตันซิ่วลาราชการเมื่อมารดาเสียชีวิต ตันซิ่วทำตามความปรารถนาของมารดาก่อนเสียชีวิตที่ให้ฝังศพในนครหลวงลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) แต่ตันซิ่วกลับถูกตำหนิและถูกลดขั้น เพราะการฝังศพมารดาในลกเอี๋ยงแทนที่จะเป็นอำเภออานฮั่นอันเป็นบ้านเกิดนั้นถือเป็นการผิดต่อขนบธรรมเนียมในยุคนั้น[15] หฺวาหยางกั๋วจื้อให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไปว่าผู้ที่เสียชีวิตคือมารดาบุญธรรมของตันซิ่ว (ไม่ใช่มารดาแท้ ๆ) จึงไม่ต้องการให้ฝังศพตนร่วมกับบิดาของตันซิ่ว (ในอำเภออานฮั่น)[16] ตันซิ่วจึงฝังศพของมารดาบุญธรรมในลกเอี๋ยง
ประวัติช่วงปลาย
จิ้นชูระบุว่าหลายปีหลังตันซิ่วถูกลดขั้น ตันซิ่วได้รับการแต่งตั้งเป็นคนสนิท (中庶子 จงชูจื่อ) ของรัชทายาทซือหม่า ยฺวี่ (司馬遹) แต่ตันซิ่วไม่รับตำแหน่ง[17] ตันซิ่วเสียชีวิตด้วยอาการป่วยขณะมีอายุ 65 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) เมื่อ ค.ศ. 297 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้ (晉惠帝)[1]
หฺวาหยางกั๋วจื้อให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนการเสียชีวิตของตันซิ่วที่แตกต่างออกไปโดยระบุว่าตันซิ่วได้รับการแต่งตั้งเป็นคนสนิทของรัชทายาทซือหม่า ยฺวี่ ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานทหารม้ามหาดเล็ก (散騎侍郎 ซ่านฉีชื่อหลาง) อีกครั้งหลังซือหม่า ยฺวี่ทรงถูกปลดจากการเป็นรัชทายาทเมื่อ ค.ศ. 299[18] จักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้ตรัสกับจาง หฺวาว่า "(ตัน) ซิ่วมีความสามารถโดยแท้ ไม่ควรให้คงอยู่ในตำแหน่งในทุกวันนี้นานเกินไปนัก" จาง หฺวาต้องการเสนอชื่อตันซิ่วให้รับตำแหน่งเป็นตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในเก้าเสนาบดี แค่ตัวจาง หฺวาเสียชีวิตไปเสียก่อนเมื่อ ค.ศ. 300 ในช่วงสงครามแปดอ๋อง[18] ตันซิ่วเสียชีวิตในลกเอี๋ยงในเวลาต่อมา ความสามารถและผลงานของตันซิ่วไม่ได้สะท้อนถึงสถานะของตันซิ่วในช่วงเวลาที่เสียชีวิต ผู้คนหลายคนรู้สึกว่าเป็นความอยุติธรรมต่อตัวตันซิ่ว[19] บันทึกในหฺวาหยางกั๋วจื้อเสนอข้อมูลอย่างชัดเจนว่าตันซิ่วเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 300 หรือหลังจากนั้นซึ่งไม่สอดคล้องกับปีเสียชีวิตที่ระบุในบันทึกของจิ้นชู
Remove ads
สามก๊กจี่

ช่วงเวลาหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 3 หลัง ค.ศ. 280[20] ตันซิ่วเขียนงานเขียนชิ้นเอกคือสามก๊กจี่ (三國志 ซานกั๋วจื้อ; จดหมายเหตุสามก๊ก) จำนวน 65 เล่ม ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกและยุคสามก๊ก เนื้อหาแบ่งเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาควุยก๊ก (魏書 เว่ยชู), ภาคจ๊กก๊ก (蜀書 ฉู่ชู) และ ภาคง่อก๊ก (吳書 อู๋ชู) ประกอบด้วยบทชีวประวัติของบุคคลสำคัญในยุคนั้นเป็นหลัก
ตันซิ่วได้รับการชื่นชมในเรื่องผลงานเขียนจากคนร่วมสมัยและได้รับการยกย่องว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ในช่วงเวลานั้น เซี่ยโหว จ้าน (夏侯湛) ที่เป็นนักประวัติศาสตร์อีกคนกำลังเขียนตำราของตนเองคือเว่ยชู (魏書; ตำราประวัติศาสตร์วุยก๊ก) ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ของงวุยก๊กในยุคสามก๊ก หลังได้อ่านสามก๊กจี่ของตันซิ่ว เซี่ยโหว จ้านก็ทำลายงานเขียนของตนเองทิ้ง จาง หฺวาประทับใจสามก๊กจี่อย่างมากจนถึงกับบอกตันซิ่วว่า "เราควรฝากความรับผิดชอบในการเขียนจิ้นชู (晉書; ตำราประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น) ไว้กับท่าน" ตันซิ่วได้รับการย่องอย่างเป็นสูงเช่นนั้นหลังเขียนสามก๊กจี่[21]
ข้อโต้แย้ง
สรุป
มุมมอง
แม้ว่าตันซิ่วมีผลงานยิ่งใหญ่ แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาและข้อโต้แย้งอื่น ๆ จิ้นชูระบุถึงข้อโต้แย้ง 2 ประเด็นที่เกี่ยวกับตันซิ่วและสามก๊กจี่งานเขียนของตันซิ่ว ซึ่งผู้วิจารณ์ใช้ในการดูหมิ่นตันซิ่ว[22] ถาง เกิง (唐庚) บัณฑิตในยุคราชวงศ์ซ่งก็วิจารณ์ตันซิ่วในฐานะนักประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผล 2 ข้อในงานเขียนชื่อซานกั๋วจ๋าชื่อ (三國雜事; เรื่องเบ็ดเตล็ดสามก๊ก)
การบังคับเอาข้าว
ประเด็นแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่ตันซิ่วพยายามบังคับเอาข้าว 1,000 หู[b] จากเหล่าบุตรชายของเตงหงี (丁儀 ติง อี๋) และน้องชายคือเตงอี้ (丁廙 ติง อี้)[c] ซึ่งเป็นขุนนาง 2 คนของรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊ก ตันซิ่วให้คำมั่นว่าตนจะเขียนบทชีวประวัติของเตงหงีและเตงอี้ในสามก๊กจี่ หากเหล่าบุตรชายของทั้งสองมอบข้าวให้ตน แต่เหล่าบุตรชายของเตงหงีและเตงอี้ปฏิเสธ ตันซิ่วจึงไม่เขียนบทชีวประวัติของเตงหงีและเตงอี้ อย่างไรก็ตามในจิ้นชูได้ขึ้นต้นเกร็ดประวัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยคำว่า ฮั่ว-ยฺหวิน (或云) ซึ่งมีความหมายว่า "ข่าวลือ"[23]
พาน เหมย์ (潘眉) นักเขียนในยุคราชวงศ์ชิงโต้แย้งบันทึกในจิ้นชูเกี่ยวกับเรื่องที่ตันซิ่วพยายามรีดไถจากตระกูลเตง โดยระบุว่าเป็นข้อมูลที่ "ไร้มูลความจริง" พาน เหมย์หักล้างข้ออ้างที่ว่าเตงหงีและเตงอี้เป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงมากในวุยก๊กโดยชี้ให้เห็นว่าทั้งสองไม่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญและไม่ได้สร้างผลงานที่สำคัญใด ๆ พาน เหมย์ยังรู้สึกว่าตันซิ่วมีเหตุผลชัดเจนที่จะตัดสินใจไม่เขียนบทชีวประวัติให้เตงหงีและเตงอี้ เพราะมีความเห็นว่าทั้งสองทำเรื่องผิดร้ายแรง ทั้งการยุยงให้เกิดความบาดหมางระหว่างพี่น้องและการก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในราชตระกูลของวุยก๊ก[d] ซึ่งทำให้ทั้งสองไม่คู่ควรที่จะมีบทชีวประวัติของตนเองในบันทึกประวัติศาสตร์ พาน เหมย์ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่ายังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ในวุยก๊ก เช่น ตันหลิม (陳琳 เฉิน หลิน), อู๋ จื้อ (吳質) และเอียวสิ้ว (楊修 หยาง ซิว) ที่ไม่มีบทชีวประวัติของตนเองในสามก๊กจี่ ดังนั้นการมีชื่อเสียงไม่ได้หมายความว่าควรจะมีการเขียนบทชีวประวัติให้บุคคลนั้น ๆ พาน เหมย์สรุปเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่าจิ้นชูกล่าวอ้างอย่างมุ่งร้าย (เกี่ยวกับตันซิ่ว)[24]
อคติ
ประเด็นที่สองเป็นเรื่องที่ตันซิ่วมีความแค้นส่วนตัวกับจูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีของจ๊กก๊กและจูกัดเจี๋ยม (諸葛瞻 จูเก่อ จาน) บุตรชายของจูกัดเหลียง ตันซิ่วจึงเขียนความเห็นในเชิงลบเกี่ยวกับทั้งสองในสามก๊กจี่ บิดาของตันซิ่ว[e]เป็นที่ปรึกษาการทหารของม้าเจ๊ก (馬謖 หม่า ซู่) ขุนพลของจ๊กก๊ก เมื่อม้าเจ๊กถูกประหารชีวิตตามคำสั่งของจูเหลียงหลังม้าเจ๊กพ่ายแพ้ในยุทธการที่เกเต๋ง (街亭 เจียถิง) เมื่อ ค.ศ. 228 บิดาของตันซิ่วมีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกตัดสินโทษด้วยโทษคุน (髡) ซึ่งเป็นการลงโทษด้วยการโกนศีรษะ ส่วนจูกัดเจี๋ยมเคยดูถูกตันซิ่วมาก่อน เมื่อตันซิ่วเขียนบทชีวประวัติของจูกัดเหลียงและจูกัดเจี๋ยมในสามก๊กจี่ ได้วิจารณ์ไว้ว่าจูกัดเหลียงไม่ถนัดในการเป็นผู้นำทางการทหารและยังขาดไหวพริบในการเป็นผู้นำทางการทหารที่ยอดเยี่ยม ส่วนจูกัดเจี๋ยมเป็นเลิศเฉพาะด้านวรรณศิลป์และมีชื่อเสียงที่เกินจริง[25]
เจ้า อี้ (趙翼) นักเขียนในยุคราชวงศ์ชิงโต้แย้งคำอ้างของจิ้นชูที่ว่าตันซิ่วมีมีอคติต่อจูกัดเหลียงในสามก๊กจี่ เจ้า อี้ให้ความเห็นว่าคำอ้างนี้เป็น "คำกล่าวที่ไร้มูลความจริง" และยังให้ความเห็นอีกว่าความเป็นผู้นำทางการทหารไม่จำเป็นต้องถือว่าเป็นความถนัดของจูกัดเหลียง เพราะจูกัดเหลียงก็สร้างผลงานที่โดดเด่นในด้านอื่น ๆ ด้วย เจ้า อี้ยังบ่งชี้ถึงหลักฐาน 2 ส่วนที่ขัดกับคำอ้างของจิ้นชู นั่นคือตันซิ่วแสดงความเห็นในเชิงบวกเกี่ยวกับความสามารถของจูกัดเหลียงในฐานะนักการเมืองในรวมผลงานของจูกัดเหลียง และในบทวิจารณ์ของตนในช่วงท้ายบทชีวประวัติจูกัดเหลียงในสามก๊กจี่ ข้อสรุปของเจ้า อี้ในประเด็นนี้ก็คือตันซิ่วได้ระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของจูกัดเหลียงอย่างชัดเจนในคำวิจารณ์จูกัดเหลียงในสามก๊กจี่[26]
การอ้างว่าจ๊กก๊กไม่มีสำนักประวัติศาสตร์
ตันซิ่วเขียนในบทชีวประวัติเล่าเสี้ยนว่ารัฐจ๊กก๊กไม่มีสำนักประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่บทชีวประวัติขุนนางของจ๊กก๊กมีข้อมูลร่อยหรอ[27] ถาง เกิงสงสัยในคำอ้างนี้ โดยให้ความเห็นว่าแม้ตำราโบราณแนะนำให้มีอาลักษณ์คนหนึ่งสำหรับเขียนทุกพระดำรัสของเจ้าแผ่นดิน และอาลักษณ์อีกคนสำหรับเขียนทุกพระราชกิจ แต่ความเหล่านี้เป็นการกล่าวเกินจริง ถาง เกิงยกตัวอย่างเหล่าบุคคลที่ประสานบทบาทของตนในฐานะนักประวัติศาสตร์เข้ากับหน้าที่อื่น ๆ ในราชสำนัก นอกจากนี้ ในช่วงที่โจวหลี่ (周禮; ก่อนศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล) ถูกเขียนขึ้น แม้แต่ขุนศึกท้องถิ่นก็มีสำนักประวัติศาสตร์ของตนเอง ดังนั้นการที่จ๊กก๊กไม่มีสำนักประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องน่าสงสัย ท้ายที่สุดถาง เกิงก็ชี้ให้เห็นว่าตันซิ่วระบุขัดแย้งกันเองในบทชีวประวัติเดียวกันจากการเขียนว่า "สำนักประวัติศาสตร์ (史官 ฉื่อกวาน) รายงานการเห็นดาวสว่างไสว"[28] ซึ่งปรากฏในอีก 3 ย่อหน้าถัดมา[29]
การกล่าวถึงรัฐของเล่าปี่และเล่าเสี้ยนด้วยชื่อ "จ๊ก" แทนที่จะเป็น "ฮั่น"
ถาง เกิงแสดงความเห็นว่านับตั้งแต่ฉื่อจี้จนถึงยุคสมัยของตัวถาง เกิงเอง ทุกรัฐในบันทึกประวัติศาสตร์หลวงถูกเรียกด้วยชื่อที่รัฐนั้น ๆ ใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ เนื่องจากการเรียกเช่นนั้นเป็นการให้เกียรติโดยพื้นฐาน แต่ตันซิ่วเป็นนักประวัติศาสตร์เพียงคนเดียวที่ยกเว้นในกรณีของรัฐจ๊กก๊ก ตลอดช่วงเวลาที่รัฐจ๊กก๊กดำรงอยู่ เล่าปี่และเล่าเสี้ยนใช้ชื่อว่า "ฮั่น" ในการเรียกรัฐของตนมาโดยตลอด เนื่องจากทั้งสองถือว่าตนเป็นผู้สานต่อการปกครองของราชวงศ์ฮั่น แม้คำว่า "จ๊ก" หรือ "ฉู่" (蜀) เป็นศัพท์ทางภูมิศาสตร์ที่หมายถึงอาณาบริเวณอันเป็นที่ตั้งของรัฐจ๊กก๊ก แต่ก็ยังเป็นชื่อในเชิงดูถูกที่วุยก๊กและราชวงศ์จิ้นใช้ในการลดทอนความชอบธรรมในการอ้างตนของจ๊กก๊กว่าเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์ฮั่น การที่ตันซิ่วเลือกใช้คำว่า "จ๊ก" หรือ "ฉู่" ในงานเขียนของตนนั้น ถาง เกิงมองว่าเป็นการจงใจละเลยความเป็นกลางเพื่อเอาใจผู้อุปถัมป์และด้วยความเกลียดชังส่วนตัวของตันซิ่วเอง
ถาง เกิงยกตัวอย่างสถานการณ์ในยุคห้าราชวงศ์สิบรัฐที่คล้ายคลึงกันเพื่อเปรียบต่าง โดยกล่าวถึงรัฐถังใต้ (南唐 หนานถัง) ที่ถูกเรียกในเชิงดูถูกว่า "อู๋" (吳) และรัฐฮั่นเหนือ (北漢 เป่ย์ฮั่น) ที่ถูกเรียกในเชิงดูถูกว่า "จิ้น" (晉) แต่เอกสารทางประวัติศาสตร์ก็ยังคงเรียกรัฐเหล่านี้ด้วยชื่อที่รัฐนั้น ๆ เรียกตนเอง จากนั้นถาง เกิงก็คร่ำครวญว่าเมื่อไม่นานมานี้มีบางคนใช้งานเขียนของตันซิ่วมาเป็นตัวอย่างเพื่อโน้มน้าวนักประวัติศาสตร์ไม่ให้บันทึกเหตุการณ์ที่เห็นว่าไม่สำคัญ[30]
Remove ads
ผลงานอื่น ๆ
สรุป
มุมมอง
จิ้นชูระบุว่าในช่วงต้น ๆ ที่ตันซิ่วรับราชการกับราชวงศ์จิ้น ตันซิ่วได้รวบรวมและเรียบเรียงงานเขียนของจูกัดเหลียง ตำรารวมงานเขียนนี้เรียกว่า ฉู่เซียงจูเก่อเลี่ยงจี๋ (蜀相諸葛亮集; รวมผลงานของจูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีจ๊กก๊ก)[31] หฺวาหยางกั๋วจื้อระบุว่าภายหลังจาง หฺวาทูลเสนอจักรพรรดิสุมาเอี๋ยนให้ปรับปรุงตำราใหม่และเรียบเรียงเป็นชุด 24 เล่ม ในช่วงเวลานั้น โช่ว เหลียง (壽良) ก็มีงานวิจัยของตนเองเกี่ยวกับงานเขียนของจูกัดเหลียง ซึ่งมีเนื้อหาที่ค่อนข้างแตกต่างจากฉบับดั้งเดิมของตันซิ่ว ท้ายที่สุดตำราได้ถูกเขียนขึ้นใหม่และกลายเป็น จูเก่อเลี่ยงกู้ชื่อ (諸葛亮故事; เรื่องราวของจูกัดเหลียง)[32]
นับตั้งแต่ช่วงปลายศักราชเจี้ยนอู่ (建武; ค.ศ. 25-56) ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เหล่านักเขียนได้แก่ เจิ้ง ปั๋วอี้ (鄭伯邑), เจ้า เยี่ยนซิ่น (趙彥信), เฉิน เชินปั๋ว (陳申伯), จู้ ยฺเหวียนหลิง (祝元靈) และหวาง เหวินเปี่ยว (王文表) ได้ร่วมกันเขียน ปาฉู่ฉีจิ้วจฺว้าน (巴蜀耆舊傳; ชีวประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงจากแดนปา-จ๊ก) ตันซิ่วรู้สึกว่าปาฉู่ฉีจิ้วจฺว้านยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ จึงเขียนขยายเพิ่มเติมเป็น 10 เล่ม เรียกว่า อี้ปู้ฉีจิ้วจฺว้าน (益部耆舊傳; ชีวประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงจากมณฑลเอ๊กจิ๋ว)[f][33] ขุนนางเหวิน ลี่ (文立) ทูลเกล้าฯ ถวายงานเขียนชุดนี้แด่จักรพรรดิสุมาเอี๋ยน จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงชื่นชมงานเขียนดังกล่าว[34]
งานเขียนอื่น ๆ ของตันซิ่ว ได้แก่ กู่กั๋วจื้อ (古國志; จดหมายเหตุรัฐโบราณ) จำนวน 50 เล่ม ซึ่งได้รับการชื่นชมเป็นอย่างสูง,[33][35] กวานซือลุ่น (官司論; วาทนิพนธ์ว่าด้วยระบบข้าราชการ) จำนวน 7 เล่ม ซึ่งใช้ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์มาอภิปรายเรื่องการปฏิรูป, ชื่อฮุ่ย (釋諱; อธิบายข้อห้าม), กว่างกั๋วลุ่น (廣國論),[36] เว่ย์หมิงเฉินโจ้ว (魏名臣奏; ฎีกาของขุนนางที่มีชื่อเสียงแห่งวุยก๊ก)[37]
Remove ads
ครอบครัวและญาติ
เฉิน ฝู (陳符) ผู้มีชื่อรองว่าฉางซิ่น (長信) เป็นบุตรชายของพี่ชายของตันซิ่ว เป็นที่รู้จักในเรื่องความสามารถทางวรรณกรรมและสืบทอดหน้าที่ของตันซิ่วผู้อาในฐานะเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการผู้ช่วย และยังรับราชการในตำแหน่งนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอช่างเหลียน (上廉縣 ช่างเหลียนเซี่ยน)[38]
น้องชายของเฉิน ฝูคือเฉิน ลี่ (陳蒞) ผู้มีชื่อรองว่าชูตู้ (叔度) รับราชการเป็นผู้ช่วยข้าหลวงมณฑล (別駕 เปี๋ยเจี้ย) ในมณฑลเลียงจิ๋ว (涼州 เหลียงโจว) ภายหลังมาเป็นขุนนางของสุมาฮิว (司馬攸 ซือหม่า โยว) ผู้เป็นเจอ๋อง (齊王 ฉีหวาง) และขุนพลทหารม้าทะยาน (驃騎將軍 เพี่ยวฉีเจียงจฺวิน) เฉิน ลี่เสียชีวิตในลกเอี๋ยงเช่นกัน[39]
เฉิน ลี่มีญาติที่อายุน้อยกว่าชื่อเฉิน เจีย (陳階) ผู้มีชื่อรองว่าต๋าจือ (達之) เฉิน เจียดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้: นายทะเบียน (主簿 จู่ปู้) ของที่ว่าการมณฑลเอ๊กจิ๋ว, เปาจงลิ่ง (褒中令), นายกองร้อยตะวันตก (西部都尉 ซีปู้ตูเว่ย์) ของเมืองเองเฉียง (永昌郡 'หย่งชางจฺวิ้น), เจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองเกียมเหลง (建寧) และซิงกู่ (興古) เฉิน เจียยังเป็นที่รู้จักจากความสามารถทางวรรณกรรม[40]
เฉิน ฝู, เฉิน ลี่และเฉิน เจียต่างการเขียนผลงานมากกว่า 10 งานเขียนจากทั้งหมดมากกว่า 200 งานเขียนที่ถือกันว่าเป็นผลงานของตันซิ่ว[3]
Remove ads
เกร็ดประวัติ
สรุป
มุมมอง
ช่วงไว้ทุกข์ให้บิดา
จิ้นชูระบุว่าตันซิ่วล้มป่วยระหว่างช่วงไว้ทุกข์หลังการเสียชีวิตของบิดา แขกบางคนที่มาเยี่ยมบ้านแสดงความไม่พอใจเมื่อเห็นตันซิ่วให้หญิงรับใช้ป้อนยาให้ตน เพราะตันซิ่วควรใช้ชีวิตอย่างสมถะในช่วงไว้ทุกข์ ชาวเมืองได้ยินเรื่องนี้ต่างก็พากันวิพากย์วิจารณ์ตันซิ่ว[41]
ขัดแย้งกับหลี่ เซียง
หฺวาหยางกั๋วจื้อระบุว่าตันซิ่วเป็นเพื่อนสนิทของหลี่ เซียง (李驤) ผู้มีชื่อรองว่าชูหลง (叔龍) และเป็นชาวเมืองจื่อถง (梓潼郡 จื่อถงจฺวิ้น) หลี่ เซียงมีชื่อเสียงในด้านความสามารถ ชื่อเสียงคล้ายกับตันซิ่ว ได้รับการเสนอชื่อเป็นซิ่วไฉ (秀才) และรับราชการเป็นเจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการ (尚書郎 ช่างชูหลาง) ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองเจี้ยนผิง (建平郡 เจี้ยนผิงจฺวิ้น) แต่หลี่ เซียงปฏิเสธการแต่งตั้งและอ้างว่าป่วยเพราะตนต้องการคงอยู่ในมณฑลบ้านเกิด ต่อมาหลี่ เซียงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองของเมืองก๋งฮาน (廣漢郡 กว่างฮั่นจฺวิ้น; อยู่บริเวณนครกว่างฮั่น มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) ความสัมพันธ์ระหว่างตันซิ่วและหลี่ เซียงเลวร้ายลงและทั้งสองก็เริ่มกล่าวหาเท็จต่อกันและกัน ข้าราชการคนอื่น ๆ ดูถูกตันซิ่วและหลี่ เซียงเพราะการทะเลาะเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทั้งคู่[42]
คำแนะนำของเจาจิ๋วแก่ตันซิ่ว
จิ้นชูระบุว่าเจาจิ๋วอาจารย์ของตันซิ่วมักบอกกับตันซิ่วว่า "ท่านจะโด่งดังจากความสามารถของท่านเองเป็นแน่ แต่หากเผชิญหน้ากับความเสื่อมถอยใด ๆ นั่นอาจไม่ใช่ผลจากเคราะห์ร้าย ท่านควรระมัดระวังให้มากในสิ่งที่ท่านจะทำ" ฝาง เสฺวียนหลิงให้ความเห็นว่าประสบการณ์ของตันซิ่วทั้งการถูกลดขั้นและการถูกดูหมื่นระหว่างที่อยู่ในจ๊กก๊ก และถูกกระทำเช่นเดียวกันเมื่อรับราชการกับราชวงศ์จิ้นนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่เจาจิ๋วเคยพูดเกี่ยวกับตันซิ่ว[43]
Remove ads
คำวิจารณ์
ฉาง ฉฺวีผู้เขียนบทชีวประวัติตันซิ่วในหฺวาหยางกั๋วจื้อ[g] ยกย่องตันซิ่วไว้ว่า "ศึกษาเรื่องอดีต ชื่อเสียงเทียบซือหม่า เชียนและปาน กู้"[44]
สิ่งตกทอด
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
- บทชีวประวัติตันซิ่วในจิ้นชูระบุว่าตันซิ่วเสียชีวิตขณะมีอายุ 65 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) ในศักราชยฺเหวียนคาง (元康) ปีที่ 7 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้[1] เมื่อคำนวณแล้ว ปีเกิดของตันซิ่วควรอยู่ราว ค.ศ. 233
- เตงหงีและเตงอี้เป็นสหายสนิทของโจสิด (曹植 เฉา จื๋อ) น้องชายของโจผี (曹丕 เฉา พี) ซึ่งภายหลังเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งรัฐวุยก๊ก ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 210 โจผีและโจสิดแย่งชิงอำนาจกันเพื่อสืบทอดตำแหน่งของบิดา การแย่งชิงอำนาจกันสิ้นสุดเมื่อ ค.ศ. 217 ด้วยชัยชนะของโจผี โจผีสั่งประหารชีวิตเตงหงีและเตงอี้หลังขึ้นครองราชย์เมื่อ ค.ศ. 220
- บทชีวประวัติตันซิ่วบันทึกอยู่ในหฺวาหยางกั๋วจื้อเล่มที่ 11 ซึ่งมีชื่อเล่มว่า ชีวประวัติของวิญญูชนในยุคหลัง (後賢志 โฮ่วเสียนจื้อ) มีเนื้อหาครอบคลุมประวัติของบุคคลที่มีชื่อเสียงจากภูมิภาคเสฉวนในยุคราชวงศ์จิ้น
Remove ads
อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads