คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
อุรัสยา เสปอร์บันด์
นักแสดงและนางแบบชาวไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
อุรัสยา เสปอร์บันด์ (เกิด 18 มีนาคม พ.ศ. 2536) ชื่อเล่น ญาญ่า เป็นนักแสดงและนางแบบชาวไทย เธอเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นนางแบบ หลังจากเซ็นสัญญากับสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เธอได้แสดงละครครั้งแรกในเรื่อง เพื่อนซี้ล่องหน (2552) ก่อนจะเริ่มมีชื่อเสียงในละครเรื่อง ดวงใจอัคนี (2553) ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลท็อปอวอร์ดและสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ สาขาดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม จากนั้นประสบความสำเร็จในละครที่ดัดแปลงจากนวนิยายอย่าง เกมร้ายเกมรัก (2554) และ ธรณีนี่นี้ใครครอง (2555) นอกจากนี้ เธอยังมีผลงานอื่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง เช่น ดาวเรือง (2556), รอยฝันตะวันเดือด (2557) และ หนึ่งในทรวง (2558)
อุรัสยาได้รับการยอมรับมากขึ้นจากการแสดงในละครเรื่อง คลื่นชีวิต (2560) ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงดีเด่น และได้รับเสียงชื่นชมจากการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกอย่าง น้อง.พี่.ที่รัก (2561) ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์และรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในปีเดียวกัน เธอยังแสดงภาพยนตร์เรื่อง นาคี ๒ ที่กลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้น อีกทั้งยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่องในละครเรื่อง กลิ่นกาสะลอง (2562) และ คือเธอ (2565) เรื่องหลังทำให้เธอได้รับรางวัลนาฏราช สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก ในปี 2565 เธอได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สอง
Remove ads
ชีวิตช่วงแรก
สรุป
มุมมอง
อุรัสยา เสปอร์บันด์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2536 ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี บิดาของเธอชื่อ ซิกู๊ด เป็นชาวนอร์เวย์ ทำงานเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ส่วนมารดาของเธอ อุไร ทำงานเป็นแม่บ้าน[1][2] อุรัสยามีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ แคทรียา อายุมากกว่าเธอสามปี[3] และมีพี่ชายชาวนอร์เวย์ต่างมารดาอีกสองคน[4] เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติเดอะรีเจ้นท์พัทยา ตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปี 2552[5] ก่อนจะย้ายไปกรุงเทพมหานคร และเข้าเรียนที่โรงเรียนบางกอกพัฒนา[1][6]
เมื่ออายุ 13 ปี อุรัสยาได้พบกับโมเดลลิ่งที่สวนจตุจักรและถูกชักชวนให้แคสงานโฆษณา ต่อมาเธอก็ผ่านการคัดเลือกและได้แสดงโฆษณาเอเวอร์เซนส์จีนีโรลออน[1][7] หลังจากนั้น มีงานติดต่อเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก ซึ่งทำให้เธอหายไปจากวงการช่วงหนึ่ง[1] จนในปี 2550 อุรัสยาก็หวนกลับเข้าวงการอีกครั้งในฐานะนางแบบด้วยการเข้าร่วมโครงการโมเดลเสิร์ชของห้างสรรพสินค้าเซน[6] โดยมีสมบัษร ถิระสาโรช เป็นผู้ชักนำและรับงานต่าง ๆ ให้ นอกจากงานเดินแบบแล้ว เธอยังได้ถ่ายนิตยสารอีกหลายฉบับ[1] และปรากฏอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลง "เด็กหลังห้อง" ของมิสเตอร์ดี และ "ต่อให้โลกหยุดหมุน" ของซีควินท์[8] ภายหลังเข้าสู่วงการบันเทิง เธอเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาและวัฒนธรรม (หลักสูตรนานาชาติ) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิชาภาษาอิตาลี[2] แต่ต่อมาย้ายเรียนในวิชาภาษาสเปน[9] จวบจนสำเร็จการศึกษาในปี 2558[10]
Remove ads
การทำงาน
สรุป
มุมมอง
2551–2554: เริ่มต้นอาชีพนักแสดงและความก้าวหน้าทางอาชีพ
ระหว่างทำงานเป็นนางแบบ รูปภาพของอุรัสยาจากนิตยสารเป็นที่เข้าตาของทางช่อง 3 จนนำไปสู่การเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัด 3 ปี[11] ซึ่งในขณะนั้นเธอยังพูดภาษาไทยเสียงแปร่ง เนื่องจากอยู่โรงเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เด็กและใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษานอร์เวย์สื่อสารกับครอบครัวเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเริ่มเรียนภาษาไทยควบคู่กับการแสดงก่อนรับงาน[12][2] บทบาทการแสดงแรกของเธอเริ่มจากบทสมทบในละครของจริยา แอนโฟเน่ เรื่อง บ้านก้านมะยม นำแสดงโดยณัฐรัฐ โมริส เลอกรองและพัชรินทร์ ศรีวสุภิรมย์ แต่ไม่ได้ออกอากาศ[13][14] อย่างไรก็ตาม ละครเรื่องดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในปี 2564 ผ่านแอปพลิเคชัน สามพลัสพรีเมียม[15] ต่อมาในปี 2552 อุรัสยาได้แสดงร่วมกับวริษฐ์ ทิพโกมุท ในละครซิตคอมแนวตลกเรื่อง เพื่อนซี้ล่องหน ตอน "ชุมชนสุขสันต์"[16][17]
อุรัสยาแสดงบทนำครั้งแรกในละครเรื่อง กุหลาบไร้หนาม (2553) ประกบกับเฌอมาลย์ บุญยศักดิ์และพัชฏะ นามปาน[18] รับบทเป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ดี แต่ถูกพี่สาวกลั่นแกล้งและพยายามแย่งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งคนรัก[19] ขณะถ่ายทำ อุรัสยายังคงวิตกกังวลในการพูดและการแสดงอยู่[20] สาวิตรี สามิภักดิ์ จึงแนะนำให้เธออัดเสียงพูดตัวเองแล้วฟังซ้ำไปมาเพื่อฟังว่าคำไหนพูดชัดหรือไม่ชัดและต้องได้อารมณ์ของตัวละคร[21] คมชัดลึก มองว่าอุรัสยาต้องรับบทหนักเพราะต้องแสดงร่วมกับเฌอมาลย์ แต่ด้วย "ฝีมือและความน่ารักของ [เธอ] ก็ชนะใจคนดูหลาย ๆ คน"[22] ในปีเดียวกัน เธอได้รับความก้าวหน้าทางอาชีพในละครชุด 4 หัวใจแห่งขุนเขา เรื่อง ดวงใจอัคนี ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของซ่อนกลิ่น ชุด บ้านไร่ปลายฝัน เมื่อปี 2552 โดยแสดงคู่กับณเดชน์ คูกิมิยะ ในบทคนดูแลกิจการฟาร์มโคนมที่ตกหลุมรักกัน ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้งสองตระกูล[23][24] ละครประสบความสำเร็จและเป็นผลงานที่ทำให้เธอได้แจ้งเกิด[25] การแสดงของเธอจากละครทั้งสองเรื่อง ดาราเดลี่ วิจารณ์ว่า "ทําได้ดีเยี่ยม แม้จะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่น้อยมาก ถ้าเทียบกับดาราที่แจ้งเกิดในรุ่นเดียวกัน"[26] ทั้งนี้ อุรัสยาได้รับรางวัลท็อปอวอร์ดและสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ สาขาดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ดวงใจอัคนี ด้วย[27][28]
ในปี 2554 อุรัสยาได้แสดงละครเรื่อง ตะวันเดือด กำกับโดยอรรถพร ธีมากร ซึ่งเธอรับบทเป็นเจ้าของไร่ที่ต้องแบกรับภาระของพ่อเอาไว้ ในการปกป้องสายแร่พลอยจากกลุ่มโจร[29] ละครประสบความสำเร็จ โดยทำเรตติงเฉลี่ย 11.5 ซึ่งมากที่สุดของช่องสามในปีนั้น[30][31] ดาราเดลี่ เขียนว่า "แม้จะไม่มีประสบการณ์กับละครบู๊มาก่อน แต่เธอก็นิ่ง เป็นผู้ใหญ่ สมกับบทที่ได้รับ"[26] ในงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 3 อุรัสยาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับอารยา เอ ฮาร์เก็ต จากละครเรื่อง ดอกส้มสีทอง[32] ในเดือนสิงหาคม 2554 เธอยังเป็นแขกรับเชิญให้กับธงไชย แมคอินไตย์ ในคอนเสิร์ตเบิร์ดอาสาสนุก จัดขึ้นที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี[33] ในปีเดียวกัน เธอกลับมาแสดงคู่กับณเดชน์อีกครั้งในละครเรื่อง เกมร้ายเกมรัก กำกับโดยอำไพพร จิตต์ไม่งง ในบทหญิงสาวที่สูญเสียความทรงจำและตกหลุมรักกับหนุ่มชาวเกาะที่ช่วยชีวิตเธอ[34] ละครได้รับการตอบรับอย่างดี ถือเป็นละครที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดในปีนั้น จากผลสำรวจของเอแบคโพล[35] คมชัดลึก ชื่นชมความเข้ากันของทั้งคู่[36] การแสดงจากละครเรื่องนี้ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำ สาขาดารานำหญิงดีเด่น และสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[37][38]
2555–2560: บทบาทอื่น ๆ และ คลื่นชีวิต
อุรัสยาแสดงคู่กับณเดชน์ คูกิมิยะเป็นครั้งที่สามในละครเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง (2555) ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของกาญจนา นาคนันทน์ กำกับโดยยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์[39] คมชัดลึก วิจารณ์ละครแบบผสม แต่ชื่นชมความเข้ากันของเธอกับณเดชน์[40] เช่นเดียวกับปิยนุช รัตนานุกูล จากหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งให้ความเห็นว่า ทั้งคู่เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จเร็วเพราะ "ความสามารถทางการแสดงในการเผยหลากอารมณ์ [...] มีหลายอย่างปน ๆ กันอยู่ แล้วปล่อยออกมาแบบกระตุ้นการรับรู้" (sensory stimulus)[41] การแสดงจากละครเรื่องนี้ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลท็อปอวอร์ด สาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยม[42] ในเดือนเมษายน 2555 อุรัสยาให้เสียงพากย์ครั้งแรกในการ์ตูนแอนิเมชันเรื่อง ซูเปอร์ฮีโร่ หล่อช่วยได้[43][44]

ปีถัดมา อุรัสยาแสดงร่วมกับอธิชาติ ชุมนานนท์ และศรราม เทพพิทักษ์ ในละครชุด 3 ทหารเสือสาว เรื่อง มายาตวัน[45] และยังแสดงคู่กับทฤษฎี สหวงษ์ ในละครตลกเรื่อง ดาวเรือง แสดงเป็นหญิงชนบทที่พยายามหาเงินทุกวิถีทางเพื่อช่วยผู้เป็นแม่ส่งเสียพี่ชายเรียนให้จบ[46] อุรัสยามองว่าเป็นบทบาทไกลตัวและใช้ภาษาที่เธอนั้นไม่คุ้นเคย ทำให้เธอต้องไปเรียนการแสดงเพิ่มเติมเพื่อเตรียมความพร้อม[47] สำนักข่าวอิศรา วิจารณ์ละครในเชิงบวกและชื่นชมความเข้ากันของนักแสดงนำทั้งสอง[48] ในเดือนตุลาคม 2556 อุรัสยาได้กลับมาพากย์เสียงต่อในภาคเริ่มต้นใหม่ ซูเปอร์ฮีโร่ สวยช่วยได้ ซีซั่น 2 ร่วมกับคิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ และราศรี บาเล็นซิเอก้า[49] ในปี 2557 อุรัสยาได้แสดงละครชุด ไรซิงซัน ซึ่งเธอแสดงนำในเรื่อง รอยฝันตะวันเดือด[50] โดยรับบทเป็นศัลยแพทย์ชาวญี่ปุ่น ผู้เป็นคู่หมั้นของหัวหน้าตระกูลที่ทรงอิทธิพล แสดงโดยณเดชน์ คูกิมิยะ[51] สำหรับการเตรียมตัว เธอต้องฝึกเล่นเค็นโดและทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น[52] ละครชุดดังกล่าวได้รับคำวิจารณ์แบบผสม มารุมูระ มองว่าเป็น "ละครตลกสำหรับคนที่รู้จักญี่ปุ่นจริง ๆ"[53] หลังจากนั้น อุรัสยาได้แสดงละครย้อนยุคเรื่อง หนึ่งในทรวง (2558) คู่กับจิรายุ ตั้งศรีสุข[54] ขณะถ่ายทำละครในอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เธอได้รับพิษแมงกะพรุนไฟบริเวณขาด้านขวา[55][56] ส่งผลให้เกิดแผลเป็นและต้องเข้ารับการรักษานานหนึ่งปี[57]
อุรัสยาได้แสดงละครเรื่อง คลื่นชีวิต (2560) ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของกรุง ญ. ฉัตร กำกับโดยอำไพพร จิตต์ไม่งง ในบทนักแสดงที่มีความขัดแย้งกับคนในครอบครัวและได้ขับรถชนคนรักของทนายความ (แสดงโดยปริญ สุภารัตน์) จนเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ[58] ผู้จัดละคร หทัยรัตน์ อมตวณิชย์ เลือกอุรัสยามาแสดงเพราะต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเธอให้ดูโตขึ้น[59] บทบาทดังกล่าว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเทียบกับผลงานก่อน ๆ ที่เธอมักแสดงเป็นหญิงสาวที่น่ารักสดใส[60][61] ซึ่งอุรัสยามองว่า "เป็นบทที่ท้าทาย" เพราะไม่เคยแสดงละครดรามาหนัก ๆ เช่นนี้[62] ละครประสบความสำเร็จ โดยทำเรตติงเฉลี่ย 5.97 ซึ่งมากที่สุดของช่องสามในปีนั้น[63] การแสดงของอุรัสยาได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ ผู้จัดการออนไลน์ ชื่นชมการหลุดออกจากบทบาทเดิม ๆ โดยเขียนว่า "ไม่หลงเหลือคราบไคลของนางเอก...คนเก่า สิ่งที่ทุกคนมองเห็นคือ รัศมีการแสดงของเธอที่นับวันก็ยิ่งเปล่งประกาย..."[61] เช่นเดียวกับ ไทยรัฐ ที่เขียนไว้ว่า "...สามารถพิสูจน์ฝีมือทางการแสดงว่าเธอสามารถเล่นบทร้าย ๆ แรง ๆ ก็ได้... มีหลายฉากหลายซีนที่ดูแล้วต้องปรบมือให้ [...] และที่ต้องชมยิ่งกว่าการแสดง นั่นก็คือการพูด...ชัดถ้อยชัดคำไม่เหลือเค้าสาวเสียงแมว"[60] อุรัสยาได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงดีเด่น[64] และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[65] ในปีเดียวกัน อุรัสยากลับมาแสดงคู่กับณเดชน์ คูกิมิยะอีกครั้งในละครเรื่อง เล่ห์ลับสลับร่าง กำกับโดยกฤษณ์ ศุกระมงคล เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มที่มีความคิดแบบปิตาธิปไตยกับหญิงสาวผู้ลำพองในความงามของตนเอง แต่สวรรค์ได้ลงโทษให้ทั้งคู่สลับร่างกันเพื่อเรียนรู้ชีวิตของอีกฝ่าย[66] สุดสัปดาห์ มองว่าการแสดงของอุรัสยา "แม้บางฉากอาจจะดูไม่ห้าวเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนคาแร็กเตอร์อย่างเห็นได้ชัด"[67]
2561–ปัจจุบัน: น้อง.พี่.ที่รัก และหลังจากนั้น

อุรัสยาแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง น้อง.พี่.ที่รัก (2561) ซึ่งบอกเล่าความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่ถูกกัน โดยผู้เป็นพี่พยายามขัดขวางความรักของน้องสาว[68] ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์และเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดของปี 2561 ที่อันดับสอง โดยทำรายได้รวม 244 ล้านบาททั่วประเทศ[69] ส่วนการแสดงของอุรัสยา โพสต์ทูเดย์ เขียนว่า "อินเนอร์ที่ส่งออกมาไม่ติดอะไรเลย"[70] ขณะที่ บูมแชนแนล มองว่าการแสดงของเธอนั้น "สะกดคนดูให้อยู่และรู้สึกร่วมไปกับการแสดงได้จนจบเรื่อง"[71] อุรัสยาได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[72] และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง และรางวัลสตาร์พิกส์ไทยฟิล์มอะวอดส์[73] ในปีเดียวกัน อุรัสยาแสดงร่วมกับณเดชน์ คูกิมิยะ, ณฐพร เตมีรักษ์ และภูภูมิ พงศ์ภาณุภาค ในภาพยนตร์เรื่อง นาคี ๒ ซึ่งเป็นภาคต่อของละครเรื่อง นาคี ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อปี 2559 โดยรับบทเป็นหญิงสาวที่เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อและศรัทธาต่อเจ้าแม่นาคี[74] ซึ่งตัวละครดังกล่าวจะต้องพูดภาษาอีสานตลอดทั้งเรื่อง โดยอุรัสยายอมรับว่า "ไม่เคยพูดสำเนียงอีสาน เป็นสิ่งที่เริ่มจากศูนย์และต้องฝึกฝนอยู่นาน..."[75] ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ ทำรายได้ 73 ล้านบาทในสัปดาห์เปิดตัว[76] และทำรายได้รวม 417 ล้านบาททั่วประเทศ กลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดของปี 2561[69] และเคยเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทยที่อันดับ 10[77] ไทม์เอาต์ วิจารณ์ภาพยนตร์ในเชิงบวกและชื่นชมการแสดงของเธอกับณเดชน์ โดยเขียนว่า "ไม่ทำให้เราผิดหวัง ทั้งในแง่การถ่ายทอดอารมณ์ รวมไปถึงการพูดภาษาอีสานได้ลื่นหูดี..."[78]
ผลงานเรื่องเดียวของอุรัสยาในปี 2562 คือ กลิ่นกาสะลอง เป็นละครที่ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของเนียรปาตีเมื่อปี 2551 ซึ่งเธอรับบท 4 ตัวละคร ทั้งบทข้ามชาติและฝาแฝด[79][80] สำหรับการเตรียมตัว เธอต้องไปเรียนการแสดงเพิ่มเติมกับอรชุมา ยุทธวงศ์ และต้องหัดพูดภาษาไทยถิ่นเหนือ[81] แม้ละครจะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลาย[80] แต่การแสดงของอุรัสยาได้รับเสียงชื่นชม อลิน ทองประสม จาก แบไต๋ เขียนว่าเธอสามารถ "ดึงใจคนดูเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าบทจะพังแค่ไหนก็ตาม"[82] ในขณะที่ เดอะสแตนดาร์ด เขียนว่า "แม้จะรับบทหนักทั้งหมด 4 บท แต่เธอก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์และแยกความเป็นตัวละครนั้น ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน จนคนดูเชื่อว่าเธอแสดงเป็นคนละคนจริง ๆ"[83] ส่วนการพูดภาษาเหนือ โพสต์ทูเดย์ มองว่า "ถึงแม้ว่าคนเหนือแท้ ๆ ฟังแล้วยังขัดหู แต่คนดูแบบเรา ๆ ให้ผ่าน"[84] การแสดงจากละครเรื่องนี้ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำ, คมชัดลึก อวอร์ด และรางวัลนาฏราช สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[85]
อุรัสยามีผลงานการแสดง 4 เรื่องในปี 2565 เรื่องแรกคือ เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ เป็นภาพยนตร์ของจีดีเอช แสดงคู่กับณัฏฐ์ กิจจริต กำกับโดยนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ออกฉายในเดือนเมษายน 2565 แสดงเป็นหญิงสาวที่พยายามสนับสนุนคนรักให้เป็นแชม์โลกกีฬาสแต็ก[86] ภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก แต่ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้มากนัก[87][88] แนวหน้า ชื่นชมการแสดงของอุรัสยาว่า "เล่นนิ่ง ๆ เล่นเรื่อย ๆ แทบจะเป็นคนเดียวที่เด่นด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมาเป็นทีม..."[89] ในขณะที่ วาดฝัน คุณาวงศ์ จาก เวิร์คพอยท์ทูเดย์ เขียนว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเธอ[90] ในงานเทศกาลภาพยนตร์เอเชียนิวยอร์ก ครั้งที่ 21 อุรัสยาได้รับรางวัลนักแสดงดาวรุ่งแห่งเอเชีย และรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[91][92] ต่อมาอุรัสยาได้แสดงละครเรื่อง คือเธอ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณหนูไร้เดียงสาที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อที่เข้มงวด แต่เผลอไผลมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายหนุ่มแปลกหน้า (แสดงโดยมาริโอ้ เมาเร่อ)[93] ละครประสบความสำเร็จ โดยทำเรตติงเฉลี่ย 3.05 ซึ่งมากที่สุดของช่องสามในปีนั้น[94] อลิน ทองประสม จาก แบไต๋ วิจารณ์ละครแบบผสมกัน แต่ชื่นชมการแสดงของเธอกับมาริโอ้[95] อุรัสยาได้รับรางวัลนาฏราช สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[96] และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทรทัศน์ทองคำ สาขาดารานำหญิงดีเด่น[97]

ในปีเดียวกัน อุรัสยารับบทเป็นวิศวกรด้านอุทกวิทยาในละครชุดของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง ซึ่งดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยถ้ำหลวงเมื่อปี 2561[98] สำหรับการเตรียมตัว เธอต้องหัดพูดภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์[99] ละครชุดดังกล่าวได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลาย วิชยุตม์ จันทร์แทน จาก ไลฟ์สไตล์เอเชีย มองว่าอุรัสยา "ยังคงแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ในทุกบทบาทที่เธอเล่น"[100] ผลงานเรื่องสุดท้ายของอุรัสยาในปี 2565 เป็นการแสดงคู่กับณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นครั้งที่เจ็ด ในละครแนวสืบสวนเรื่อง ลายกินรี กำกับโดยพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง[101] ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของพงศกร โดยมีฉากหลังเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเธอรับบทเป็นหมอเชลยศักดิ์ที่เข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมซ่อนเงื่อน[102]
ในปี 2567 อุรัสยาแสดงละครเรื่อง จนกว่าจะได้รักกัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่ต้องแต่งงานกับนักธุรกิจวัยกลางคน (แสดงโดยวิลลี่ แมคอินทอช) ด้วยเหตุผลบางประการ แต่กลับพบว่าชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่นอนคืนเดียว (แสดงโดยปริญ สุภารัตน์) เป็นลูกของเขา[103] ละครไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร[104] คมชัดลึก มองว่าละคร "ดูแผ่ว" ถึงแม้จะใช้นักแสดงนำที่มีชื่อเสียง[105] ต่อมาอุรัสยาได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง เธอ ฟอร์ แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน กำกับโดยวาสุเทพ เกตุเพ็ชร์ ดัดแปลงจากภาพยนตร์เกาหลี แมนอินเลิฟ เมื่อปี 2557[106] โดยรับบทเป็นพนักงานธนาคาร ผู้ต้องชดใช้หนี้แทนพ่อของเธอที่กำลังล้มป่วย[107] มโน วนเวฬุสิต จาก แบไต๋ ระบุว่าการแสดงของเธอคือ "ความมหัศจรรย์ที่ชี้นำอารมณ์ผู้ชมในด้านดราม่าได้อย่างน่าเชื่อถือ และทำให้ผู้ชมเห็นใจตัวละครแม้ใช้เวลาบนจอไม่นาน"[108] ในขณะที่ สปริงนิวส์ เขียนว่าเธอ "แสดงออกมาได้อย่างหมดจด" ทั้งสายตาที่หมดอาลัยตายยาก ความห่อเหี่ยวในการพูดจา หรือเดินเหิน[109] การแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และคมชัดลึก อวอร์ด สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[110]
อุรัสยาแสดงคู่กับธนภพ ลีรัตนขจร ในละครเรื่อง หนึ่งในร้อย (2567) ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของดอกไม้สดเมื่อปี 2477 ละครได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกเช่นเดียวกับการแสดงของอุรัสยา วีรวัฒน์ อัจจุตมานัส จาก เดอะสแตนดาร์ด เขียนว่า "...ถ้าไม่ใช่เธอก็นึกไม่ออกว่าใครจะ [แสดงบทนี้]..."[111] อุรัสยาได้รับรางวัลกินรีทองมหาชน และเอเชียท็อปอะวอดส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[112] และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนาฏราชและรางวัลโทรทัศน์ทองคํา[113] ปีถัดมา อุรัสยาแสดงละครชุดเรื่อง ดาหลา บุปผา ฆาตกรรม ออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ทางเน็ตฟลิกซ์ โดยรับบทเป็นนักจัดดอกไม้ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนักการเมืองที่พยายามไขคดีด้วยตนเองผ่านภาษาของดอกไม้เป็นสำคัญ[114] สำหรับบทบาทนี้ อุรัสยามีส่วนร่วมในการออกแบบตัวละครร่วมกับผู้กำกับและต้องไปเรียนการจัดดอกไม้แบบอิเคบานะ[115][114] ศิวะภาค เจียรวนาลี จาก เดอะคลาวด์ วิจารณ์ว่าเธอเป็นนักแสดงที่ดี แต่การเป็นตัวละครหลักในละครสืบสวนตลอดทั้งเรื่องนั้น "ยากเกินไปสำหรับเธอ..."[116] ถึงกระนั่น อาร์ชี เสนคุปตะ จาก เลเชอร์ไบต์ กลับมองว่าเธอ "แสดงดีมาก" ในละครชุดนี้[117] ต่อมาอุรัสยาได้แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเป็นครั้งแรกอย่าง โฮมสวีตโฮม : กำเนิดใหม่ ดัดแปลงจากวิดีโอเกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอด โฮมสวีตโฮม ประกบกับวิลเลียม โมสลีย์ นักแสดงชาวอังกฤษ โดยรับบทเป็นภรรยาของเขา[118] เลสลี เฟลเพอริน จาก เดอะการ์เดียน วิจารณ์ภาพยนตร์ในเชิงลบ แต่ชื่นชมอุรัสยาว่า "แสดงได้อย่างน่าเชื่อถือ"[119]
Remove ads
ชีวิตส่วนตัว
อุรัสยาสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปนระดับพื้นฐานได้[120] รวมทั้งสามารถเล่นเปียโนและไวโอลินได้ระดับหนึ่ง[121] และยังชื่นชอบการขี่ม้าตั้งแต่อายุราว 7 ปี เธอเคยเข้าร่วมการแข่งขันที่ฮอร์สชูพอยต์อยู่หลายครา[122] ด้วยความชื่นชอบนี้เธอจึงชอบสะสมตุ๊กตามายลิตเติลโพนีด้วย[2]
ในเวลาว่าง อุรัสยาเป็นหนอนหนังสือ เธอชื่นชอบงานเขียนของเม็ก แคบอต, นิโคลัส สปากส์, โซฟี คินเซลลา และเซซีเลีย อะเฮิร์น[123] ส่วนแนววรรณกรรมที่ชื่นชอบคือ นวนิยายอิงประวัติศาสตร์โรมานซ์[124] เธอยังชอบอ่านหนังสือ สาวทรงเสน่ห์ ของเจน ออสเตน[125] และ ลิขิตรักต่างมิติ ของอะเฮิร์น[123]
ความสัมพันธ์ของอุรัสยากับณเดชน์ คูกิมิยะ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนนับตั้งแต่ละครเรื่อง ดวงใจอัคนี (2553) โดยสื่อได้คาดการณ์ความสัมพันธ์ต่าง ๆ นานา แต่ทั้งคู่ปฏิเสธมาโดยตลอด[25] จนในปี 2565 ทั้งคู่ยอมรับว่าความสัมพันธ์ถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ และได้ตกลงคบหากันในภายหลัง[126] ทั้งคู่หมั้นกันในเดือนมิถุนายน 2566 ที่เมืองโปซีตาโน ประเทศอิตาลี[127][128]
รางวัลและการเสนอชื่อ
อุรัสยาได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงดีเด่น จากละครเรื่อง คลื่นชีวิต (2560)[64] และได้รับรางวัลนาฏราช สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง คือเธอ (2565)[96] นอกจากนี้ เธอยังได้รับรางวัลท็อปอวอร์ดและสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์ สาขาดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง ดวงใจอัคนี (2553)[27][28] การแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก น้อง.พี่.ที่รัก (2561) ทำให้เธอได้รับรางวัลสยามดารา สตาร์ส อวอร์ดส์, รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม[72][129] ภาพยนตร์เรื่องที่สาม เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ (2565) ทำให้เธอได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ อีกหนึ่งครั้ง[92] และได้รับรางวัลดาวรุ่งแห่งเอเชีย จากเทศกาลภาพยนตร์เอเชียนิวยอร์ก ครั้งที่ 21[91]
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads
