จอมพลเรือ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (29 มิถุนายน พ.ศ. 2424 – 18 มกราคม พ.ศ. 2487) พระองค์มีบทบาทสำคัญในวงการทหารและการเมืองของประเทศไทย พระองค์ดำรงตำแหน่งสำคัญทางทหารหลายตำแหน่ง เช่น ผู้บัญชาการทหารบก, ผู้บัญชาการทหารเรือ และเสนาธิการทหารบก นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เช่น เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และเป็นองคมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระประวัติ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ประสูติเมื่อวันพุธ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2424[1] ในพระบรมมหาราชวัง มีพระโสทรเชษฐภคินีพระองค์เดียว คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร
วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2434 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ดิลกจันทรนิภาพงษ์ มหามกุฏวงษ์นราธิราช จุฬาลงกรณ์นารถราชวโรรส อดุลยยศอุภโตพงษพิสุทธิ นรุตมรัตน ขัตติยราชกุมาร กรมขุนมไหสูริยสงขลา[2] และมีพระราชพิธีมงคลการโสกันต์ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม ถึงวันที่ 2 มกราคม ร.ศ. 113[3]
ทรงศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ทรงสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเสนาธิการ ประเทศเยอรมนี เมื่อเสด็จกลับมารับราชการ สมเด็จพระบรมชนกนารถทรงพระราชดำริว่าพระนามกรมเดิมไม่สมพระเกียรติยศ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนพระนามกรมเป็น กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444[4] พระองค์ประทับที่วังบางขุนพรหม ซึ่งเป็นวังที่มีความใหญ่โตโอ่อ่าที่สุด ประกอบกับทรงมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญต่าง ๆ มากมาย จึงได้รับการกล่าวขานอีกฉายาหนึ่งจากคนทั่วไปว่า "จอมพลบางขุนพรหม" หรือ "เจ้าฟ้าวังบางขุนพรหม" ทรงเป็นต้นราชสกุลบริพัตร [5]
วันที่ 16 พฤศจิกายน ร.ศ. 122 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นราชองครักษ์พิเศษ[6] ต่อมาในวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ ศกนั้น ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ[7] และวันที่ 19 มีนาคม ศกเดียวกัน ได้ทรงสาบานตนและรับพระราชทานตราตั้งเป็นองคมนตรี[8]
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เปลี่ยนคำนำพระนามเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ[9] และในวันต่อมาพระองค์ท่านได้เข้าถือน้ำและรับตั้งเป็นองคมนตรี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม[10] ต่อมาในวันที่ 11 ธันวาคม ศกเดียวกัน อันตรงกับวันเททองหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานยศ พลเรือเอก แด่ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต[11] ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ ดิลกจันทรนิภาพงษ์ มหามกุฎวงษ์นราธิราช จุฬาลงกรณนารถราชวโรรส อดุลยยศอุภโตพงษ์พิสุทธิ นรุตมรัตนขัตติยราชกุมาร กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต[12] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ ดิลกจันทรนิภาพงศ มหามกุฎวงศนราธิราช จุฬาลงกรณนาถราชวโรรส อดุลยยศอุภโตพงศพิศุทธ นรุตมรัตนขัติยราชกุมาร กรมพระนครสวรรค์วรพินิต สชีวะเชษฐสาธิษฐสุขุมาลกษัตริย์ อภิรัฎฐมหาเสนานหุษเนาอุฑฑิน จุฬินทรปริยมหาราชวรางกูร สรรพพันธุธูรราชประยูรประดิษฐาประชาธิปกปัฐพินทร์ ปรมินทรมหาราชวโรปการ ปรีชาไวยัตโยฬารสุรพลประภาพ ปราบต์ไตรรัชยยุคยุกติธรรมอรรถศาสตร อุดมอาช์วีวีรยาธยาศรัย เมตตามันตภาณีศีตลหฤทัย พุทธาทิไตรรัตนศรณธาดา มหันตเดชานุภาพบพิตร ทรงศักดินา 50000 ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2468[13] (นับแบบปัจจุบันตรงกับปี พ.ศ. 2469)
ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นเจ้านายพระองค์สำคัญที่ทางคณะราษฎร ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองต้องควบคุมองค์ไว้เป็นองค์ประกันสำคัญสูงสุด เนื่องด้วยทรงเป็นผู้รักษาพระนคร อีกทั้งยังทรงควบคุมหน่วยงานความมั่นคงต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งทหาร และตำรวจ ซึ่งในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน นั้น พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) เป็นผู้นำในการบุกวังบางขุนพรหม เพื่อควบคุมพระองค์ ซึ่งทรงกำลังจะหนีทางท่าน้ำหลังวัง พร้อมกับครอบครัวและข้าราชบริพาร แต่ทว่ามีเรือตอร์ปิโดหาญทะเลของทางทหารเรือฝ่ายคณะราษฎรที่ควบคุมโดย เรือโท จิบ ศิริไพบูลย์ คอยดักอยู่ จึงยังทรงลังเล จนในที่สุดพระองค์จึงทรงยินยอมให้ทางคณะราษฎรควบคุมองค์ และเสด็จไปประทับยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พร้อมกับเจ้านายพระองค์อื่น ๆ และบุคคลสำคัญต่าง ๆ ซึ่งก่อนเสด็จมา ได้ทรงต่อรองขอเปลี่ยนเครื่องทรงจากชุดกุยเฮง ซึ่งเป็นชุดบรรทม ก็ได้รับการปฏิเสธ[14] หลังจากนั้นในวันต่อมา ต้องเสด็จออกจากประเทศไทยอย่างกะทันหัน โดยเสด็จไปด้วยรถไฟขบวนพิเศษ ซึ่งวิ่งตลอดไม่มีหยุดพักจนถึงปีนังวันที่ 10 กรกฎาคม และย้ายไปประทับอยู่ที่เมืองบันดุง เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ตราบจนสิ้นพระชนม์
ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงไม่กี่วันนั้น พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช) อธิบดีกรมตำรวจได้ถวายรายงานต่อพระองค์ถึงรายชื่อของบุคคลต่าง ๆ ในคณะราษฎรว่ามีท่าทีจะกระทำการกระด้างกระเดื่องประการใดประการหนึ่งต่อบ้านเมือง แต่พระองค์ไม่ทรงเชื่อ ด้วยทรงเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ไม่น่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะกระทำการใด ๆ ได้ เนื่องจากทรงคุ้นเคยกับบุคคลเหล่านี้ดี ซ้ำบางคนยังทรงชุบเลี้ยงและรู้จักมาตั้งแต่ยังเด็กด้วยซ้ำ[14] กระทั่งวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงพ้นจากประจำการเป็นนายทหารนอกราชการ [15]
จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคไตและพระหทัย เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2487 ที่ตำหนักประเสบัน เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย ขณะพระชันษา 63 ปี อัญเชิญพระศพกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2491[16] และได้มีการพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2493[17]
ครอบครัว
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสกสมรสกับหม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร (ราชสกุลเดิม ไชยันต์; 12 ธันวาคม พ.ศ. 2429 – 21 มิถุนายน พ.ศ. 2499) พระโอรส-ธิดาที่ประสูติแต่หม่อมเจ้าประสงค์สม แรกประสูติเป็นหม่อมเจ้า ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ทุกพระองค์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[18] ภายหลังหม่อมเจ้าประสงค์สมประชวร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงรับหม่อมสมพันธุ์ บริพัตร ณ อยุธยา (ราชสกุลเดิม ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา; 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2448 – 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523) มาเป็นหม่อมอีกคน ซึ่งพระโอรส-ธิดา ที่ประสูติแต่หม่อมสมพันธุ์ แรกประสูติเป็นหม่อมเจ้า ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ทุกพระองค์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[19]
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตมีพระโอรส-ธิดารวม 11 พระองค์[20] ดังรายพระนาม ดังนี้
ลำดับ | พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ สิ้นชีพิตักษัย | มารดา | เสกสมรส | พระนัดดา |
---|---|---|---|---|---|---|
1. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต | 5 ธันวาคม พ.ศ. 2447 | 15 กันยายน พ.ศ. 2502 | หม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร (ราชสกุลเดิม ไชยันต์) |
หม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร (ราชสกุลเดิม เทวกุล) |
หม่อมเจ้ามารศีสุขุมพันธุ์ บริพัตร |
2. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง | 4 มกราคม พ.ศ. 2449 | 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 | หม่อมเจ้าอาชวดิศ ดิศกุล | ||
3. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร | 16 มีนาคม พ.ศ. 2450 | 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 | มิได้เสกสมรส | ||
4. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิสิฐสบสมัย | 21 กันยายน พ.ศ. 2451 | 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 | หม่อมเจ้าโกลิต กิติยากร | หม่อมราชวงศ์พิลาศลักษณ์ บุณยะปานะ | |
5. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุไรรัตนศิริมาน | 21 ธันวาคม พ.ศ. 2452 | 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 | หม่อมเจ้าฉัตรมงคล โสณกุล | หม่อมราชวงศ์อายุมงคล โสณกุล หม่อมราชวงศ์ถวัลย์มงคล โสณกุล หม่อมราชวงศ์สุมาลยมงคล โสณกุล หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล | |
6. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานตมณี | 24 กันยายน พ.ศ. 2455 | 30 ธันวาคม พ.ศ. 2520 | หม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัตน์ | หม่อมราชวงศ์เดือนเด่น กิติยากร หม่อมราชวงศ์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ | |
7. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าน้อง | 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2462 | 4 ธันวาคม พ.ศ. 2462 | มิได้เสกสมรส | ||
8. | พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปรียชาติสุขุมพันธุ์ | 4 มิถุนายน พ.ศ. 2463 | 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2465 | มิได้เสกสมรส | ||
9. | อินทุรัตนา บริพัตร | 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2465 | หม่อมสมพันธุ์ บริพัตร ณ อยุธยา (ราชสกุลเดิม ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) |
สมหวัง สารสาส | ธรณินทร์ สารสาส สินนภา สารสาส สันติ สารสาส | |
10. | พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ | 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 | 10 เมษายน พ.ศ. 2546 | หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา (สกุลเดิม ณ ถลาง) |
หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร หม่อมราชวงศ์วโรรส บริพัตร | |
11. | หม่อมเจ้าชายไม่มีพระนาม | ก่อน พ.ศ. 2468[21] | มิได้เสกสมรส | |||
การรับราชการ
พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการสำคัญทั้งฝ่ายกลาโหมและมหาดไทยหลายรัชกาล ด้วยทรงเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่กิจการที่ทรงรับภาระเป็นอย่างดียิ่งทั้งทางด้านการทหาร การปกครอง การสาธารณสุข การศึกษา ทรงวางรากฐานความเจริญของกองทัพเรือไทย กองทัพบก กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย ทรงดำรงพระยศ จอมพล จอมพลเรือ นายกองเอก[22] และนายนาวาเอก ร.น.ส.[23]
ตำแหน่งสำคัญ
- เสนาธิการทหารบก (25 พฤษภาคม พ.ศ. 2446[24] – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2447)
- ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ (25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2447[25] – 10 ธันวาคม พ.ศ. 2453)
- องคมนตรี (24 ตุลาคม พ.ศ. 2453[26][27] – 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2475[28])
- เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ (11 ธันวาคม พ.ศ. 2453[29] – 18 มิถุนายน พ.ศ. 2463)
- เสนาธิการทหารบก (19 มิถุนายน พ.ศ. 2463[30] – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2469)
- อุปนายกสภากาชาดสยาม (12 กรกฎาคม พ.ศ. 2463[31] – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475)
- อภิรัฐมนตรีสภา (28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 – 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2475)[32]
- เสนาบดีกระทรวงกลาโหม (24 สิงหาคม พ.ศ. 2469 – 31 มกราคม พ.ศ. 2471)
- เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (1 เมษายน พ.ศ. 2471[33] – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475)
- อุปนายกสภาป้องกันพระราชอาณาจักร (7 เมษายน พ.ศ. 2471[34] – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475)
- ประธานอภิรัฐมนตรีสภาและเสนาบดีสภา (23 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475)
- ผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร (25 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 – 11 ตุลาคม พ.ศ. 2472), (9 เมษายน พ.ศ. 2473 – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473), (19 มีนาคม พ.ศ. 2473 – 12 ตุลาคม พ.ศ. 2474)
ผลงานดนตรี
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงซอได้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ต่อมาทรงต่อเพลงกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติ จนมีฝีพระหัตถ์ดีเยี่ยม และทรงต่อเพลงกับเจ้าเทพกัญญา บูรณพิมพ์ เป็นครั้งคราว
พระองค์ทรงเครื่องดนตรีไทยได้หลายชนิด เช่น ฆ้องวงใหญ่ ระนาด ซอ ทั้งยังทรงเปียโนได้ดีอีกด้วย เมื่อพระองค์เสด็จมาประทับที่วังบางขุนพรหม ทรงมีทั้งวงปี่พาทย์และวงเครื่องสายประจำวัง
วงปี่พาทย์นั้นเริ่มแรกทรงใช้วงดนตรีมหาดเล็กเรือนนอกซึ่งเป็นของตระกูลนิลวงศ์ จากอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ต่อมาได้วงดนตรีของหลวงกัลยาณมิตตาวาส (ทับ พาทยโกศล) และจางวางทั่ว พาทยโกศล ซึ่งมีนักดนตรีและนักร้องที่มีชื่อเสียงประจำวง เช่น
- ทรัพย์ เซ็นพานิช - ระนาดเอก
- จ่าเอกกมล มาลัยมาลย์ - ระนาดเอก
- สาลี่ มาลัยมาลย์ - ระนาดเอก, ฆ้องวง
- จ่าโทฉัตร สุนทรวาทิน - ระนาดทุ้ม
- ศิริ ชิดท้วม - ระนาดทุ้ม
- ช่อ สุนทรวาทิน - ฆ้องวงใหญ่
- ร้อยเอกนพ ศรีเพชรดี - ฆ้องวงใหญ่
- จ่าสิบเอกพังพอน แตงสืบพันธุ์ - ฆ้องวงเล็ก
- ละม้าย พาทยโกศล - เครื่องหนัง
- จ่าสิบเอกยรรยงค์ โปร่งน้ำใจ - เครื่องหนัง
- เทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล - ปี่ใน, ซอสามสาย
- เจริญ พาทยโกศล - นักร้อง
- จ่าเอกอิน อ๊อกกังวาล - นักร้อง
- สอาด อ๊อกกังวาล - นักร้อง
- เทียม เซ็นพานิช - นักร้อง
- คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ - นักร้อง
- สว่าง คงลายทอง - นักร้อง
ส่วนวงเครื่องสายนั้นเป็นวงที่ทรงบรรเลงร่วมกับพระธิดา พระญาติ และผู้ใกล้ชิด มีสังวาลย์ กุลวัลกี เป็นผู้ฝึกสอนนักดนตรีและนักร้อง เช่น
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต - ซอสามสาย
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง - ซอด้วง
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานตมณี - ซอด้วง
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร - ซออู้
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุไรรัตนศิริมาน - ซออู้
- พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิสิฐสบสมัย - จะเข้
- ร่ำ บุนนาค - จะเข้
- หม่อมสมพันธุ์ บริพัตร ณ อยุธยา - ซออู้
- บุญวิจิตร อมาตยกุล - ซออู้
- สุดา จาตุรงคกุล - ขลุ่ย
- คุณหญิงแฉล้ม เดชประดิยุทธ์ - โทน, รำมะนา
- คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณ - นักร้อง
- หอม สุนทรวาทิน - นักร้อง
- เทียม กรานต์เลิศ - นักร้อง
- สว่าง คงลายทอง - นักร้อง
ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นั้น วังบางขุนพรหมเป็นศูนย์กลางการประชันวงปี่พาทย์ การแสดงดนตรี และการละเล่นต่าง ๆ และเป็นที่เกิดของเพลงที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก ส่วนวงปี่พาทย์วังบางขุนพรหมนั้น ก็เป็นวงที่มีชื่อเสียงมาก และได้เข้าร่วมในการประชันวงที่วังบางขุนพรหมเมื่อปี พ.ศ. 2466 ซึ่งได้รับการตัดสินให้ชนะเลิศ เป็นต้นตำรับการขับร้องที่สืบทอดมาแต่โบราณ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต โปรดใช้เวลาว่างส่วนพระองค์ในการศึกษาวิชาดนตรี ทั้งด้านประสานเสียงและการประพันธ์เพลง จนทรงสามารถประพันธ์เพลงและทำหน้าที่เป็นวาทยากรได้อย่างคล่องแคล่ว เคยทรงเล่าประทานพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา พระธิดา ฟังว่า “…ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อจะเรียนดนตรีและภาษา และจะทำงานด้านดนตรีอย่างเดียว แต่พ่อเลือกไม่ได้ เพราะพ่อบังเกิดมามียศตำแหน่ง ต้องทำงานให้ประเทศชาติ ทูลหม่อม (รัชกาลที่ 5) สั่งให้พ่อไปเรียนวิชาทหารเพื่อกลับมาปรับปรุงกองทัพไทย พ่อก็ไปเรียนวิชาทหาร บางครั้งพ่อเบื่อบางวิชาที่ต้องเรียนจนทนไม่ไหว ต้องเก็บพ็อกเก็ตมันนี่เอาแอบไปเรียนดนตรี แอบไปเรียนเพราะพวกผู้ใหญ่สมัยนั้นเห็นว่าวิชาดนตรีไม่เหมาะกับชายชาติทหาร เมื่อได้เรียนดนตรีที่พ่อรักก็สบายใจ เกิดความอดทนที่จะเรียนและทำงานที่พ่อเบื่อ…”
พระองค์ทรงเริ่มแต่งเพลงไทยสากลก่อนเพลงไทย เพลงชุดแรก ๆ มีเพลงวอลทซ์โนรีและเพลงจังหวะโพลกา เช่น เพลงมณฑาทอง เป็นต้น
พระองค์ทรงพระนิพนธ์เพลงไทยประสานเสียงแบบดนตรีสากล เช่น เพลงมหาฤกษ์ เพลงมหาชัย เพลงสรรเสริญเสือป่า เพลงสาครลั่น และทรงแยกเสียงประสานเพลงไทยสำหรับบรรเลงด้วยวงโยธวาทิต ทำให้แตรวงบรรเลงเพลงไทยได้ไพเราะ มีหลักการประสานเสียงดียิ่งขึ้น ได้ทรงประดิษฐ์เพลงแตรวงไว้หลายเพลง เช่น โหมโรงสะบัดสะบิ้ง เพลงเขมรใหญ่ เถา เพลงแขกมัสหรี เถา เพลงแขกสี่เกลอ เถา
เพลงที่พระองค์ทรงพระนิพนธ์ไว้ทั้งสำหรับวงโยธวาทิตและวงศ์ปี่พาทย์ เช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา (พ.ศ. 2453) เพลงพม่าห้าท่อน เถา เพลงแขกสาย เถา (พ.ศ. 2471) เพลงพ่าห้าท่อน เถา เพลงพวงร้อย เถา
พระองค์ทรงพระนิพนธ์เพลงเถาสำหรับปี่พาทย์ไว้เป็นจำนวนมาก เช่น เพลงเทวาประสิทธิ์ เถา (พ.ศ. 2471) เพลงอาถรรพ์ เถา (พ.ศ. 2471) เพลงสมิงทองเทศ เถา (พ.ศ. 2473) และภายหลังเมื่อเสด็จไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ยังได้ทรงพระนิพนธ์เพลงสำหรับวงปี่พาทย์ไม้แข็งขึ้นอีกหลายเพลง เช่น เพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา (พ.ศ. 2480) เพลงนารายณ์แปลงรูป เถา (พ.ศ. 2480) และเพลงสุดถวิล เถา (พ.ศ. 2484)
ในขณะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ พระองค์ทรงปรับปรุงวงดนตรีสากลของกองดุริยางค์ทหารเรือ จนสามารถบรรเลงเพลงประเภทซิมโฟนีได้ดี เป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน
พระนิพนธ์
เพลงฝรั่ง
- เพลงวอลทซ์ปลื้มจิตต์
- เพลงวอลทซ์ประชุมพล
- เพลงสุดเสนาะ
- เพลงมณฑาทอง
- เพลงวอลทซ์เมฆลา
- เพลงมหาฤกษ์
- เพลงสรรเสริญเสือป่า
- เพลงวอลทซ์โนรี
- เพลงสาครลั่น
- เพลงโศรก
- เพลงนางครวญ 3 ชั้น
เพลงไทยเดิม
- เพลงแขกมอญบางขุนพรหม
- เพลงสุดสงวน 2 ชั้น
- เพลงเขมรพวง 3 ชั้น
- เพลงเขมรชมจันทร์
- เพลงสารถี 3 ชั้น
- เพลงสบัดสบิ้ง
- เพลงทยอยนอก
- เพลงทยอยเขมร
- เพลงทยอยใน เถา
- เพลงแขกเห่
- เพลงถอนสมอ
- เพลงแขกมัทรี
- เพลงครอบจักรวาล เถา
- เพลงบุหลันชกมวย 3 ชั้น
- เพลงเขมรใหญ่ เถา
- เพลงพม่า เถา
- เพลงแขกสี่เกลอ เถา
- เพลงแขกสาย เถา
- เพลงบาทสกุณี
- เพลงขับไม้
- เพลงเขมรโพธิสัตว์ เถา
เพลงไทยเดิมสำหรับใช้บรรเลงพิณพาทย์โดยตรง
- เพลงแขกสาย เถา
- เพลงอาถรรพ์ เถา
- เพลงแขกสาหร่าย 3 ชั้น
- เพลงสมิงทองมอญ เถา
- เพลงอาเฮีย
- เพลงสารถี 3 ชั้น
เพลงไทยเดิมซึ่งทรงพระนิพนธ์ที่เมืองบันดุง
- เพลงต้นแขกไทร 2 ชั้น
- เพลงครวญหา เถา
- เพลงกำสรวญสุรางค์
- เพลงอักษรสำอางค์ และเพลงสุรางค์จำเรียง
- เพลงจีนลั่นถัน
- เพลงจีนเข้าห้อง
- เพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา
- เพลงขยะแขยง 3 ชั้น
- เพลงจีนเก็บบุปผา เถา
- เพลงดอกไม้ร่วง
- เพลงเทวาประสิทธิ์ เถา
- เพลงวิลันดาโอด
- เพลงจิ้งจกทอง เถา
- เพลงตะนาว เถา
- เพลงพวงร้อย เถา
- เพลงถอนสมอ เถา
- เพลงพระจันทรครึ่งซีก
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการสร้างแอนิเมชันเรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยมีตัวละคร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พากย์เสียงโดย จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์ภัทร
พระอิสริยยศและพระเกียรติยศ
พระอิสริยยศ
- 29 มิถุนายน พ.ศ. 2424 – 24 มกราคม พ.ศ. 2435 : สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
- 24 มกราคม พ.ศ. 2435 – 1 ธันวาคม พ.ศ. 2444 : สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนมไหยสุริยสงขลา[35]
- 1 ธันวาคม พ.ศ. 2444 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 : สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต[36]
- 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 – 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 : สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต
- 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 – 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 : สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
- 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 – 21 มีนาคม พ.ศ. 2469 : สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต
- 21 มีนาคม พ.ศ. 2469 – 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 : สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต[37]
- 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 – 18 มกราคม พ.ศ. 2487 : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้[38]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
- พ.ศ. 2434 – เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายหน้า)[39]
- พ.ศ. 2437 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า)[40]
- พ.ศ. 2443 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.)[41] (ดาราประดับเพ็ชร์)[42]
- พ.ศ. 2455 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (ร.ว.) (ฝ่ายหน้า)[43]
- พ.ศ. 2461 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ 1 เสนางคะบดี (ส.ร.)[44]
- พ.ศ. 2456 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[45]
- พ.ศ. 2463 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[46]
- พ.ศ. 2464 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ))[47]
- พ.ศ. 2446 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))[48]
- พ.ศ. 2458 – เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)[49]
- พ.ศ. 2468 – เหรียญศารทูลมาลา (ร.ศ.ท.)[50]
- พ.ศ. 2447 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ชั้นที่ 2 (ม.ป.ร.2)[51]
- พ.ศ. 2451 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 1 (จ.ป.ร.1)[52]
- พ.ศ. 2453 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 (ว.ป.ร.1)[53]
- พ.ศ. 2469 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 1 (ป.ป.ร.1)[54]
- พ.ศ. 2436 – เหรียญรัชฎาภิเศกมาลา (ร.ศ.)
- พ.ศ. 2440 – เหรียญประพาสมาลา (ร.ป.ม.)
- พ.ศ. 2441 – เหรียญราชินี (ส.ผ.)
- พ.ศ. 2446 – เหรียญทวีธาภิเศก (ท.ศ.)
- พ.ศ. 2450 – เหรียญรัชมงคล (ร.ร.ม.)
- พ.ศ. 2451 – เหรียญรัชมังคลาภิเศก รัชกาลที่ 5 (ร.ม.ศ.5)
- พ.ศ. 2454 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 (ร.ร.ศ.6)
- พ.ศ. 2468 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7 (ร.ร.ศ.7)
- พ.ศ. 2475 – เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี (ร.ฉ.พ.)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- ซัคเซิน :
- พ.ศ. 2440 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎรือ[55]
- เดนมาร์ก :
- พ.ศ. 2450 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์แดนเนอโบร ชั้นที่ 1[56]
- พ.ศ. 2473 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา[57]
- นอร์เวย์ :
- พ.ศ. 2450 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นที่ 1[56]
- บาเดิน :
- ปรัสเซีย :
- พ.ศ. 2448 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์นกอินทรีแดง ชั้นที่ 1[58]
- ฝรั่งเศส :
- พ.ศ. 2450 – เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นที่ 1[56]
- พ.ศ. 2464 – เหรียญกรัวเดอแกร์[59]
- ญี่ปุ่น :
- พ.ศ. 2452 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นสูงสุดประดับดอกคิริ[60]
- เบราน์ชไวค์ :
- อิตาลี :
- พ.ศ. 2448 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัส ชั้นที่ 1[61]
- ออสเตรีย-ฮังการี :
- พ.ศ. 2454 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลโอพ็อลท์ ชั้นที่ 1[62]
- สเปน :
- พ.ศ. 2470 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์โลสที่ 3 ชั้นสูงสุด[63]
พระยศ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต | |
---|---|
รับใช้ | ไทย |
แผนก/ | กองทัพบกสยาม กองทัพเรือสยาม กองเสือป่า |
ชั้นยศ | จอมพล จอมพลเรือ นายกองเอก |
พระยศทหาร
พระยศเสือป่า
พงศาวลี
เชิงอรรถ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.