คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ลุยส์ ซัวเรซ

นักฟุตบอลชายชาวอุรุกวัย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลุยส์ ซัวเรซ
Remove ads

ลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ (สเปน: Luis Alberto Suárez Díaz; เกิด 24 มกราคม ค.ศ. 1987) เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าให้แก่อินเตอร์ไมแอมี สโมสรในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ และทีมชาติอุรุกวัย ซัวเรสได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาล เขามีจุดเด่นด้านทักษะการจบสกอร์และการขยับหาพื้นที่ มีชื่อเล่นว่า "El Pistolero" ("มือปืน") เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำยุโรป 2 สมัย และเคยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของเอเรอดีวีซี, พรีเมียร์ลีก และลาลิกา และทำมากกว่า 500 ประตูในนามสโมสรและทีมชาติ[3]

ข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลส่วนตัว, ชื่อเต็ม ...

ซัวเรสเริ่มต้นอาชีพกับสโมสรในอุรุกวัยซึ่งก็คือกลุบนาซิโอนัลเดฟุตโบลใน ค.ศ. 2005 และย้ายไปร่วมทีมโกรนิงเงินในเนเธอร์แลนด์ ตามด้วยการย้ายไปอาเอฟเซ อายักซ์ใน ค.ศ. 2007 โดยชนะเลิศเคเอ็นวีบี คัพ และเอเรอดีวีซี ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก และพาทีมชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ฤดูกาล 2011–12 ในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับสโมสร เขาสร้างผลงานที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยทำประตูได้เท่ากับสถิติการทำประตูสูงสุดตลอด 38 เกมในพรีเมียร์ลีก โดยลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยการตามหลังแมนเชสเตอร์ซิตี้เพียง 2 คะแนนในการลุ้นแชมป์ เขาฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ที่ลิเวอร์พูลด้วยจำนวนประตูมากกว่า 80 ประตู จากการลงสนาม 133 นัด และย้ายไปบาร์เซโลนาด้วยค่าตัว 64.98 ล้านปอนด์ (82.3 ล้านยูโร เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) ส่งผลให้ซัวเรสกลายเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์

ในการลงเล่นให้บาร์เซโลนา เขาสถาปนาตนเองเป็นหนึ่งในสามประสานแนวรุกร่วมกับลิโอเนล เมสซิ และเนย์มาร์ในนาม MSN มีส่วนสำคัญในการพาทีมชนะเลิศเทรเบิล (ลาลิกา, โกปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ร่วมทีม และในฤดูกาล 2015–16 เขามีผลงาน 59 ประตูจาก 53 นัด และพาบาร์เซโลนาคว้าดับเบิลแชมป์ ส่งผลให้เขามีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของฟิฟโปรและคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำฤดูกาลของลาลิกา (ปิชิชิโทรฟี่) พร้อมกับรางวัลรองเท้าทองคำยุโรปสมัยที่ 2 และเป็นผู้เล่นคนแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2009 ที่ไม่ใช่เมสซิหรือคริสเตียโน โรนัลโด ที่ชนะเลิศสองรางวัลดังกล่าว[4] และยังเป็นผู้เล่นคนแรกที่เป็นเจ้าของสถิติแอสซิสต์สูงสุดในลาลิกาในฤดูกาลเดียวกัน[5] เขามีส่วนพาทีมชนะเลิศ 13 ถ้วยรางวัลซึ่งรวมถึงแชมป์ลาลิกาและโกปาเดลเรย์รายการละ 4 สมัย รวมทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก พร้อมกับผลงาน 198 ประตูตลอด 6 ฤดูกาล ต่อมาใน ค.ศ. 2020 เขาเซ็นสัญญากับอัตเลติโกเดมาดริด พาทีมชนะเลิศลาลิกา ฤดูกาล 2020–21[6] เขาลงเล่นเป็นเวลาสองฤดูกาลด้วยผลงาน 34 ประตูก่อนจะย้ายกลับอุรุกวัยเพื่อลงเล่นให้แก่นาซิโอนัลเดอีกครั้งตามด้วยการย้ายไปเกรมิโอในกังเปโอนาตูบราซีเลย์รูแซรียีอา พาทีมชนะเลิศสองถ้วยรางวัลสำคัญ ก่อนจะย้ายไปสโมสรฟุตบอลอินเตอร์ไมแอมีของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์

ซัวเรสครองสถิติเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติอุรุกวัยจำนวน 69 ประตู และเคยครองสถิติผู้ทำประตูสูงสุดในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกของสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายโดยเมสซิ[7] ซัวเรสมีส่วนร่วมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 4 สมัย และโกปาอาเมริกา 5 สมัย เช่นเดียวกับการลงเล่นในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 และฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 ซัวเรสมีชื่อเป็นหนึ่งในทีมยอดเยี่ยมฟุตบอลโลก 2010 และพาอุรกวัยคว้าแชมป์โกปาอาเมริกา 2011 ซึ่งเขาคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน ซัวเรสยังมีชื่อเสียงจากพฤติกรรมเชิงลบในสนามบ่อยครั้ง[8][9][10] ซึ่งตกเป็นกระแสวิจารณ์ไปทั่วโลก เช่น การเจตนาทำแฮนด์บอลในฟุตบอลโลก 2010 ที่พบกับกานา แม้อุรุกวัยจะรอดพ้นการเสียประตูจากลูกจุดโทษ และซัวเรสได้รับใบแดงโดยตรง รวมถึงกรณีทำร้ายร่างกายฝั่งตรงข้ามด้วยการกัดอย่างน้อย 3 ครั้งในอาชีพ[11][12][13] รวมทั้งการเจตนาพุ่งล้ม[14]และมีส่วนเกี่ยวพันการการเหยียดผิวและเชื้อชาติฝ่ายตรงข้าม[15][16]

Remove ads

สโมสรอาชีพ

สรุป
มุมมอง

นาซิโอนัล

ลุยส์ ซัวเรซ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซิโอนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 ปี[17] คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล[17] [18] ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ[17] เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005[19] และช่วยนาซิโอนัลเป็นแชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม [20]

โกรนิงเงิน

Thumb
ซัวเรซ สมัยอยู่กับ โครนิงเงิน ในปี 2006

ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้น ซัวเรซ สร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม[21] หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นสัญญาซื้อ ซัวเรซ [21]หลังจบฤดูกาลนั้น สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงินเซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร[17] ซัวเรซ อยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้

อาเอฟเซ อายักซ์

Thumb
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลอาเอฟเซ อายักซ์

ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับอาเอฟเซ อายักซ์ 4 ปี ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านยูโร ในฤดูกาล 2007–08 ซัวเรซ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด โดยเขาทำผลงานในฤดูกาลแรกได้ยอดเยี่ยมโดยทำไป 22 ประตูจากการเล่น 44 นัด รวมทุกรายการ ต่อมาในฤดูกาล 2008–09 ซัวเรซ ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และได้เป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาล 2009–10 เขายังได้เป็นกัปตันทีมแทนโตมัส เฟอร์มาเลินที่ย้ายไปอยู่กับอาร์เซนอล โดยซัวเรซทำได้ 35 ประตูจาก 33 นัด ในลีก และพาทีมคว้าแชมป์เคเอ็นวีบี คัพ รวมทั้งได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010–11 ซัวเรซ ยิงให้สโมสรครบ 100 ลูก ในนัดที่เปิดบ้านเสมอกับพีเอโอเค ซาโลนิกี 1–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบคัดเลือก และนำทีมคว้าแชมป์เอเรอดีวีซี

ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 ซัวเรซได้รับโทษแบน 7 นัดจากการที่เขาไปกัดไหล่ของ ออสมาน แบคคาล กองกลางของ เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน รวมถึงถูกต้นสังกัดสั่งลงโทษแบน 2 นัดและสั่งปรับเงินโดยที่ไม่เปิดเผยจำนวน ซัวเรซลงสนามเกมสุดท้ายให้กับอายักซ์ ในเกมที่พบกับ เอซี มิลาน ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก่อนที่จะย้ายไปลิเวอร์พูลในปลายฤดูกาล 2010–11 ด้วยค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์ (1,026 ล้านบาท) จบฤดูกาล อาเอฟเซ อายักซ์ คว้าแชมป์เอเรอดีวีซี ฤดูกาล 2010–11 ซัวเรซ ได้เหรียญรางวัลชนะเลิศ ยิงประตูในเอเรอดีวีซีได้ 7 ประตูจาก 13 นัด ผลงานตลอด 3 ปีครึ่งที่อายักซ์ของซัวเรซคือการยิง 111 ประตูจาก 159 นัด

ลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2010–11

Thumb
ลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ. 2011

ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูลได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ ลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟีลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ ลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 นัดแรกที่ซัวเรซเล่นให้กับลิเวอร์พูลในถิ่นแอนฟีลด์คือการเจอสโตกซิตี โดยทำไป 1 ประตู ช่วยให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2–0 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรอง ต่อมา ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟีลด์ต้อนรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซัวเรซสร้างความปั่นป่วนแนวรับปีศาจแดงตลอดทั้งเกมจนทำให้ทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3–1 ต่อมา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกในนัดที่เอาชนะซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 2–0 ซัวเรซ ทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับสโมสรด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 นัด และช่วยให้ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล

ฤดูกาล 2011–12

Thumb
ซัวเรซ และแอนดี แคร์โรล ในปี 2012

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ลิเวอร์พูลลงเล่นนัดแรกที่แอนฟีลด์เจอกับซันเดอร์แลนด์ โดยซัวเรซยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 1–0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1[22] ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกในนัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะอาร์เซนอล 2–0[23]

ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 1–0 หลังจากนั้น ซัวเรซได้รับโทษแบน 8 นัด และถูกปรับเงิน 40,000 ปอนด์ (1.8 ล้านบาท) จากการเหยียดผิว ปาทริส เอวรา แบ็กซ้ายของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เขาถูกแบนอีก 1 นัดจากการแสดงสัญลักษณ์ไม่เหมาะสมใส่แฟนบอลฟูลัม

Thumb
ซัวเรซ ดวลกับ ซิลแว็ง ดิสแต็ง กองหลังของ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี ในเดือนมีนาคม 2012

ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ซัวเรซได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 8 นัด ในนัดที่ลิเวอร์พูลเสมอกับทอตนัมฮอตสเปอร์ 0–0 ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึกแดงเดือดบุกไปเยือนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา เนื่องจากคดีเหยียดผิว ในนัดนี้ซัวเรซทำประตูให้ลิเวอร์พูลไล่มาเป็น 1–2 แต่สุดท้ายก็แพ้ไปด้วยสกอร์นั้น ต่อมา ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ในการแข่งขันเอฟเอคัพ รอบ 5 ซัวเรซ ทำประตูปิดท้ายให้ลิเวอร์พูลเอาชนะไบร์ทตัน 6–1 ต่อมา ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ในฟุตบอลลีกคัพรอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูลพบกับคาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ซัวเรซช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของซัวเรซกับลิเวอร์พูล[24]

ต่อมาในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูลทำศึกเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีกับเอฟเวอร์ตัน แม้ว่าซัวเรซจะไม่ได้ทำประตูแต่ก็แอสซิสต์ให้กัปตันทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริกช่วยให้ลิเวอร์พูลชนะ 3–0[25] ต่อมา ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบ 6 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ สโตกซิตี ต่อมา ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2012 ซัวเรซทำประตูตีเสมอวีแกนแอธเลติก 1–1 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1–2 ต่อมา ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูลพบกับ เอฟเวอร์ตันที่สนามกีฬาเวมบลีย์ โดยในครึ่งแรก เอฟเวอร์ตันขึ้นนำก่อน 1–0 แต่ในครึ่งหลัง ซัวเรซทำประตูตีเสมอ 1–1 ก่อนที่ แอนดี แคร์โรล จะโหม่งทำประตูชัยในนาที 87 ช่วยให้ลิเวอร์พูลผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้ลิเวอร์พูล ในนัดที่ทีมบุกไปเอาชนะนอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3–0

ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ในเอฟเอคัพรอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูลพบกับเชลซี โดยลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ไป 1–2 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูลลงเล่นที่แอนฟิลด์นัดสุดท้ายเจอกับเชลซีอีกครั้ง ซัวเรซพาลิเวอร์พูลเอาขนะไป 4–1[26] ผลงานโดยรวมในฤดูกาลนี้ ซัวเรซยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 11 ประตูจาก 31 นัด โดย ลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกคัพ แต่จบอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี สุดท้าย เคนนี ดัลกลิช ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2012 สโมสรประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี ป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ต่อมา ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ซัวเรซได้ตัดสินใจต่อสัญญากับโดยรับค่าเหนื่อย 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ฤดูกาล 2012–13

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ซิตี โดยซัวเรซทำประตูจากฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2–1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 2–2 ต่อมา ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2012–13 รอบเพลย์ออฟ ซัวเรซทำประตูตีเสมอฮาร์ทส 1–1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มด้วยสกอร์รวม 2–1 ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีกในนัดที่เสมอกับซันเดอร์แลนด์ ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์พบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยเจอร์ราร์ดยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1–2 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซทำแฮตทริกที่สองของเขาให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่ชนะนอริชซิตีที่แคร์โรว์โรด 5–2 โดยเป็นการทำแฮตทริกใส่นอริชซิตีที่สนามแคร์โรว์โรดเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ทำได้ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว

Thumb
ลุยส์ ซัวเรซ ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ อาร์เซนอล ในปี ค.ศ. 2013

ในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ยูฟ่ายูโรปาลี รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ อูดิเนเซ มาเป็น 2–3 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนเอฟเวอร์ตัน โดยซัวเรซยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2–0 ก่อนจะถูกตีเสมอเป็น 2-2 และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซัวเรซยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 3–2 แต่ผู้ตัดสินกลับยกธงล้ำหน้า โดยที่ซัวเรซไม่ได้อยูในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้จบด้วยผลเสมอ ต่อมา ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ลีกคัพ รอบ 4 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูลไล่สวอนซีซิตีมาเป็น 1–2 ก่อนจะแพ้ไป 1–3 ต่อมา ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับวีแกนแอธเลติก โดย ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-0 ก่อนจะชนะไป 3-0 ทำให้ ซัวเรซ เป็นคนแรกที่ยิงครบ 10 ประตู ในพรีเมียร์ลีก[27] ต่อมา ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ซัวเรซทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะฟูลัม 4–0[28]

Thumb
ซัวเรซ ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ เซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก

ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซทำสองประตูให้ลิเวอร์พูลชนะซันเดอร์แลนด์ 3–0 ต่อมา ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนแมนฟิลด์ ทาวน์ โดยซัวเรซถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 55 และทำประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2–0 โดยเจตนาใช้มือขวาตบบอลไว้หนึ่งจังหวะก่อนตามเข้าไปยิงง่าย ๆ ทั้งที่น่าจะเป็นจังหวะแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินกลับให้เป็นประตู ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะไป 2–1 ต่อมา ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ทำประตูที่ 16 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ชนะ นอริชซิตี 5–0 ทำให้ ซัวเรซทำครบ 20 ประตู รวมทุกรายการ ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพ รอบ 4 ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนโอลดัมแอทเลติก ซัวเรซได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมครั้งแรกแทนเจอร์ราร์ด และทำประตูตีเสมอ แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลแพ้ไป 2–3 ตกรอบ เอฟเอคัพ ไปในที่สุด

ต่อมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์พบกับเซนิตเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก โดยนัดแรก ลิเวอร์พูลไปแพ้ที่รัสเซีย 0–2 ในนัดนี้จะต้องชนะ 3–0 เพื่อผ่านเข้ารอบต่อไป ซัวเรซทำประตูจากการยิงฟรีคิก 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ 3–1 แต่ต้องตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน ต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่สามของเขาในนัดที่บุกไปเอาชนะวีแกนแอธเลติก 4–0[29] ทำให้ซัวเรซเป็นผู้เล่นนแรกที่ยิงครบ 20 ประตูในพรีเมียร์ลีก[30] และเป็นนักเตะคนที่ 3 ของ ลิเวอร์พูลที่ยิงประตูครบ 20 ประตูในฤดูกาลเดียวต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ และ เฟร์นันโด ตอร์เรส ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูลพบทอตนัมฮอตสเปอร์ ซัวเรซยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ และในช่วงท้ายเขาช่วยให้ลิเวอร์พูลได้จุดโทษ ก่อนที่เจอร์ราร์ด ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะด้วยผลประตู 3–2

ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูลเปิดบ้านพบกับเชลซี โดยในครึ่งหลัง ซัวเรซทำแฮนด์บอลและเสียจุดโทษ ก่อนที่ เอแดน อาซาร์จะยิงจุดโทษให้เชลซีขึ้นนำ 2–1 แต่สุดท้าย ซัวเรซก็ทำประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ในเกมนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่แขนของ บรานิสลาฟ อีวานอวิช โชคดีที่เขารอดพ้นจากการโดนใบแดง อย่างไรก็ตาม สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ดำเนินการสอบสวนก่อนจะสั่งลงโทษแบนยาวถึง 10 นัด ทำให้ซัวเรซไม่สามารถลงสนาม 6 นัดแรกในฤดูกาลหน้าได้ ผลงานในฤดูกาลนี้ ซัวเรซยิงในพรีเมียร์ลีกได้ 23 ประตูจาก 33 นัด และเมื่อรวมทุกรายการ ยิงได้ 30 ประตูจาก 44 นัด กลายเป็นนักเตะคนที่ 12 ของลิเวอร์พูลที่ทำ 30 ประตู รวมทุกรายการภายในในฤดูกาลเดียว ต่อจากตอร์เรสในฤดูกาล 2007–08 ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2012–13 ไปครอง ต่อมา ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซตกเป็นข่าวต้องการย้ายออกจากถิ่นแอนฟีลด์ และต้องการลงเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2013–14 โดยที่มีอาร์เซนอล และ เรอัลมาดริด สนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ต่อมา ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2013 จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ เจ้าของสโมสรลิเวอร์พูล ได้ออกมายืนยันว่า ซัวเรซ ม่ได้มีไว้ขายและจะอยู่กับทีมต่อไป หลังจากนั้น ซัวเรซ ถูกทางสโมสรจับแยกซ้อมเดี่ยว แต่สุดท้าย ซัวเรซได้กลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากได้ขอโทษสโมสรและเพื่อนร่วมทีม และตัดสินใจอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป

ฤดูกาล 2013–14

ซัวเรซชดใช้โทษแบน 6 นัดแรก ก่อนที่ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2013 จะกลับมาลงสนามอีกครั้ง ในนัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในลีกคัพรอบ 3 แต่ลิเวอร์พูลแพ้ไป 0–1 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซกลับมาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ในนัดที่ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนซันเดอร์แลนด์ โดยซัวเรซทำ 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ 3–1[31] ต่อมาในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่เสมอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ดที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2–2[32] [33] ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับลิเวอร์พูลในนัดที่เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4–1[34]

ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซทำแฮตทริกครั้งที่ 5 ของเขา โดยยิง 4 ประตูให้ ลิเวอร์พูลชนะนอริชซิตี 5–1 สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ทำแฮตทริกใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวกันได้ถึงสามครั้ง[35] ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซสวมปลอกแขนกัปตันทีม และทำ 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 5–0[36] [37] ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล หรือ FSF Award ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรจนถึง ปี 2018 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของประวัติศาสตร์ของสโมสร[38] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซทำสองประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3–1[39] [40] และกลาเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 10 ประตูในเดือนเดียว และรับรางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคมของพรีเมียร์ลีก

ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีกในนัดที่เอาชนะ ฮัลล์ซิตี 2–0[41] ทำให้เขากลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ยิงประตูครบ 20 ประตูสองฤดูกาลติดต่อกัน ต่อจากฟาวเลอร์ในฤดูกาล 1994–95 และ 1995–96[42] ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซลงสนามนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก และทำประตูที่ 24 ในนัดที่ลิเวอร์พูลบุกชนะเซาแทมป์ตัน 3–0[43] [44] ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 25 ในนัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 3–0 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาช่วยทีมเอาชนะคาร์ดิฟฟ์ซิตีที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6–3[45] [46] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ซัวเรซได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคมของพรีเมียร์ลีกร่วมกับเจอร์ราร์ด[47] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซทำประตูที่ 30 ในพรีเมียร์ลีกในนัดที่ชนะนอริชซิตีที่แคร์โรว์โรด 3–2[48] ทำให้ ซัวเรซเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูลที่ยิงประตูครบ 30 ประตูในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เอียน รัช ที่ทำได้ในปี 1987 และเป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 30 ประตูในฤดูกาลเดียว

ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013–14 ส่งผลให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้คนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครอง และเป็นนักเตะคนที่ 6 ของลิเวอร์พูลที่ได้รับรางวัลนี้[49] และยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอย่างเจอร์ราร์ด และแดเนียล สเตอร์ริดจ์ ต่อมา ซัวเรซรับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ ไปอีกหนึ่งรางวัล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนที่เซลเฮิสต์พาร์กของคริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูลจะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนเชสเตอร์ซิตี ซัวเรซทำประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 3–0 แต่สุดท้ายจบด้วยผลเสมอกัน 3–3 หลังจบเกม ซัวเรซก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว และในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซคว้าสามรางวัลของสโมสร ได้แก่ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของเพื่อนร่วมทีม, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟน ๆ และ รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี จากลูกวอลเลย์ระยะไกล 40 หลาในเกมกับ นอริชซิตี เมื่อเดือนธันวาคมจากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014

ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีก โดยในนัดนี้ลิเวอร์พูลจะต้องชนะและต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ปรากฏว่า ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ 2–1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตีเอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 2–0 ทำให้ ปิดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าเสียดาย[50] ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 31 ประตู จาก 33 นัด[51] คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2013–14 ไปครอง[52] และช่วยให้ ลิเวอร์พูลได้อันดับ 2 ทำให้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 2009[53] ซัวเรซยังรับรางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด ถือเป็นนักเตะคนที่สองของลิเวอร์พูล ที่ได้รางวัลนี้ต่อจากเอียน รัช ในฤดูกาล 1983-84[54]

บาร์เซโลนา

ฤดูกาล 2014-15

Thumb
ซัวเรซ ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนา ในปี 2014

ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 บาร์เซโลนา ได้เซ็นสัญญาคว้าตัว ลุยส์ ซัวเรซ เป็นเวลา 5 ปี ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดแรกให้กับ บาร์เซโลนา หลังจากพ้นโทษแบน 4 เดือน ซัวเรซ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงคู่กับ เลียวเนล เมสซี และ เนย์มาร์ ในนาม 3 ประสาน MSN ในนัดที่เจอกับ เรอัลมาดริด ในศึก เอลกลาซีโก ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว โดย ซัวเรซ ได้จ่ายบอลให้ เนย์มาร์ ทำประตูขึ้นนำ 1-0 ในช่วง 4 นาทีแรก ก่อนที่ ซัวเรซ จะถูกเปลี่ยนตัวในครึ่งหลัง แต่สุดท้าย บาร์เซโลนา ก็แพ้ไป 1-3 ต่อมา ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 ซัวเรซ ได้ประเดิมประตูแรกให้กับ บาร์เซโลนา ในนาทีที่ 27 ในนัดที่เอาชนะ อาโปเอล จากไซปรัส 4-0 ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง จากฝรั่งเศส 3-1 ต่อมา ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูแรกในลาลิกา ให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ กอร์โดบา 5-0

ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซได้ทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ให้กับบาร์เซโลนาในนัดที่บาร์เซโลนาเปิดสนามกัมนอว์เอาชนะเอลเช 5-0 ต่อมา 11 มกราคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ, เมสซี และ เนย์มาร์ ได้ทำคนละประตูในนัดที่บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะแชมป์เก่า อัตเลติโกเดมาดริด 3-1 ต่อมา ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ซานมาเมส 5-2 ต่อมา ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เลบันเต 5-0 ต่อมา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 2-1 ต่อมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 5 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา ที่เอสตาดีโอ นวยโบ โลส การ์เมเนส 3-1 ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ บิยาร์เรอัล ที่เอสตาดีโอ เอล มาดรีกัล 3-1 ประตูรวม บาร์เซโลนา เอาชนะ บิยาร์เรอัล 6-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของโกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ราโยบาเยกาโน 6-1 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เจอกับ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ในศึกเอลกลาซีโก โดย ซัวเรซ ได้ทำประตูชัยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัลเมริอา 4-0

ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่ปาร์กเดแพร็งส์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 11 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 2-0 ต่อมา ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เฆตาเฟ 6-0 ต่อมา ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซได้ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับบาร์เซโลนา ในนัดที่บาร์เซโลนาเอาชนะกอร์โดบา 8-0 ต่อมา ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2015 บาร์เซโลนา เจอกับ ยูเวนตุส ที่สนามโอลึมเพียชตาดิโยน ในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ซัวเรซ ทำประตูที่ 7 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ยูเวนตุส 3-1 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 5 มาครอง พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ จบฤดูกาล 3 ประสาน MSN (เมสซี่, ซัวเรซ และ เนย์มาร์) ยิงประตูรวมทั้งหมด 122 ประตู ทำลายสถิติ 118 ประตูของ เรอัลมาดริด (คริสเตียโน โรนัลโด, กอนซาโล อีกวาอิน และ การีม แบนเซมา ในฤดูกาล 2011-12)

ฤดูกาล 2015-16

Thumb
ซัวเรซ ลงซ้อมให้กับ บาร์เซโลนา ในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2015

ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2015 บาร์เซโลนา แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 เจอกับ เซบิยา แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2014–15 ซัวเรซลงเล่นนัดแรกในฤดูกาล 2015-16 โดยทำประตูช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 5-4 คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 5 มาครอง ต่อมา ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ มีชื่อ 1 ใน 3 คนสุดท้ายเข้าชิงรางวัล 2015 UEFA Best Player in Europe Award

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ลาลิกา นัดเปิดฤดูกาล 2015–16 ซัวเรซทำประตูชัยช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ซานมาเมส 1-0 ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2015–16 รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ โรมา ที่สตาดีโอโอลิมปีโก 1-1 ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ลัสปัลมัส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซ่น 2-1 ต่อมา ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ราโยบาเยกาโน 5-2 ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 2 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เอย์บาร์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 8 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เฆตาเฟ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเต บอรีซอฟ 3-0 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 9 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บิยาร์เรอัล 3-0 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ที่ซานเตียโก เบร์นาเบว 4-0

ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2015–16 รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ โรมา 6-1 ต่อมา ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 12 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 4-0 ต่อมา ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ทำประตูที่ 13 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ บาเลนเซีย ที่เมสตายา 1-1 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2015 รอบรองชนะเลิศ ซัวเรซ ทำแฮตทริกให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ กว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ จากจีน 3-0 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ต่อมา ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2015 รอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนา เจอกับ ริเวอร์เพลต จากอาร์เจนตินา ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ริเวอร์เพลต 3-0 คว้าแชมป์สโมสรโลก สมัยที่ 3 มาครอง จบทัวร์นาเมนต์ ซัวเรซ ยิงประตูในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 5 ประตู รับตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดประจำทัวร์นาเมนต์และคว้าผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ต่อมา ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลเบติส 4-0

ในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 6-0 ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซ ทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2015–16 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 5-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 19 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย ซัวเรซ ยิง 4 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 7-0 ต่อมา ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 20 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลบันเต 2-0 ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลตาเดบีโก 6-1 ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 24 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 3-1 ต่อมา ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 25 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ ลัสปัลมัส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 26 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เอย์บาร์ 4-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซัวเรซ ทำประตูที่ 6 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อาร์เซนอล 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 7 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย ซัวเรซ ยิง 4 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 8-0 ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 8 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย ซัวเรซ ยิง 4 ประตูเป็นนัดที่สองติดต่อกัน ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 6-0 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิง 4 ประตู 2 นัดติดต่อกัน รวมถึง ซัวเรซ ยิงครบ 50 ประตูรวมทุกรายการในฤดูกาลเดียว ต่อมา ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ทำประตูที่ 35 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลเบติส 2-0 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล 5-0

ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ลาลิกา นัดปิดฤดูกาล บาร์เซโลนา เจอกับ กรานาดา เป็นนัดตัดสินแชมป์ลาลิการะหว่าง บาร์เซโลนา กับ เรอัลมาดริด ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ กรานาดา บาร์เซโลนา ก็จะได้แชมป์ลาลิกา ซัวเรซ ทำแฮตทริกที่ 9 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา 3-0 ช่วยให้ บาร์เซโลนา คว้าแชมป์ลาลิกามาครอง จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในลาลิกาได้ 40 ประตู ทำให้ ซัวเรซ กลายเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 7 ปีที่เบียดเอาชนะ คริสเตียโน โรนัลโด และ เลียวเนล เมสซี คว้ารางวัล "ปิชีชี่" หรือดาวซัลโวสูงสุดของลีกสเปนไปครอง

ฤดูกาล 2016-17

ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2016 นัดแรก ซัวเรซทำประตูแรกในฤดูกาล 2016-17 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ที่เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน 2-0 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ลาลิกา นัดเปิดฤดูกาล 2016–17 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 10 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลเบติส 6-2 ต่อมา ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2016–17 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลติก จากสกอตแลนด์ 7-0 ต่อมา ในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลกาเนส 5-1 ต่อมา ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 5 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 5-0 ต่อมา ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 6 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 4-0 ต่อมา ในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 7 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ บาเลนเซีย ที่เมสตายา 3-2 ต่อมา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 8 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ที่เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน 2-1 ต่อมา ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 9 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ เรอัลมาดริด 1-1 ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซทำประตูที่ 10 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ โอซาซูนา 3-0 ต่อมา ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล 4-1

ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2017 โกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2016–17 และเป็นประตูที่ 100 ให้กับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ 4-3 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ลัสปัลมัส 5-0 ต่อมา ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 15 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เออิบาร์ 4-0 ต่อมา ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2017 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 5-2 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 6-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 16 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ เรอัลเบติส 1-1 ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2017 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด ที่สนามกีฬาบีเซนเตกัลเดรอน 2-1

ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2017 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูที่ 4 ในโกปาเดลเรย์และโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเป็นครั้งแรกกับ บาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ อัตเลติโกเดมาดริด 1-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 3-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ทำให้ ซัวเรซจะพลาดลงเล่นรอบชิงชนะเลิศ ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เดปอร์ติโบอาลาเบส 6-0 ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 6-1 ต่อมา ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เจอกับ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โดยนัดแรก บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ที่ฝรั่งเศส 0-4 ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ 5-0 ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ บาร์เซโลนา ขึ้นนำ 1-0 ก่อนจะเอาชนะไป 6-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 6-5 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 21 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 1-2 ต่อมา ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 22 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 4-2 ต่อมา ในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 23 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา 4-1 ต่อมา ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 24 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซบิยา 3-0 ต่อมา ในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตูให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัสปัญญ็อล 3-0 ต่อมา ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 27 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บิยาร์เรอัล 4-1 ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 28 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ ลัสปัลมัส 4-1 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ลาลิกา นัดปิดฤดูกาล 2016–17 บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เจอกับ เออิบาร์ เป็นนัดตัดสินแชมป์ลาลิการะหว่าง บาร์เซโลนา กับ เรอัลมาดริด ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ เออิบาร์ และต้องลุ้นให้ มาลากา เอาชนะ เรอัลมาดริด บาร์เซโลนา ก็จะได้แชมป์ลาลิกา ซัวเรซทำประตูที่ 29 ในลาลิกา บาร์เซโลนา เอาชนะ เออิบาร์ 4-2 แต่สุดท้าย เรอัลมาดริด เอาชนะ มาลากา 2-0 ทำให้ บาร์เซโลนาพลาดโอกาสคว้าแชมป์ลาลิกา อย่างน่าเสียดาย[55]

ฤดูกาล 2017-18

ในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูแรกในลาลิกา ฤดูกาล 2017–18 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล 5-0 ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ คิโรนา 3-0 ต่อมา ในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ อัตเลติโกเดมาดริด ที่เอสตาดีโอเมโตรโปลีตาโน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลกาเนส 3-0 ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 6 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ เซลตาเดบีโก 2-2 ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 7 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ บิยาร์เรอัล ที่เอสตาดีโอ เอล มาดรีกัล 2-0 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา 4-0 ต่อมา ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ซัวเรซทำประตูที่ 10 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ที่ซานเตียโก เบร์นาเบว 3-0 ต่อมา ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 11 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เลบันเต 3-0 ต่อมา ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2017–18 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลตาเดบีโก 5-0 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ เซลตาเดบีโก 6-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 4-2 ต่อมา ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 100 ในลาลิกา หลังจากยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลเบติส 5-0 ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง ซัวเรซทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญ็อล รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อัสปัญญ็อล 2-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 16 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เดปอร์ติโบอาลาเบส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 1-0 ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 17 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เอย์บาร์ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 11 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ คิโรนา 6-1 ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 21 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ มาลากา 2-0 ต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 22 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ เซบิยา ที่เอสตาดิโอ รามอน ซานเชซ ปิซฆวน 2-2 ต่อมา ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก ซัวเรซทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ โรมา 4-1 ต่อมา ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 23 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเลนเซีย 2-1 ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2018 โกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศ 2018 ซัวเรซยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบิยา ที่เอสตาดีโอเมโตรโปลีตาโน 5-0 คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ สมัยที่ 30 มาครองได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 24 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เสมอกับ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล 2-2 ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 25 ในลาลิกา ด้วยลูกจุดโทษ ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เลบันเต 4-5

ฤดูกาล 2018-19

ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2018 ซัวเรซยิง 2 ประตูแรกในลาลิกา ฤดูกาล 2018–19 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อูเอสก้า 8-2 ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 3 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 2-1 ต่อมา ในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำประตูที่ 4 ในลาลิกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซบิยา 4-2 ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ซัวเรซทำแฮตทริกที่ 12 ของเขาให้กับ บาร์เซโลนา โดย บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล 5-1

Remove ads

ทีมชาติอุรุกวัย

สรุป
มุมมอง

ฟุตบอลโลก 2010

ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ถือเป็นทัวนาเม้นท์แจ้งเกิดให้กับ ซัวเรซ อย่างแท้จริง โดยเขาจับคู่กับ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน สร้างความปั่นป่วนให้กับทีมคู่แข่ง เป็นอย่างมาก ด้วยการทำไป 3 ประตูจาก 6 นัดและช่วยให้อุรุกวัยผ่านเข้าไปถึง รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายอุรุกวัยก็จอดแค่รอบนั้น โดยซัวเรซ ไม่ได้ลงสนามเพราะต้องชดใช้โทษแบนพอดี

ไฮไลท์สำคัญในฟุตบอลโลกที่แฟน ๆ จดจำได้เป็นอย่างดีคือ "แฮนด์ ออฟ ก็อด" ในเกมกับ กาน่า รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อเขาใช้มือปัดลูกบอล ที่กำลังจะลอย เข้าประตูในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษ ขณะที่อุรุกวัยยังเสมอกับ กาน่า อยู่ ทำให้เขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันที แต่ช้อตต่อจากนั้น กียาน อซาโมอาห์ ของกาน่า ยิงจุดโทษพลาดทำให้เกมจบลงด้วยการเสมอ และ ไปดวลจุดโทษ ตัดสินปรากฏว่า อุรุกวัย แม่นโทษกว่าเอาชนะไปได้ ทำให้ชื่อของ ซัวเรซ ยิ่งถูก โจษจันมากขึ้นในแง่มุมอื่นนอกจากการสังหารประตู ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าเขาทำไป โดยสัญชาติญาณ และ ถ้าเลือกได้เขาก็จะยอมเสียสละตัวเองเพื่อทำแบบเดิมอีก เพราะถือเป็นการช่วยอุรุกวัยไม่ให้ต้องตกรอบ

โกปาอาเมริกา 2011

Thumb
ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของ โกปาอาเมริกา 2011

ซัวเรซถูกเรียกติดทีมชาติอุรุกวัยชุดลุยศึกโกปาอาเมริกา 2011 ที่อาร์เจนตินา โดย อุรุกวัย ได้อยู่กลุ่มซี ร่วมกับ เปรู, ชิลี และ เม็กซิโก โดย ซัวเรซ ได้ทำประตูแรก ในนัดที่ อุรุกวัย เสมอกับ เปรู 1-1 และช่วยให้ทีมได้อันดับ 2 ของกลุ่มซี พาทีมชาติอุรุกวัยเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับเจ้าภาพ อาร์เจนตินา สุดท้าย อุรุกวัย เอาชนะ อาร์เจนตินา ด้วยการดวลจุดโทษ 5-4 หลังจากเสมอกัน 1-1 ในช่วง 90 นาที และต่อเวลาพิเศษ ต่อมา ในรอบรองชนะเลิศ ซัวเรซ ได้ทำ 2 ประตู ในนัดที่ อุรุกวัย เอาชนะ เปรู 2-0 พาทีมชาติอุรุกวัยเข้ารอบชิงชนะเลิศเจอกับ ปารากวัย โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้อุรุกวัยออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่ อุรุกวัย จะชนะไป 3-0 ซัวเรซ ช่วยให้ อุรุกวัย คว้าแชมป์โกปาอาเมริกา สมัยที่ 15 มาครอง และคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของโกปาอาเมริกา

ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013

ฟุตบอลโลก 2014

ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้มีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าด้านซ้าย ทำให้ ซัวเรซ ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน และอาจทำให้เขาหมดสิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลโลก ต่อมา ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ก็ตาม ต่อมา ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้เป็นตัวสำรองแต่ไม่ได้ลงสนาม ในนัดที่ อุรุกวัย พ่ายแพ้ต่อ คอสตาริกา 1-3 ในรอบแรกนัดที่สาม ที่อุรุกวัยพบกับอิตาลี ลุยส์ ซัวเรซ สร้างเรื่องฮือฮาขึ้นมาเมื่อเป็นฝ่ายไปกัดไหล่ของ จอร์โจ กีเอลลีนี กองหลังของอิตาลี ซึ่งสถานการณ์บังคับให้อุรุกวัยต้องชนะอิตาลีให้ได้เท่านั้น จึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรรมการจะไม่เห็น แต่ทว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ก็มีบทลงโทษย้อนหลัง โดยให้ซัวเรซต้องงดเล่นให้กับทีมชาติเป็นเวลานานถึง 9 นัด และยังห้ามเล่นในระดับสโมสรอีก 4 เดือน และยังสั่งปรับซัวเรซอีกเป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท[56]

ซึ่งก่อนหน้านั้นซัวเรซเองก็มีพฤติกรรมเช่นนี้มาแล้วเมื่อครั้งยังเล่นอยู่ในเอเรอดีวีซีหรือลีกของเนเธอร์แลนด์ กอปรกับฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ในรอบสี่ทีมสุดท้าย ซัวเรซก็เป็นฝ่ายใช้มือปัดลูกฟุตบอลที่กำลังจะเข้าประตูของทีมกานา ทำให้อุรุกวัยเสียจุดโทษ แต่ทว่าฝ่ายกานายิงไม่เข้า[57]

ฟุตบอลโลก 2018

Remove ads

สถิติอาชีพ

สโมสร

ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2018.[58][59]
ข้อมูลเพิ่มเติม สโมสร, ฤดูกาล ...
  1. All appearances in Copa Libertadores
  2. Two appearances and Two goals in Primera playoffs
  3. All appearances in UEFA Cup
  4. all appearances in the Eredivisie playoffs
  5. Two appearances and one goal in UEFA Champions League, two appearances UEFA Cup
  6. All appearances in Europa League
  7. All appearances in UEFA Champions League
  8. Appearance in 2010 Johan Cruijff Schaal
  9. One appearance and one goal in UEFA Super Cup, two appearances in Supercopa de España, two appearances and five goals in FIFA Club World Cup
  10. Appearances in Supercopa de España

    ทีมชาติ

    ข้อมูลเพิ่มเติม ทีมชาติอุรุกวัย, ปี ...

    ประตูในนามทีมชาติ

    ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2017[20][61]
    ข้อมูลเพิ่มเติม ประตูในนามทีมชาติ, Goal ...
    Remove ads

    เกียรติประวัติ

    ระดับสโมสร

    นาซิโอนัล
    • อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน: 2005–06
    อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม
    • เอเรอดีวีซี: 2010–11
    • เคเอ็นวีบี คัพ: 2009–10
    ลิเวอร์พูล
    บาร์เซโลนา
    อัตเลติโกมาดริด

    ระดับชาติ

    ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย

    รางวัลส่วนตัว

    • IFFHS World's Best Top Division Goalscorer: 2010, 2014, 2016
    • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ: 2013–14
    • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ: 2013–14
    • รองเท้าทองคำของยุโรป: 2013–14, 2015–16
    • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก: 2013–14
    • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล: 2013–14
    • La Liga World Player of the Year: 2015–16
    • ผู้เล่นแห่งปีของเอเรอดีวีซี: 2009–10
    • ESM Team of the Year: 2013–14, 2014–15, 2015–16
    • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ: 2012–13, 2013–14
    • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก: ธันวาคม 2013, มีนาคม 2014
    • รองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก: 2013–14
    • Premier League Golden Boot Landmark Award 10: 2012–13
    • Premier League Golden Boot Landmark Award 20: 2012–13, 2013–14
    • Premier League Golden Boot Landmark Award 30: 2013–14
    • Copa del Rey top goalscorer: 2015–16
    • รองเท้าทองคำของเอเรอดีวีซี: 2009–10[63]
    • เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด: 2009–10
    • ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก (CONMEBOL): Top Goalscorer (11 ประตู)
    • โกปาอาเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน: 2011
    • ผู้เล่นแห่งปีของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม: 2008–09, 2009–10
    • ผู้ทำประตูสูงสุดของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม: 2008–09[64], 2009–10[65]
    • Liverpool FC Player of the Year: 2012–13, 2013–14
    • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล: 2011–12, 2012–13, 2013–14
    • La Liga Pichichi Trophy: 2015–16
    • La Liga World Player of the Year: 2015–16
    • La Liga top assist provider: 2015–16, 2016–17
    • Barcelona Player of the Season (Trofeo Aldo Rovira): 2015–16
    • Trofeo EFE Player of the Year: 2014–15[66]
    • UEFA Best Player in Europe Award: 2014, (8th place), 2015, (2nd place) 2016 (4th place)
    • UEFA Champions League Team of the Season: 2014–15, 2015–16
    • FIFA Ballon d'Or: 6th place 2011, 5th place 2015
    • FIFA Club World Cup Golden Ball: 2015
    • FIFA Club World Cup Most Valuable Player of the Final: 2015
    • FIFA FIFPro World XI: 2016
    • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล: 2013–14
    • นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลจากสมาคมกองเชียร์ผู้พิการ: 2012–13[67]
    • FTBpro PFA Fan Player of the Season: 2013–14
    • ประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลิเวอร์พูล (2): (2012–13: เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2012), (2013–14: ประตูที่ 1 เจอกับ นอริชซิตี ในวันที่ 4 ธันวาคม 2013)
    • Standard Chartered Liverpool Player of the Month (14): มีนาคม 2011, พฤษภาคม 2011, สิงหาคม 2011, กันยายน 2011, ตุลาคม 2011, เมษายน 2012, กันยายน 2012, ตุลาคม 2012, ธันวาคม 2012, กุมภาพันธ์ 2013, ตุลาคม 2013[68], พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013, มกราคม 2014
    • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอตส์ (2): พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013
    Remove ads

    อ้างอิง

    แหล่งข้อมูลอื่น

    Loading related searches...

    Wikiwand - on

    Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

    Remove ads