คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
เจ้าชายฮิซาฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 悠仁親王殿下[1]; โรมาจิ: Hisahito Shinnō Denka; อังกฤษ: His Imperial Highness Prince Hisahito[2]) ทรงดำรงฐานันดรศักดิ์ "ชินโน" หรือเจ้าชายชั้นเอกแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น
ทรงเป็นพระโอรสในเจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารกับเจ้าหญิงอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารี
ทรงเป็นพระราชภาติยะ[3]ในจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน (สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ) และเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ
ปัจจุบันทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่สองแห่งการสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตรา 2 ข้อ 6[4]
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ สนร่ม[5]
ที่ประทับหลัก วังอากิชิโนะ เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตโมโตะ-อากาซากะ กรุงโตเกียว[6]
Remove ads
พระประวัติ
สรุป
มุมมอง
การประสูติ
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เจ้าหญิงอากิชิโนะทรงเข้ารับการอัลตราซาวด์ ณ พระราชวังที่ประทับ ผลการตรวจคือ พบการเต้นของหัวใจทารก และได้รับการยืนยันว่าทรงพระครรภ์เป็นเวลา 6 สัปดาห์แล้ว โดยมีกำหนดการประสูติในเดือนกันยายน ซึ่งสำนักพระราชวังได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549[7]
วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 เจ้าหญิงอากิชิโนะทรงเข้ารับการตรวจพระครรภ์ ทราบผลว่ามีภาวะรกเกาะต่ำบางส่วน มีความเสี่ยงที่เลือดจะออกมากและประสูติก่อนกำหนด[7][8]
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2549 (ปีเฮเซที่ 18) เวลา 08:27 น. เจ้าหญิงอากิชิโนะประสูติพระโอรส ณ โรงพยาบาลไอกุ (愛育病院) เขตมินามิโตะ กรุงโตเกียว น้ำหนัก 2,558 กรัม และสืบเนื่องมาจากภาวะรกเกาะต่ำตอนตั้งพระครรภ์ จึงต้องทำการผ่าคลอดก่อนกำหนด 2 สัปดาห์[7][8] โดยพระพลานามัยของทั้งเจ้าหญิงอากิชิโนะและพระโอรสนั้นสมบูรณ์ปลอดภัยดี
บ่ายวันเดียวกัน มีการจัดพิธีมอบดาบคุ้มครอง (賜剣の儀) และฮากามะ (袴) พระราชทานโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ โดยจัดวางไว้ที่ข้างเตียงของพระโอรส ซึ่งเป็นธรรมเนียมราชสำนักเมื่อมีสมาชิกใหม่ของราชวงศ์ประสูติ[7]
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2549 มีการจัดพิธีเฉลิมพระนาม (命名の儀) ซึ่งเป็นธรรมเนียมราชสำนักที่จัดหลังจากการประสูติประมาณ 7 วัน ในพิธีนี้จะมีการตั้งพระนามและกำหนดสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แต่เนื่องด้วยพระองค์ไม่ใช่พระราชโอรสของจักรพรรดิหรือมกุฎราชกุมาร แต่เป็นพระโอรสของเจ้าชายในราชวงศ์ (ณ ขณะนั้น) จึงทำให้พระนามถูกตั้งโดยพระชนกแทนที่จะเป็นจักรพรรดิ และไม่ได้รับพระราชทานพระนาม "โกโชโง"[7]
เจ้าชายอากิชิโนะ พระชนก ทรงตั้งพระนามพระโอรสว่า "ฮิซาฮิโตะ" (悠仁) เป็นการประกอบจากคำว่า "ฮิซะ" (悠) แปลว่า ความสงบ หรือ อายุยืนยาว กับคำว่า "ฮิโตะ" (仁) แปลว่า ผู้มีคุณธรรม (และเป็นคำที่ใช้ลงท้ายพระนามราชวงศ์ชายตามธรรมเนียมราชสำนัก) โดยรวมมีความหมายว่า "ผู้มีศีลธรรม จริยธรรม ความสงบเยือกเย็น และความเป็นนิรันดร์"[9]

ณ วันประสูติ พระองค์ทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ จึงทำให้พระองค์ดำรงฐานันดร "ชินโน" หรือ เจ้าชายชั้นเอกแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตราที่ 6[4]
เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงมีพระนามลำลองที่พระชนกและพระชนนีเรียก ว่า "ยูยู" หรือ "ยูจัง"[10]
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ คือ สนร่ม ซึ่งมีความหมายว่า "อยากให้เติบโตขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และซื่อตรง"[11]
เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงเป็นพระบุตรพระองค์เล็ก และเป็นพระโอรสพระองค์เดียวในเจ้าชายอากิชิโนะและเจ้าหญิงอากิชิโนะ ทรงมีพระเชษฐภคินี 2 พระองค์คือเจ้าหญิงมาโกะ และเจ้าหญิงคาโกะ ตามลำดับ
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2549 เจ้าชายฮิซาฮิโตะปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนครั้งแรก พร้อมกับพระชนกและพระชนนีที่ด้านหน้าโรงพยาบาลไอกุ จากนั้นขึ้นประทับรถยนต์เพื่อกลับสู่พระตำหนัก โดยมีประชาชนรับเสด็จกว่า 1,800 คนตลอดเส้นทาง[12]
การขาดแคลนราชวงศ์ชายและข้อถกเถียงเรื่องการสืบสันตติวงศ์
เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงเป็นราชวงศ์ชายพระองค์ล่าสุดของราชวงศ์ญี่ปุ่นในรอบเกือบ 41 ปี โดยราชวงศ์ชายพระองค์ก่อนหน้าที่ประสูติคือเจ้าชายอากิชิโนะ พระชนก (เมื่อ พ.ศ. 2508) หลังจากนั้นมีการประสูติของราชวงศ์หญิงติดต่อกันถึง 9 พระองค์ จนกระทั่งเจ้าชายฮิซาฮิโตะประสูติในปี พ.ศ. 2549 ทำให้สังคมในช่วงเวลานั้นเกิดความกังวลถึงปัญหาเรื่องการสืบสันตติวงศ์ในอนาคต[13] เนื่องจากกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตราที่ 1 อนุญาตให้เพียงแค่ราชวงศ์ชายเท่านั้นที่สามารถขึ้นครองราชย์ได้[14] ซึ่งก่อนที่เจ้าชายฮิซาฮิโตะจะประสูตินั้น ญี่ปุ่นมีราชวงศ์ชายเหลืออยู่เพียง 3 พระองค์และลำดับการสืบสันตติวงศ์ ณ ขณะนั้น ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตราที่ 2 [4] เป็นดังนี้
- เจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมาร มีพระธิดา 1 พระองค์
- เจ้าชายอากิชิโนะ มีพระธิดา 2 พระองค์
- เจ้าชายฮิตาจิ (พระอนุชาในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ) ไม่มีพระโอรส-พระธิดา
ด้วยสาเหตุนี้จึงมีการถกเถียงกันในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับตัวกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นว่าควรจะแก้ไขให้ราชวงศ์หญิงสามารถขึ้นครองราชย์ได้ด้วยหรือไม่ เนื่องจากราชวงศ์ญี่ปุ่นในอดีตเคยมีบันทึกถึงการครองราชย์ของจักรรพรรดินีถึง 8 พระองค์ แต่ก็มีข้อโต้แย้งเช่นกันว่าเป็นแค่การครองราชย์เพียงชั่วคราวเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเท่านั้น (เช่น รัชทายาทชายตัวจริงยังไม่บรรลุนิติภาวะ) อีกทั้งจักรพรรดินีไม่เคยอภิเษกระหว่างครองราชย์ จึงไม่ได้ให้กำเนิดรัชทายาทเพื่อสืบบัลลังก์ต่อ [13][15]
จากข้อถกเถียงต่างๆ รวมทั้งสภาที่ปรึกษาได้ให้คำแนะนำแก่นายกรัฐมนตรีจุนอิจิโร โคอิซูมิ จึงทำให้ทางนายกรัฐมนตรีก็มีความตั้งใจในการแก้ไขกฎหมายนี้เช่นกัน และเริ่มมีการเตรียมร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติ[7][15]
แต่พอเจ้าหญิงอากิชิโนะตั้งพระครรภ์ และให้กำเนิดเจ้าชายฮิซาฮิโตะ ทำให้นายกรัฐมนตรีระงับการส่งเรื่องขอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เข้าไปในสภานิติบัญญัติ ซึ่งนายชินโซ อาเบะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ผู้ซึ่งเป็นตัวเก็งนายกรัฐมนตรีในสมัยหน้า) ได้ออกมาให้เหตุผลว่า “เรายังต้องการความเข้าใจร่วมกันในระดับชาติ ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันอย่างสงบ รอบคอบ และมีสติ เราคงยังไม่สามารถหารือเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายนี้ได้อีกสักพัก เราคงต้องรอจนกว่าจะมีเวลาที่เหมาะสม” [7][15]
ดังนั้นเจ้าชายฮิซาฮิโตะจึงทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 3 ของราชวงศ์ญี่ปุ่น หลังประสูติทันที
ระดับชั้นอนุบาล

วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553 เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงเข้าพิธีเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาล สังกัดมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) เขตบุงเกียว กรุงโตเกียว[16][17]
วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เจ้าชายฮิซาฮิโตะได้ทรงเข้าพิธีตามธรรมเนียมราชวงศ์ญี่ปุ่นดังนี้
- พิธีสวมฮากามะ (着袴の儀) โดยพระองค์จะทรงสวมชุด "โอจิตากิสึ โนะ โกฟูกุ" (落滝津の御服) หรือ กิโมโนลวดลายน้ำตก พร้อมกับฮากามะ (袴) สีขาว ที่ได้รับพระราชทานในวันประสูติ[18][19]
- พิธีฟูกาโซกิ (深曽木の儀) เป็นพิธีการที่จัดเฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายชาย โดยเจ้าชายฮิซาฮิโตะจะทรงฉลองพระองค์ชุดโดเกียวฟูกุ (童形服) ประทับยืนบนหินสีน้ำเงิน 2 ก้อนบนกระดานโกะ พระหัตถ์ซ้ายถือกิ่งสนและผลส้มภูเขา พระหัตถ์ขวาถือพัด จากนั้นเจ้าหน้าที่ทำการตัดปลายพระเกศา และให้ทรงกระโดดจากกระดาน[20][21] ปกของฉลองพระองค์นั้น มีเครื่องหมายรูปไม้กางเขนอยู่ บ่งบอกได้ว่าเป็นเครื่องแต่งกายแบบ "ยามาชินะ" (山科流) โดยตามธรรมเนียมแล้วจะมีเพียงแค่จักรพรรดิหรือมกุฎราชกุมารเท่านั้นที่จะทรงฉลองพระองค์แบบนี้ ซึ่งพิธีฟูกาโซกิในอดีต สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะก็ทรงฉลองพระองค์แบบดังกล่าว ส่วนเจ้าชายอากิชิโนะ (พระชนก) ทรงฉลองพระองค์ในแบบที่เรียกว่า "ทากากูระ" (高倉流) ซึ่งที่ปกฉลองพระองค์จะมีเครื่องหมายกากบาทแทน[22]
วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556 ทรงเข้าพิธีจบการศึกษาระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาล สังกัดมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) กรุงโตเกียว[23]
ระดับชั้นประถมศึกษา
วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556 ทรงเข้าพิธีเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) เขตบุงเคียว กรุงโตเกียว [24]
เจ้าชายฮิซาฮิโตะเริ่มมีการสนพระทัยในธรรมชาติ พระองค์ได้เข้าเป็นสมาชิกชมรมการเพาะปลูกของโรงเรียน โดยทรงรับผิดชอบในการรดน้ำแปลงดอกไม้ นอกจากนี้ยังทรงปลูกผักและข้าวในสวนของพระตำหนักอีกด้วย [25]
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562 ทรงเข้าพิธีจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา[26]
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 ทรงเข้าพิธีเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) เขตบุงเกียว กรุงโตเกียว[27]
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2562 คุณครูพบวัตถุมีคมสองชิ้น ลักษณะเป็นมีดปอกผลไม้ผูกติดกับไม้ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร รูปร่างคล้ายหอก วางอยู่บนโต๊ะของเจ้าชายฮิซาฮิโตะในโรงเรียน ซึ่งตำรวจนครบาลกรุงโตเกียวรายงานว่า ได้มีการจับกุมนายคาโอรุ ฮาเซกาวะ อายุ 56 ปี ในข้อหาบุกรุกโรงเรียนแล้ว และเขาได้ให้การสารภาพว่าได้เข้าไปในโรงเรียนจริง โดยแจ้งเจ้าหน้าที่โรงเรียนว่าเป็นช่างประปา ซึ่งขณะนั้นเจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงกำลังเรียนวิชาพลศึกษาอยู่นอกห้องเรียน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ[28][29]
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 (ปีเรวะที่ 1) เจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมารเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ ทำให้เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ของราชวงศ์ญี่ปุ่นต่อจากพระชนก ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตราที่ 2 [4]
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564 เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงได้รับรางวัลชมเชย ในการประกวดวรรณกรรมสารคดีเด็กครั้งที่ 12 ประเภทนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งสนับสนุนโดยพิพิธภัณฑ์วรรณกรรมเมืองคิตะกีวชู โดยพระองค์เข้าร่วมรับรางวัลผ่านการประชุมออนไลน์[30]
ผลงานพระนิพนธ์ของเจ้าชายฮิซาฮิโตะมีชื่อว่า "การเยี่ยมชมหมู่เกาะโอกาซาวาระ" (小笠原諸島を訪ねて) ซึ่งพระองค์ทรงเล่าถึงประสบการณ์ที่ไปเยือนหมู่เกาะโอกาซาวาระกับพระชนนีเมื่อปี พ.ศ. 2560 โดยมีความยาวทั้งหมด 19 หน้า[31]
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เจ้าชายฮิซาฮิโตะถูกกล่าวหาจากสำนักพิมพ์นิตยสาร Shukan Shincho ว่าผลงานที่พระองค์ได้รับรางวัลมานั้น มีข้อความบางส่วนคล้ายคลึงกับผลงานวิจัยของสถาบันสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแบบคำต่อคำ และคล้ายกับการตีพิมพ์เรื่อง "World Heritage Ogasawara" โดยไม่มีการอ้างอิงที่ชัดเจน ทางสำนักพระราชวังจึงได้สอบถามไปยังเจ้าชายฮิซาฮิโตะ และออกมาชี้แจงว่า “การเขียนอ้างอิงในพระนิพนธ์นั้นมีไม่เพียงพอ เจ้าชายจะทำการตรวจสอบพระนิพนธ์ของพระองค์ว่าต้องมีการอ้างอิงเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และจะทำการชี้แจงกับทางผู้ให้รางวัล (เมืองคิตะกีวชู) ด้วยพระองค์เอง” ซึ่งทางผู้ให้รางวัลได้ชี้แจงภายหลังว่า “ถึงแม้พระนิพนธ์จะมีบางส่วนที่คล้ายคลึงและมีการอ้างอิงที่ไม่เพียงพอ แต่การให้รางวัลนั้นได้พิจารณาจากหัวข้อและการสื่ออารมณ์ของผลงาน ซึ่งเราจะไม่มีการเพิกถอนรางวัลแต่อย่างใด”[32][33][34][35]
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565 ทรงเข้าพิธีจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น[36]
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดมหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) วิทยาเขตโตเกียว เขตบุงเกียว กรุงโตเกียว ผ่านระบบการตกลงรับนักเรียนร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) และ มหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学)[37]
วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2565 ทรงเข้าพิธีเข้ารับการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดมหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) [38] และทรงได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแบบเดี่ยวเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับความปรารถนาสำหรับชีวิตในมัธยมปลาย [39]
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2568 ทรงเข้าพิธีจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และทรงให้สัมภาษณ์กับสื่อ[40][41]
บรรลุนิติภาวะ
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2567 เจ้าชายฮิซาฮิโตะมีพระชนมายุครบ 18 ชัณษา ซึ่งถือว่าทรงบรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่ของญี่ปุ่น[42] ดังนั้นพระองค์จึงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์แรกของราชวงศ์ญี่ปุ่น ที่ทรงบรรลุนิติภาวะเมื่อพระชนมายุครบ 18 ชัณษาตามกฎหมายฉบับใหม่[43]
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2568 มีการจัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการกับสื่อมวลชน หลังจากที่ทรงบรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย[44][45]
อย่างไรก็ตาม พระราชพิธีบรรลุนิติภาวะตามธรรมเนียมราชวงศ์ถูกพิจารณาเลื่อนไปจัดในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2568 แทน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติครบ 19 ชัณษา เนื่องจากเจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงอยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังต้องปรับพระองค์กับชีวิตในระดับมหาวิทยาลัย[46]
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์ แด่เจ้าชายฮิซาฮิโตะ เนื่องในวโรกาสการบรรลุนิติภาวะของพระองค์[47]
พระราชพิธีบรรลุนิติภาวะในครั้งนี้ ถือเป็นพิธีบรรลุนิติภาวะของพระบรมวงศานุวงศ์ชายในรอบ 40 ปี (ครั้งล่าสุดคือพิธีของพระชนก เมื่อ พ.ศ. 2528) โดยกำหนดการของพระราชพิธีประกอบไปด้วย[47]
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2568 มีการจัดพิธี "คัมมูริ โอะ ทามาวารุ" (冠を賜うの儀) หรือพิธีรับมงกุฎพระราชทาน ณ วังอากิชิโนะ โดยเจ้าชายฮิซาฮิโตะจะทรงรับมงกุฎจากผู้แทนพระองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ[47] โดยมงกุฎที่จะได้รับพระราชทานนั้นเรียกว่า "ซุยเอคัง" (垂纓冠) ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมงกุฎโบราณญี่ปุ่น (冠)
ถัดมา มีการจัดพิธี "คาโก" (加冠の儀) หรือพิธีสวมมงกุฎ ณ วังอากิชิโนะ เจ้าชายฮิซาฮิโตะจะทรงฉลองพระองค์ในชุด "โซกูไต" (束帯) หรือชุดพิธีการโบราณของญี่ปุ่นสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อันประกอบไปด้วย
- ชุด "เค็ตเตกิ โนะ โฮ" (闕腋袍) เป็นประเภทหนึ่งของชุดพิธีการโบราณ โดยจะมีลักษณะเป็นสีเหลืองทอง
- หมวก "คูโช โคกุ ซากุ" (空頂黒幎)
- พระหัตถ์ถือ "ฮู่" (笏) ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นไม้ยาว
จากนั้นเจ้าที่สำนักพระราชวังจะทำการสวมมงกุฎให้กับพระองค์ พร้อมกับรัดเชือกของมงกุฎที่ปลายพระหนุ (คาง) จากนั้นทำการตัดเชือก ซึ่งขั้นตอนการตัดเชือกจะมีเสียงดังที่เป็นเอกลักษณ์ของพิธีนี้[47][48] เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว พระองค์จะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ไปเป็นชุดสำหรับผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว อันประกอบไปด้วย
- ชุด "โฮเอกิ โนะ โฮ" (縫腋袍) เป็นประเภทหนึ่งของชุดพิธีการโบราณ โดยจะมีลักษณะเป็นสีดำ
- สวมมงกุฎ "ซุยเอคัง" (垂纓冠)
- พระหัตถ์ถือ "ฮู่" (笏)
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถม้า เพื่อไปเคารพศาลเจ้า 3 แห่งในพระราชวังหลวงโตเกียว[47]
ในบ่ายวันเดียวกัน มีการจัดพิธี "โชเก็ง" (朝見の儀) โดยเจ้าชายฮิซาฮิโตะจะทรงสวมชุดพิธีการแบบตะวันตกเป็นชุดสูทหางยาว (Tailcoat) เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี จากนั้นสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะจะทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์ แก่เจ้าชายฮิซาฮิโตะ[47]
ในคืนวันเดียวกัน มีการจัดงานเลี้ยงฉลองแบบส่วนพระองค์ โดยผู้เข้าร่วมจะมีเพียงแค่พระบรมวงศานุวงศ์ และอดีตพระบรมวงศานุวงศ์ที่ลาออกจากฐานันดรศักดิ์แล้วเท่านั้น[49] ซึ่งงานนี้ เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร (พระชนก) และเจ้าหญิงอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารี (พระชนนี) เป็นเจ้าภาพ และจะจัดงาน ณ สถานที่เอกชน ภายนอกพระราชวังหลวงโตเกียว เนื่องจากเจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงมีสถานะเป็นเพียงสมาชิกของราชวงศ์สาขา ไม่ใช่พระราชทายาทโดยตรงของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ซึ่งจะแตกต่างจากงานเลี้ยงการบรรลุนิติภาวะของเจ้าชายฮิโระ (สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ) และเจ้าชายอายะ (พระชนก) ในอดีต ที่จัดภายในพระราชวังหลวงโตเกียว เนื่องจากทั้งสองพระองค์เป็นพระราชทายาทของจักรพรรดิโชวะ ณ ขณะนั้น[50]
วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2568 เจ้าชายฮิซาฮิโตะ จะเสด็จพระราชดำเนินไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ ที่จังหวัดมิเอะ เพื่อรายงานการบรรลุนิติภาวะของพระองค์ต่อเทพเจ้าอามาเตราซุ และเสด็จพระราชดำเนินไปเคารพสุสานจักรพรรดิจิมมุ (จักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่น) ที่จังหวัดนาระ[47]
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2568 เจ้าชายฮิซาฮิโตะ จะเสด็จพระราชดำเนินไปเคารพสุสานของจักรพรรดิโชวะ[51]
วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568 มีการจัดงานเลี้ยงฉลองการบรรลุนิติภาวะของพระองค์ โดยจะมีนายกรัฐมนตรี, ประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา, ประธานศาลฎีกา, สมาชิกสภาราชวงศ์, และสมาชิกสภาเศรษฐกิจราชวงศ์ เข้าร่วมในงานเลี้ยง[49]
หลังจากที่พระองค์ผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะอย่างเป็นทางการแล้ว พระองค์จะเริ่มมีส่วนร่วมในกิจกรรมของราชวงศ์อย่างเต็มพระองค์
มหาวิทยาลัย
วันที่ 28 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ทรงทำการเข้าคัดเลือกเพื่อศึกษาต่อคณะวิทยาศาสตร์ชีวภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) เมืองสึกูบะ จังหวัดอิบารากิ เนื่องจากภาควิชาชีววิทยาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้ ซึ่งพระองค์สนใจในเรื่องธรรมชาติและมีการทำวิจัยมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อีกทั้งที่คณะมีห้องทดลองและปฏิบัติการครบครันสำหรับการศึกษาด้านชีววิทยาและแมลง พระองค์ทรงผ่านการคัดเลือกด้วยโควตาการรับรองจากทางโรงเรียน[52]
วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568 ทรงเข้าพิธีเข้ารับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) อีกทั้งทรงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยก่อนที่จะเข้าพิธีการ[53][54]
Remove ads
การเติบโตในบทบาทของสมาชิกราชวงศ์ญี่ปุ่น

เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงตามเสด็จพระชนก พระชนนี รวมทั้งพระเชษฐภิณีของพระองค์ เพื่อเรียนรู้บทบาทของราชวงศ์ญี่ปุ่นในฐานะหนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

การเสริมสร้างการเรียนรู้
- ช่วงยังทรงพระเยาว์ ทรงเข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วประเทศ เช่น พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ กรุงโตเกียว, พิพิธภัณฑ์การดับเพลิง (消防博物館) กรุงโตเกียว, พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ (鴨川シーワールド) จังหวัดชิบะ, พิพิธภัณฑ์ศิลปะซันโตรี่ (サントリー美術館) กรุงโตเกียว, พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ฟูกูอิ (福井県立恐竜博物館) จังหวัดฟูกูอิ[55]
- ทรงเข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่วิจัยที่เกี่ยวข้องกับด้านธรรมชาติและชีววิทยา เช่น พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์คุณมินากาตะ คูมากูสุ (南方熊楠) (นักชีววิทยาและนักธรรมชาติวิทยาชาวญี่ปุ่น) จังหวัดวากายามะ[55], สถานที่วิจัยของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยทามากาวะ (玉川大学) กรุงโตเกียว[56], การประกวดบิโอโทปของโรงเรียนและสนามเด็กเล่นทั่วประเทศ ประจำปี 2023[57]
การสักการะศาลเจ้าอิเสะและสุสานหลวงของอดีตจักรพรรดิ
- วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ทรงเคารพสุสานจักรพรรดิจิมมุ (จักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่น) ที่เมืองคาชิฮาระ จังหวัดนาระ เป็นครั้งแรก[58]
- วันที่ 24 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2556 ทรงตามเสด็จพระชนก พระชนนี และเจ้าหญิงคาโกะ ไปเคารพศาลเจ้าอิเซะเป็นครั้งแรก เพื่อรายงานการสำเร็จการศึกษาระดับชั้นอนุบาลต่อเทพเจ้าอามาเตราซุ[59]
- ทรงเสด็จไปเคารพสุสานจักรพรรดิโชวะ และจักรพรรดินีโคจุน ผู้ซึ่งเป็นพระปัยกา (ปู่ทวด) และพระปัยยิกา (ย่าทวด) เพื่อรายงานการสำเร็จการศึกษา โดยเสด็จทุกครั้งตั้งแต่การสำเร็จการศึกษาระดับอนุบาล จนถึงการสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย[60][61][62][63]
การรำลึกถึงสงคราม
- ทรงเยี่ยมชมสวนอนุสรณ์สันติภาพ เมืองอิโตมัน จังหวัดโอกินาวะ และเข้าร่วมการรำลึกถึงการเสียชีวิตของเด็กในสงครามโอกินาวะ ที่กรุงโตเกียว[55]
- ทรงเข้าร่วมงานครบรอบ 70 ปีของการล่มของเรือสึชิมะ มารุ (対馬丸) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2[55]
การศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติ
- ชมการแสดงมรดกวัฒนธรรมพื้นบ้านระดับชาติ ที่จังหวัดยามากาตะ, ศึกษาประวัติศาสตร์ยุคโจมง ที่จังหวัดนีงาตะ, ชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ที่จังหวัดนางาซากิ, ชมโรงงานพู่กัน ที่เมืองทากาชิมะ จังหวัดชิงะ[55]
การเสด็จเยือนต่างประเทศ/การต้อนรับแขกต่างประเทศ
- วันที่ 16 - 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ตามเสด็จพระชนก-พระชนนี เยือนประเทศภูฏานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเสด็จไปต่างประเทศครั้งแรกของพระองค์[64]
- ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับพระชนก พระชนนี พระเชษฐภคณี เมื่อมีสมาชิกราชวงศ์ต่างประเทศ หรือ ผู้นำจากต่างประเทศ มาเยือน ณ พระตำหนัก[65][66]
งานเทศกาลและพิธีการ
- ตามเสด็จเจ้าหญิงคาโกะ ร่วมงานการประกวดสุนทรพจน์ระดับประเทศของเยาวชน ครั้งที่ 41 (2562)[67]
- ตามเสด็จพระชนก-พระชนนี ชมงานเทศกาลวัฒนธรรมโรงเรียนมัธยมศึกษาระดับชาติ (全国高等学校総合文化祭) ครั้งที่ 46 ณ กรุงโตเกียว[68], ครั้งที่ 47 ณ จังหวัดคาโกชิมะ[69], ครั้งที่ 48 ณ จังหวัดกิฟุ[70]
การส่งเสริมเยาวชน
- ทรงร่วมสนทนากับนักเรียนในโครงการ "มาเมะ-กิชะ" (豆記者) หรือนักข่าวตัวจิ๋ว ซึ่งเป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนระหว่างญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่กับเกาะโอกินาวะ โดยพระกรณียกิจนี้ถูกริเริ่มในสมัยของเจ้าชายอากิฮิโตะ มกุฎราชกุมาร (พระอัยกา) และถูกส่งต่อให้กับผู้ที่ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารในสมัยถัดมาเรื่อยๆ และปัจจุบันได้ส่งต่อมายังเจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร (พระชนก) ซึ่งเหล่านักเรียนจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระชนก พระชนนี พระเชษฐภคิณี รวมถึงพระองค์ ที่วังอากิชิโนะ และมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในเรื่องธรรมชาติ, อาหาร เป็นต้น[71]
Remove ads
พระกรณียกิจ

หลังจากเจ้าชายฮิซาฮิโตะเจริญพระชัณษา ทรงเริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจด้วยพระองค์เอง ดังนี้
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เสด็จไปสักการะศาลเจ้าอิเซะ ที่จังหวัดมิเอะ เพื่อรายงานการสำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นต่อเทพเจ้าเทพเจ้าอามาเตราซุ พร้อมกับเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จิงกู ซึ่งเป็นการปฏิบัติพระกรณียกิจเพียงลำพังครั้งแรก[72]
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ทรงเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สงคราม เมืองไมซูรุ จังหวัดเกียวโต[73]
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2568 ทรงเยี่ยมชมกรมราชลักษณ์ สำนักพระราชวัง[74]
งานวิจัย
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 งานวิจัย “赤坂御用地のトンボ相” (ลักษณะของแมลงปอในเขตพระราชฐานอากาซากะ) ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งเจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงร่วมทำวิจัยกับนักวิจัยอีก 2 ท่าน โดยเป็นการสำรวจแมลงปอในเขตพระราชฐานเป็นเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2565) ซึ่งค้นพบแมลงปอทั้งหมด 38 สายพันธุ์ โดยมี 12 สายพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์
วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ทรงเข้าร่วมงาน International Congress of Entomology (ICE2024) จัดขึ้นที่จังหวัดเกียวโต เป็นงานประชุมนานาชาติว่าด้วยแมลงวิทยา ซี่งเจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงร่วมทำการวิจัยชื่อ “皇居のトンボ相” (ลักษณะของแมลงปอในพระราชวังอิมพีเรียล) กับนักวิจัยอีก 3 ท่าน ซึ่งงานวิจัยนี้ถูกจัดแสดงในงานอีกด้วย[75]
พระเกียรติยศ
ลำดับพระอิสริยยศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- -
เกร็ด
- ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์แรกที่ประสูติด้วยการผ่าคลอด[7]
- เมื่อพระชนมายุ 1 ชัณษา 4 เดือน ทรงเคยประสบอุบัติเหตุล้ม จนต้องเย็บริมฝีปากบนถึง 4 เข็ม[76][77]
- ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์แรก (ในยุคหลังสงคราม) ที่ทรงไม่ได้ศึกษาในสถาบันในเครือของกาคุชูอิน (学校法人学習院) เลย ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย[78][79][80]
- พระองค์ทรงสนใจในการสำรวจธรรมชาติ โดยเฉพาะแมลง และการประดิษฐ์สิ่งของมาตั้งแต่พระเยาว์[81]
- สาเหตุที่พระองค์ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนอนุบาล สังกัดมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) เนื่องจากเจ้าหญิงอากิชิโนะ พระชนนี ทรงเป็นนักวิจัยกิตติมศักดิ์อยู่ที่สถาบัน ซึ่งสถาบันมีโควตาการรับนักเรียนที่เป็นบุตรของนักวิจัย[79]
- วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เจ้าชายฮิซาฮิโตะเสด็จพร้อมกับพระชนนีเพื่อไปปีนเขากับพระสหายที่จังหวัดยามานาชิ แต่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์พระที่นั่งชนท้ายรถคันหน้าขณะที่รถติดบนทางด่วนชูโอขาออก เมืองซากามิฮาระ จังหวัดคานากาวะ จากการแถลงการณ์ทราบว่าเกิดจากการเบรคกระทันหันและมีหมอกบนถนน มีเพียงกันชนรถที่ได้รับความเสียหายและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ [82][83]
- เจ้าหญิงอากิชิโนะทรงทำข้าวกล่อง (เบ็นโต) ให้กับเจ้าชายด้วยพระองค์เอง บางครั้งมีการนำใบหัวไชเท้าที่ปลูกอยู่ในสวนพระตำหนักมาผัดใส่ในข้าวกล่อง หรือบางครั้งก็นำมาดองทำเป็นเครื่องเคียง[84]
- พระเชษฐภคิณีทั้ง 2 พระองค์ก็ต่างทรงช่วยกันดูแลเจ้าชาย แต่เนื่องจากเจ้าหญิงมาโกะกับพระองค์ มีความต่างของวัยถึง 15 ปี จึงดูแลในลักษณะเหมือนพระชนนี ส่วนเจ้าหญิงคาโกะจะทรงเล่นกับพระองค์มากกว่า ซึ่งก็มีการทะเลาะกันบ้างเป็นบางครั้ง[85]
- งานอดิเรกของพระองค์คือการปลูกผักและทำนาข้าว และทรงมีการนำผักที่ปลูกมาประกอบอาหาร[86]
- ทรงไม่มีแนวเพลงที่ทรงโปรด หรือนักร้องที่ทรงโปรดโดยเฉพาะ[86]
- วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เจ้าชายฮิซาฮิโตะทรงได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดมหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) โดยทั้งมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) และ มหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) นั้นมีระบบการตกลงรับนักเรียนร่วมกัน[37] ซึ่งระบบการรับนักเรียนลักษณะนี้ถูกวิจารณ์ว่าออกแบบมาเพื่อให้รับเจ้าชายโดยเฉพาะ[79] แต่ก็มีข้อโต้แย้งกลับว่าระบบนี้มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เพื่อรองรับให้นักเรียนชายสามารถศึกษาต่อมัธยมปลายได้ในโรงเรียนในเครือ[87] และถึงแม้เจ้าชายฮิซาฮิโตะจะเข้าศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายไปแล้ว ระบบนี้ก็ยังคงใช้รับสมัครอยู่ [79]
- สาเหตุที่พระองค์ไม่ได้ศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย สังกัดมหาวิทยาลัยโอจาโนมิซุ (お茶の水女子大学) ต่อ เนื่องจากเป็นโรงเรียนหญิงล้วน[88]
- เนื่องจากราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่มีนามสกุล จึงทำให้ในการตีพิมพ์งานวิชาการต่างๆ พระองค์จะมีการใช้ชื่อราชวงศ์สาขาแทนนามสกุลเป็น "秋篠宮悠仁" หรือ "Hisahito Akishinonomiya"[89]
- ในงานเทศกาลของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดมหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) ปี พ.ศ. 2566 ทรงร่วมทำพิซซ่าขายและร้องเพลงประสานเสียงกับพระสหาย โดยพระชนก, พระชนนี, และเจ้าหญิงคาโกะ เสด็จมาร่วมงานเทศกาลแบบไม่เป็นทางการอีกด้วย[90] ส่วนงานในปี พ.ศ. 2567 พระองค์ทรงสวมเสื้อที่มีการสกรีนคำว่า "Anisoptera" ซึ่งเป็นชื่อวงศ์ย่อยทางวิทยาศาสตร์ของแมลงปอ และสกรีนเลข "1310" ซึ่งเป็นการใช้ตัวเลขแทนคำในภาษาญี่ปุ่น (Numeric substitution in Japanese) แปลว่าฮิซาฮิโตะ [91]
- พระองค์ทรงอยู่ชมรมแบดมินตัน ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดมหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学)[92]
- ทรงเข้ามหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学) ด้วยโควตาการรับรองจากทางโรงเรียน ซึ่งเป็นการคัดเลือกโดยไม่ต้องทำการสอบรับตรงแบบปกติที่สอบพร้อมกันทั้งประเทศ แต่เป็นการคัดเลือกนักศึกษาจำนวน 22 คน ที่ต้องผ่านเกณฑ์การสอบทั่วไป (ที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นเอง), ผ่านการสอบสัมภาษณ์, และมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับด้านชีววิทยาหรือกิจกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ทำการตอบรับให้พระองค์เข้าศึกษา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567[52]
- พระองค์ทรงอยู่ชมรมแบดมินตัน และชมรมวิจัยสัตว์ป่า ที่มหาวิทยาลัยสึกูบะ (筑波大学)[93][94]
- พระสหายเรียกพระองค์ด้วยการใช้ชื่อเล่น แทนการเรียกพระนามโดยตรง เช่น "ฮีคุง" (ひーくん)[95] หรือบางครั้งเรียกพระองค์โดยใช้โค้ดเนมว่า "ยามาดะ", "ซูซูกิ" เปลี่ยนไปในแต่ละวัน[96]
- พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างการเรียนมหาวิทยาลัย[96]
- พระองค์ทรงถนัดซ้าย แต่ทรงเขียนหนังสือด้วยพระหัตถ์ขวา[97]
Remove ads
พงศาวลี
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads