Loading AI tools
อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พัก กึน-ฮเย (อักษรโรมัน: Park Geun-hye; เกาหลี: 박근혜; ฮันจา: 朴槿惠; อาร์อาร์: Bak Geunhye; เอ็มอาร์: Pak Kŭnhye; เกิด 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) เป็นนักโทษ[2] และอดีตประธานาธิบดีคนที่ 11 ของสาธารณรัฐเกาหลี พักเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกถอดถอนจากการปฏิบัติหน้าที่โดยรัฐสภาและการรับรองโดยศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ ส่งผลให้นาย ฮวัง กโย-อัน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลีเป็นรักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ |
พัก กึน-ฮเย | |
---|---|
박근혜 | |
ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการ พ.ศ. 2556 | |
ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ คนที่ 11 | |
ดำรงตำแหน่ง 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 – 10 มีนาคม พ.ศ. 2560 | |
ก่อนหน้า | อี มย็อง-บัก |
ถัดไป | ฮวัง กโย-อัน (รักษาการ) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 แทกู เกาหลีใต้ |
ศาสนา | อเทวนิยม[1] |
พรรคการเมือง | พรรคแซนูรี |
ลายมือชื่อ | |
พักเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศในภูมิภาคเอชียตะวันออกเฉียงเหนือ[3] และเป็นประมุขหญิงของรัฐในภูมิภาคประเทศเอเชียตะวันออกลำดับที่สามต่อจากมาดามชุคบาตาร์ แห่งมองโกเลียและซ่ง ชิ่งหลิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ก่อนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี พักดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองแห่งชาติ (จีเอ็นพี) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมของเกาหลีใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปี พ.ศ. 2549 และปี พ.ศ. 2554 ถึง พ.ศ. 2555 (พรรคจีเอ็นพีเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคแซนูรีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555) พักยังเป็นสมาชิกรัฐสภา โดยพักได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกรัฐสภาสี่สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ถึงปี พ.ศ. 2555 โดยในสมัยที่ห้า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 พักได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาแบบระบบสัดส่วน โดยพักเป็นบุตรสาวของอดีตประธานาธิบดี พัก ช็อง-ฮี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 ถึงปี พ.ศ. 2522
ในปี พ.ศ. 2556 ถึงปี พ.ศ. 2557 พักอยู่ในลำดับที่ 11 จากการจัดลำดับสตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ของนิตยสารฟอบส์ และเป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียตะวันออก[4] ในปี พ.ศ. 2557 พักอยู่ในลำดับที่ 46 จากการจัดลำดับบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกของฟอบส์ ซึ่งเป็นลำดับที่สูงสุดลำดับที่สามต่อจากอี คุน-ฮี และอี แจ-ยง
ในวันที่ 10 มีนาคม 2560 ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้มีคำพิพากษารับรองมติรัฐสภาเกาหลีใต้ให้ถอดถอน พัก กึน-ฮเย พ้นตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างเป็นทางการ หลังจากรัฐสภามีมติถอดถอน ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2559 ทำให้ถูกสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่นั้น โดยมีนายกรัฐมนตรี ฮวัง กโย-อัน เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดีจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ต่อไป
พัก กึน-ฮเย เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 แขวงซัมด็อก เขตจุง,แทกู เป็นบุตรคนแรกของอดีตประธานาธิบดี พัก ช็อง-ฮี ประธานาธิบดีคนที่สามของสาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างปี พ.ศ. 2506 - พ.ศ. 2522 กับ ยุก ย็อง-ซู เธอมีน้องอีกสองคนคือ พัก จี-มัน น้องชาย และ พัก กึน-รย็อง น้องสาว[5] เธอไม่เคยผ่านการสมรส ทางสำนักวิจัยพิว ได้ให้คำจำกัดความว่าเธอเป็นคนถือลัทธิอเทวนิยมโดยเชื่อมโยงกับพุทธและโรมันคาทอลิก[6]
ในปี พ.ศ. 2496 ครอบครัวของพักได้ย้ายมาอยู่โซล เธอได้สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนจังชุงโซลและซุงซิม, ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสตรีในปี พ.ศ. 2513 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จากมหาวิทยาลัยซอกัง ในปี พ.ศ. 2517 และศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกรโนเบิล แอลป์ ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะได้ออกจากฝรั่งเศส เนื่องจากมารดาเธอถูกลอบสังหาร
ภายหลังจากการลอบสังหารมารดาของพักที่โรงภาพยนตร์แห่งชาติเกาหลี, โซล โดย มุน เซ-กวัง ชาวญี่ปุ่นเชื้อสายเกาหลี ผู้ฝักใฝ่เกาหลีเหนือ และเป็นสมาชิกของกลุ่มชงรย็อน ในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2517[7] ทำให้พักได้เป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของสาธารณรัฐเกาหลี จนกระทั่งพัก ช็อง-ฮี บิดาของเธอถูกลอบสังหารในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2522 โดย คิม แจ-คยู หัวหน้าสำนักงานหน่วยข่าวกรอง[8][9] ในช่วงระหว่างที่บิดาของเธอครองอำนาจ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝั่งตรงข้ามกับบิดาของเธอกล่าวอ้างว่าถูกกักขังโดยอำเภอใจ โดยประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่ภายใต้เรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ[10]ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 พักได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการปฏิบัติกับนักเคลื่อนไหวในช่วงเวลาดังกล่าว[11]
พักได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเหวินฮวา, ไต้หวัน ในปี พ.ศ. 2530, มหาวิทยาลัยพูคย็อง และ สถาบันชั้นสูงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกาหลี ในปี พ.ศ. 2551 และ มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดรสเดิน ในปี พ.ศ. 2557[12]
พักได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาในนามของพรรคแกรนเนชันแนล (จีเอ็นพี) จากเขตเลือกตั้งอำเภอดัลซ็อง, แดกู ในปี พ.ศ. 2541 และได้รับเลือกตั้งจากเขตเดียวกันอีกสามครั้งในปี พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2547 และปี พ.ศ. 2551 เธอดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาติดต่อกันจนกระทั่งในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 เธอได้ประกาศว่าจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาทั่วไปของเกาหลีใต้ครั้งที่ 19 ไม่ว่าจะเป็นในเขตดัลซ็อง หรือไม่ว่าในเขตใดก็ตาม แต่จะลงเลือกตั้งในระบบสัดส่วนในนามพรรคแซนูรีแทน เพื่อที่จะหาเสียงในการดำรงตำแหน่งผู้นำพรรค[13] เธอได้รับเลือกตั้งในระบบสัดส่วนในเดือนเมษายน พ.ศ. 2555
เนื่องจากความล้มเหลวในการยื่นถอดถอนประธานาธิบดีโน มู-ฮย็อน และกรณีการรับสินบนอื้อฉาวของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี พ.ศ. 2545 อี เฮว-ชัง (เรื่องราวเปิดเผยปี พ.ศ. 2547) พรรคจีเอ็นพีเผชิญกับการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งทั้งไปปี พ.ศ. 2547 พักได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพรรค และเป็นผู้นำในการเลือกตั้ง โดยจีเอ็นพีสูญเสียที่นั่งสำคัญแต่ก็ยังได้รับเลือกตั้ง 121 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากภายใต้สถานการณ์ที่พรรคไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากสาธารณชน[14][15] ในฐานะหัวหน้าพรรคจีเอ็นพี พักมีส่วนช่วยให้ตัวแทนพรรคจีเอ็นพีชนะการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในเขตสำคัญเมื่อปี พ.ศ. 2549
ระหว่างการหาเสียง เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 จี ชุง-โฮ ชายวัย 50 ปี ผู้มีคดีอาญาติดตัว 8 คดี ได้กรีดหน้าพักโดยใช้มีดอเนกประสงค์ ทำให้เกิดแผลยาว 11 เซนติเตร และต้องเย็บถึง 60 เข็ม รวมถึงต้องผ่าตัดเป็นเวลาหลายชั่วโมง[16][17] โดยเรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องเล่าอันโด่งดังในระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ คำพูดแรกที่เธอพูดกับเลขานุการของเธอภายหลังจากการพักฟื้นจากบาดแผลแล้วว่า "แทจ็อนเป็นอย่างไรบ้าง?" ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้พรรคแกรนด์เนชันแนลชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองแทจ็อน ในระหว่างที่เธอเป็นหัวหน้าพรรคจีเอ็นพี ระหว่างปี พ.ศ. 2547 - พ.ศ. 2549 พรรคชนะการเลือกตั้งซ่อมและการเลือกตั้งทั่วไปทั้งหมด 40 ครั้ง ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามและอิทธิพลของเธอ ทำให้เธอได้รับฉายาว่า "ราชินีแห่งการเลือกตั้ง"[18][19][20]
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 พักได้เยือนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ เคมบริดจ์ (รัฐแมสซาชูเซตส์), สหรัฐอเมริกา อย่างเอิกเกริก จุดสุดท้ายเธอได้กล่าวสุนทรพจน์ให้กับผู้ฟังที่ วิทยาลัยรัฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ด (John F. Kennedy School of Government) โดยเธอได้กล่าวว่าจะรักษาเกาหลี และจะสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐอเมริกาให้แนบแน่นขึ้น[21][22]
พักมีความหวังว่าจะเจริญรอยตามความสำเร็จของบิดาเธอโดยการป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธาธนาธิบดีในนามพรรคแกรนด์แนชัลแนล[23] แต่เธอก็ได้พ่ายแพ้ต่อ อี มย็อง-บัก เพียงไม่กี่คะแนน โดยอีโดดเด่นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นฤดูกาลเลือกตั้งขั้นต้น แต่พักสามารถไล่ตามมาได้จากข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของอี โดยพักสามารถชนะการเลือกตั้งในการเป็นตัวแทนในระดับสมาชิกของพรรค แต่พ่ายแพ้แก่อีในการเลือกตั้งตัวแทนพรรคระดับชาติ ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนคะแนนสูงในการเลือกตั้งตัวแทนทั้งหมด
ภายหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2550 ประธานาธิบดี อี มย็อง-บัก ก่อตั้งทีมรัฐบาลจากบุคคลใกล้ชิด[24] ด้านผู้สนับสนุนพักโต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการโต้ตอบโดยการแก้แค้นทางการเมืองและพวกเขาควรถอนตัวออกจากพรรคแกรนด์แนชั่นแนล[25] โดยพวกเขาได้ก่อตั้งพรรคพันธมิตรความหวังแห่งอนาคต และพรรครวมผู้สนับสนุนพักอิสระ (친박 무소속 연대; ชิน พัก มูโซซก ย็อนแด) พักได้กล่าวด้วยตนเอกว่าจะไม่เข้าร่วมพรรคดังกล่าว แต่ได้ให้การสนับสนุนทางอ้อมต่อพวกเขาโดยประกาศว่า "ฉันหวังว่าพวกเขาเหล่านี้จะกลับมาอย่างมีชีวิตชีวา" ภายหลังจากการถอนตัวออกจากพรรครั้งใหญ่ดังกล่าว พวกเขาได้ประกาศว่าอยากกลับเข้าพรรคจีเอ็นพีภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป แต่ทางจีเอ็นพีได้ห้ามบุคคลดังกล่าว ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2551 กลุ่มผู้ต่อต้านชนะไป 26 ที่นั่ง โดย 14 ที่นั่งเป็นของพรรคพันธมิตรความหวังแห่งอนาคต และ 12 ที่นั่งเป็นของพรรคอิสระ ทั้งสองพรรคได้แสดงบทบาทที่สำคัญในการชิงชัยที่นั่งสำคัญของพรรคจีเอ็นพี พักยืนกรานว่าจีเอ็นพีควรอนุญาตให้ผู้ที่สนับสนุนเธอกลับเข้าพรรค ในปี พ.ศ. 2554 กลุ่มผู้ต่อต้านเกือบทั้งหมดได้กลับข้าพรรคจีเอ็นพี ทำให้มีผู้สนับสนุนพรรค 60 ถึง 70 ที่นั่ง จากทั้งหมด 171 ที่นั่งของจีเอ็นพี
เพื่อตอบสนองต่อความนิยมที่ลดลงของพรรคแกรนด์แนชั่นแนล พรรคได้ตั้งคณะกรรมการฉุกเฉินและเปลี่ยนชื่อพรรคจากแกรนด์แนชั่นแนล เป็นพรรคแซนูรี ซึ่งมีความหมายว่า "ขอบแดนใหม่"[13] ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พรรคได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการฉุกเฉินของพรรคจีเอ็นพี และเป็นหัวหน้าพรรคทางพฤตินัย
พรรคแซนูรีสามารถสร้างความประหลาดใจได้ด้วยการเอาชนะพรรครวมประชาธิปไตย ฝ่ายค้านได้ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2555 โดยได้ไป 152 ที่นั่ง และยังรักษาที่นั่งสำคัญเอาไว้ได้ เพราะว่าเหตุกาณณ์อื้อฉาวเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลอี มย็อง-บัก ได้รับการเปิดเผยก่อนการเลือกตั้ง ทำให้พรรคแซนูรีได้รับการคาดการณ์ในวงกว้างว่าจะได้ไม่เกิน 100 ที่นั่ง.[26] ระหว่างช่วงการหาเสียง 13 วัน พักเดินทางมากกว่า 7,200 กิโลเมตร ทั่วทั้งเกาหลีใต้มากกว่า 100 เขตเลือกตั้ง [27] จากความเห็นพ้องต้องกันของสื่อเกาหลีใต้และผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองชี้ให้เห็นว่าสิ่งสำคัญที่เป็นองค์ประกอบสำคัญทำให้พรรคแซนูรีได้รับชัยชนะคือความเป็นผู้นำของพัก สำหรับเหตุผลนี้ การเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2555 จึงได้รับการขนานนามว่า "การกลับมาของราชินีเลือกตั้ง"[26][28] พรรคแซนูรีเอาชนะการเลือกตั้งได้ในเฉพาะเขตที่มีประชากรหนาแน่นของโซล แต่อย่างไรก็ตามผลในครั้งนี้ก็ได้แสดงขอบเขตจำกัดถึงอิทธิพลทางการเมืองของพัก[26]
พักเป็นผู้นำสำหรับการเป็นตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2555 ในทุกๆ เขตเลือกตั้งระดับชาติของเกาหลีใต้ระหว่างปี พ.ศ. 2551 เมื่อรัฐบาลของอี มย็อง-บัก เริ่มบริหารงาน และเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 โดยได้รับคะแนนนิยม 25 ถึง 40 เปอร์เซนต์ มากกว่าคู่แข่งอันดับสองถึงเท่าตัว ระดับความนิยมของพักเพิ่มขึ้นมากขึ้นสูงสุดภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2551 ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนั้นได้แสดงอิทธิพลทางการเมืองของเธออย่างเด่นชัด ส่วนคะแนนนิยมในช่วงที่ตกต่ำที่สุดของเธอเกิดขึ้นช่วงต้นปี พ.ศ. 2553 จากท่าทีของเธอที่ต่อต้านรัฐบาลของอีจากกรณีเมืองเซจง[29] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 อัน ช็อล-ซู อดีตนักธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิกส์และคณะบดีโรงเรียนวิทยาศาสตร์บรรจบและเทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ได้แสดงตนที่จะเป็นผู้สมัครอิสระสำหรับการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี ในผลการสำรวจระดับชาติในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 อันและพัก กึน-ฮเย มีคะแนนนิยมใกล้เคียงกันในการเป็นผู้นำ และยังส่งผลให้พักสูญเสียคะแนนิยมอันดับหนึ่งในผลการสำรวจของบางสำนักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551[30]
ภายหลังการชนะของเธอในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2555 คะแนนนิยมของเธอเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการสำรวจระดับชาติของสถาบันวิจัยโมโนเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม[31] ทำให้พักมีคะแนนิยมสูงสุดที่ 45.5% เมื่อเทียบกับคู่แข่งคนอื่นๆทั้งหมดแล้ว และจากผลการสำรวจความนิยมระดับชาติครั้งหลัง พักก็มีคะแนนิยมสูงกว่าอันแล้ว โดยพักได้คะแนนนิยม (50.6%) และอันได้ (43.9%)[32] ในวันที่ 10 กรกฎาคม พักได้ประกาศอย่างเป็นทางการที่จะเสนอตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่จะมีขั้นในปี พ.ศ. 2555 ที่ไทม์ แสคว์ เขตย็องดึงโพ กรุงโซล ในการประกาศครั้งนี้เธอได้เน้นย้ำในการไล่หาความสุข, เศรษฐกิจประชาธิปไตย และแก้ไขเรื่องสวัสดิการสังคมของประชาชนชาวเกาหลีใต้[33]
ส่วนคู่แข่งของเธอจากพรรคประชาธิปไตย มุน แจ-อิน ได้ประกาศตัวชิงตำแหน่งประธายาธิบดีในวันที่ 17 กันยายน และอัน ช็อล-ซู ได้ประกาศเสนอตัวในวันที่ 19 กันยายน ในการแข่งคะแนนนิยมแบบตัวต่อตัวนั้น พักได้รับคะแนนิยมน้อยกว่าทั้งอัน และมุนจากผลสำรวจความนิยมระดับชาติ เมื่อวันที่ 22 กันยายน.[34] แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเธอได้รับการเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ด้วยคะแนน 51.6%
จากผลการสำรวจของสถาบันวิจัยเกาหลีได้ประเมินทัศนคติของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2555 ทั้ง 12 คน นั้น พัก เป็นผู้สมัครที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากที่สุด[13][35]
ความอนุรักษ์นิยมของเธอได้แสดงให้เห็นในการเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี พ.ศ. 2551 ที่เธอมุ่งเน้นทำการตลาดโดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดภาษี, ลดมาตรการควบคุม และเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ[36] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 พักเริ่มมุ่งนโยบายไปยังประเด็นสวัสดิการสังคม, สนับสนุนการแก้ไขบริการสวัสดิการสังคมแก่ประชาชนชาวเกาหลีใต้[36]
พักเป็นที่รู้กันว่าเธอมีความเคร่งครัด, ไม่มีการประนีประนอมต่อสัญญาทางการเมือง เช่น ในปี พ.ศ. 2553 เธอประสบความสำเร็จในการยุติแผนของรัฐบาลอี มย็อง-บักในการสร้างเมืองเซจง ศูนย์กลางการปกครองของรัฐบาลแห่งใหม่ โดยโต้เถียงว่าแผนดังกล่าวเป็นการสร้างสัญญาทางการเมืองกับประชาชน ความขัดแย้งระหว่างพักกับรัฐบาลของอีทำให้ความนิยมของเธอในพรรคตกต่ำลงในช่วงเวลาดังกล่าว[37] แต่พักให้เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างสนามบินแห่งใหม่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2551 จากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ แต่ได้ยกเลิกคำมั่นสัญญาดังกล่าวไปในปี พ.ศ. 2554 โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถดำเนินแผนการดังกล่าวได้เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ[38]
วิสัยทัศน์การบริหารงานของรัฐบาลพัก กึน-ฮเย เมื่อเข้ารับตำแหน่งใหม่คือ "ยุคสมัยใหม่แห่งความหวังและความสุข" 5 เป้าประสงค์หลักของการบริหารงานคือ "งาน-ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์", "การจ้างงานที่เหมาะสม และสวัสดิการสังคม", "การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และการเสริมสร้างวัฒนธรรม", "ความปลอดภัยและสหสังคม" และ "มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็งเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี" รัฐบาลของพักมีแผนที่จะสร้างความเชื่อใจ, ความขาวสะอาด และเป็นรัฐบาลที่มีความสามารถบรรลุเป้าหมายต่างๆได้ โดยสัมพันธ์กับกลยุทธ์และงานต่างๆ[39]
พักตัดสินใจไม่ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ค.ศ. 2017[40]
พักเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีลำดับที่ 18 แห่งสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ในตอนเที่ยงคืนพักเข้ารับช่วงต่ออำนาจของประธานาธิบดีทุกอย่าง รวมทั้งสิทธิสูงสุดในการควบคุมกองทัพของสาธารณรัฐเกาลี จาก อี มย็อง-ปัก ประธานาธิดีคนก่อน ในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของเธอที่อาคารรัฐสภา พักพูดถึงแผนของเธอที่จะเปิดยุคใหม่แห่งความหวังผ่าน "ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ, ความสุขของประชาชน, และการเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรม" เธอแสดงออกถึงความหวังในการเน้นย้ำเกี่ยวกับเกาหลีเหนือที่จะยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์และเดินทางไปสู่สันติภาพและการพัฒนาร่วมกัน และประกาศว่าจะก่อตั้งยุคสมัยแห่งความสุขในการรวมชาติที่ประชาชนชาวเกาหลีทั้งหมดจะเพลิดเพลินไปกับความเจริญรุ่งเรืองและเสรีภาพ ตระหนักว่าความฝันของพวกเขาสามารถสร้างได้ผ่านกระบวนการความเชื่อมั่นของคาบสมุทรเกาหลี ในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของเธอ เธอได้เสนอหลักการแนวทางสี่ประการในการบริหารงานของเธอคือ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ, ความสุขของประชาชน, และการเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรม และสถาปนาการรวมชาติอย่างสันติ[41] พิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีพัก ถือว่าเป็นหนึ่งในงานใหญ่ของประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 70,000 คน ผู้แทนทางการทูตในเกาหลีใต้ เช่นเดียวกับผู้แทนระดับสูงจาก 24 ประเทศทั่วโลก เช่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย, โทมัส โดนิลอน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา, วัง จินพุง ประธานรัฐสภาไต้หวัน และยาสุโอะ ฟุคุดะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมพิธีและแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีพัก[42][43]
เป้าหมายที่ปล่อยออกมาใหม่ในการบริหารงานของประธานาธิบดีพัก กึน-ฮเย ในการบริหารกิจการภายในที่จะเปิด "ยุคสมัยใหม่แห่งความหวังและความสุขสำหรับประชาชนทุกคน" พักยอมรับว่าเกาหลีใต้จะแตกออกจากต้นแบบแห่งการแสวงหาการพัฒนาจากที่ศูนย์กลางคือชาติ และย้ายจุดศูนย์กลางการบริหารงานของรัฐบาลจากรัฐสู่ปัจเจกบุคคล ผ่านประบวนการโครงสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ซึ่งประชาชนจะมีความสุขจากผลการพัฒนาชาติ วิสัยทัศน์การบริหารงานของพักและหลักการพื้นฐานสำหรับการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเค้าโครงแผนการนโยบายของเธอสำหรับเศรษฐกิจ, สังคม, สวัสดิการสังคม, การทูต และการรวมชาติ คำสำคัญในการบริหารงานในการจัดการกิจการภายในประกอบไปด้วย ประชาชน, ความสุข, ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน และหลักการ[44]
ภายหลังจากเข้ารับตำแหน่ง พักปรับเปลี่ยนโครงสร้างในทำเนียบสีนำเงินและองค์กรของรัฐบาลเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลได้ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่นำเนียบสีน้ำเงิน, กระทรวงวิทยาศาสตร์, ไอซีทีและการวางแผนแห่งอนาคตและกระทรวงมหาสมุทรและประมง ได้ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ และมีการแก้ไขตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานความมั่นคงจะเป็นตำแหน่งที่แสดงถึง "หอคอยการควบคุม" สำหรับการทูต, ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ และตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจสำหรับด้านศรษฐกิจ, สังคมและสวัสดิการ[45]
ภายหลังจากเข้ารับตำแหน่งพักเข้าพบกับจอห์น เคอรี่ และประธานาธิบดีบารัก โอบามา การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของพัก ถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของเธอภายหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
เหมือนกับประธานาธิบดีก่อนหน้าเธอ พักพยายามรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกำลังทหาร 20,000 นาย ประจำการอยู่ภายในเกาหลีใต้ ระหว่างการเยือนสหรัฐ พักได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมร่วมกันของสภาคองเกรส ซึ่งเธอเรียกร้องให้สหรัฐสนับสนุนการต่อต้านการยั่วยุจากเกาหลีเหนือ และพักยังเรียกร้องให้มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา[46]
พักประเมินสถานการณ์ความมั่นคงภายในคาบสมุทรเกาหลีและเน้นย้ำถึงความสามารถในการยับยั้งคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในประเด็นของความมั่นคง ดังนั้น พักจึงมีความเห็นว่าพันธมิตรเกาหลีใต้-อเมริกา จะเป็นพันธมิตรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเธอหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาจะพัฒนาเป็นไประดับถึงหุ้นส่วนระดับโลก[47]
พักเยือนสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีของเธอ พักได้ไปเยือนวอชิงตัน ดี.ซี,นิวยอร์กซิตี้, และลอสแอนเจลิส ระหว่างวันที่ 5 ถึง 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556[48]
ระหว่างการพูดคุยระดับสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ทำเทียบขาว ประธานาธิบดีพักและประธานาธิบดีโอบามาได้ยอมรับประกาศร่วมสำหรับพันธมิตรระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้และถกเถียงกันถึงวิถีทางพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐและเกาหลีใต้เพิ่มเติมในอนาคต และสองผู้นำยังได้พูดคุยถึงการยกระดับในการสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและเพิ่มความเข้มแข็งของหุ้นส่วนระหว่างโซลและวอชิงตัน[49]
สองผู้นำจากทั้งเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาตกลงที่จะยอมรับแถลงการณ์ร่วมความเข้าใจในความร่วมมือด้านพลังงานในการก่อตั้งกองทุนสำหรับการเติบโตในอนาคตและก่อตั้งคณะกรรมการความร่วมมือทางด้านนโยบายข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีโทรคมนาคม นอกจากนี้ประธานาธิบดีพักยังกระตุ้นให้ทางสหรัฐเพิ่มจำนวนโควต้าสำหรับวีซ่าสหรัฐสำหรับผู้เชี่ยวชาญของเกาหลีใต้เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาร่วมกันทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ[49]
ในโอกาสพิเศษนี้ "แถลงการร่วมสำหรับอนุสรณ์ครบรองหกสิปีสำหรับพันธมิตรระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีและสหรัฐอเมริกา" ได้รับการรับรองโดยจากทั้งทางเกาหลีใต้และทางสหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็นเอกสารที่มีความหมายอย่างยิ่งถึงการเป็นพันธมิตรมากว่าหกทศวรรษและอธิบายอย่างละเอียดชัดแจ้งถึงทิศทางใหม่ในการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่จะมีในทศวรรษต่อไป[50]
เกาหลีเหนือมุ่งสนใจในการยั่วยุ เช่น ฝ่าฝืนมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและการยิงขีปนาวุธระยะไกล ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในวันที่ 19 ธันวาคม ภายหลังจากพักได้รับเลือกตั้ง เกาหลีใต้ได้มีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่สามในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 การประกาศความเป็นโมฆะของข้อตกลงที่จะไม่รุกรานกันระหว่างเกาหลีเหนือและกาหลีใต้ในวันที่ 8 มีนาคม และถอนแรงงานออกจากนิคมอุตสาหกรรมแคซ็องในวันที่ 8 เมษายน[51] พักพยายามคงไว้ซึ่งจุดยืนของเกาหลีใต้ที่จะไม่ยอมแพ้ต่อการยั่วยุและคุกคามของเกาหลีหนือ และพยายามที่จะดำเนินนโยบายเพื่อประสานความร่วมมือกันเกาหลีเหนือโดยดึงมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา, จีนและสหประชาชาติ[52]เสียงสะท้องของเธอเกี่ยวกับเกาหลีเหนือได้รับการสนับสนุนอย่างมากมายจากประชาชนชาวเกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา, จีนและรัสเซีย และดำเนินบทบาทสำคัญในการได้รับมติเป็นเอกฉันท์ในข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติที่ 2094 เกี่ยวกับเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556[53] เนื่องจากการตอบสนองของพักกับการดำเนินการของสังคมนานาชาติ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน เกาหลีเหนือได้ยุติการยั่วยุและคุกคามเกาหลีใต้และกลับเข้าสู่การเจรจาการเปิดนิคมอุตสาหกรรมแคซ็องอีกครั้ง[54] พักกล่าวว่าสันติภาพและการรวมชาติในคาบสมุทรเกาหลีเป็นความหวังของชาวเกาหลีทั้งเจ็ดสิบล้านคน และในฐานะประธานาธิบดีเธอจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้ามายดังกล่าว เช่นเดียวกับ "วัตถุประสงค์ขั้นสูงสุดของความพยายามในการรวมชาติคือการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองเกาหลี ขยายเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นทั้งคาบสมุทรเกาหลี[55] เธอได้กล่าวต่อว่า "ในการเปิดเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของความสงบและความหวังแห่งคาบสมุทรเกาหลี เกาหลีเหนือจะต้องยอมรับความเชื่อมั่นในการบริหารงานของเธอในการสร้างนโยบายการคิดริเริ่มก้าวแรก[56][57]
วิสัยทัศน์และความริเริ่มในนโยบายของพักในปัญหาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือและการรวมชาติสะท้อนจากกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นในคาบสมุทรเกาหลีของเธอ กระทรวงรวมชาติได้ออกแถลงการณ์ซึ่งแสดงถึงวิสัยทัศน์ใหม่ว่า "ตระหนักถึงการรวมเกาหลีใหม่ซึ่งรับประกันความสุขของประชาชนทุกคน" การบริหารงานในกระบวนการทั่วไปประกอบด้วยกระบวนการสร้างความเชื่อใจในความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลี ริเริ่มดำเนินการในโครงการรวมชาติระดับจุลภาค เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการรวมกันระหว่างสองเกาหลี และใช้มาตรการทางปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเตรียมตัวสู่การรวมชาติ[58] จากนโยบายของพัก พารรวมชาติโดนสันติจะประสบความสำเร็จในสามขั้นตอน เริ่มจากเสริมสร้างความปลอยภัย, ผ่านการบูรณาการทางเศรษฐกิจ, และสุดท้ายผ่านการบูรณาการทางการเมืองของทั้งสองเกาหลี เพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนโดยการริเริ่ม การบริหารงานใหม่จะเสนอความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประชาชนชาวเกาหลีเหนือ แลกเปลี่ยนและร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจ, สังคมและวัฒนธรรมของทั้งสองเกาหลี และจะใช้ "โครงการวิสัยทัศน์เกาหลี" สำหรับการสถาปนาระบบเศรษกิจเดียวในคาบสมุทรเกาหลี ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจซึ่งกันและกันและความคืบหน้าในการยกเลิกการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ[59]
ในวันที่ 27-30 มิถุนายน พ.ศ. 2556 พักได้เยือนจีนพร้อมกับผู้แทนจากเกาหลีใต้ เธอได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการพบปะ พักได้กล่าวถึงท่าทีของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่มีต่อเกาหลีเหนือ และได้ขอให้สีสนับสนุนเธอในท่าทีเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ[60]
ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 พักได้จัดประชุมผู้นำสูงสุดกับวลาดีมีร์ ปูติน ซึ่งปูตินได้มาถึงเกาหลีใต้คนแรกในบรรดาสี่ผู้นำมหาอำนาจประกอบไปด้วย จีน, สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ระหว่างการประชุมพักและปูตินได้พูดคุยครอบคลุมเรื่องผลประโยชน์โดยมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเช่น โครงการร่วมมือกันทางโลจิสติกส์ (ผ่านรัสเซียและเกาหลีเหนือ) ขยายการแลกเปลี่ยนทางด้านบุคลากร และเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองระหว่างเกาหลีใต้และรัสเซีย พักได้เน้นย้ำถึงการสร้างผลิตผลในผลประโยชน์ร่วมกันจากนโยบายของเกาหลีใต้ที่มีต่อประเทศแถบยูเรซียและนโยบายของรัสเซียที่มีต่อเอเชียแปซิฟิก ภายหลังจากการประชุมสุดยอดประธานาธิบดีทั้งสองได้แถลงการณ์ร่วมและแถลงข่าวร่วมกัน[61][62] ในช่วงต้นพักเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ จี-20 ที่เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2556 ซึ่งเธอได้พบปะกับปูตินและสนทนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและให้รัสเซียสนันสนุนประเด็นเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นการพบปะระหว่างผู้นำสูงสุดเกาหลีใต้-รัสเซีย ครั้งแรกนั้บตั้งแต่พักเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[63] เมื่อพักได้พบปะกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาตะวันออกไกลของรัสเซีย วิกเตอร์ อิสเชฟ ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้แทนรัสเซียซึ่งเข้าร่วมพิธีสาบานตนเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของพัก เธอได้กล่าวว่ารัสเซียเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ และผลจากความสำเร็จในการปล่อยกระสวยอวกาศนาโร กลายเป็นผลลัพธ์ที่ดีร่วมกันของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต และจากการที่รัสเซียดำเนินการเชิงรุกในการเข้าร่วมเจรขาหกฝ่ายในประเด็นเกาหลีเหนือจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีได้[64]
พักประกาศว่าจะดำเนินนโยบาย "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของเธอในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการสร้างงาน[65]
ในเดือนเมษายน พักได้กล่าวว่า "จังหวะเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนโยบายทางเศรษฐกิจของพวกเรา, งานและรายได้ เป็นเรื่องพื้นฐานของบุคคล ซึ่งควรจะบริหารงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนนี้เพื่อที่จะดำเนินการให้ทันตามเวลา"[66]
ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557 พักลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเกาหลีใต้และออสเตรเลีย โดยทางฝั่งออสเตรเลียมีนายกรัฐมนตรีโทนี แอบบ็อตต์ ลงนาม[67]
พักได้เสนอหัวข้อระดับชาติหัวข้อหนึ่งที่จะดำเนินการกำจัดอย่างสิ้นซากในเรื่อง "สี่ความชั่วร้ายหลักของสังคม" (4대 사회악: "ซาแด ซาเฮวอัก") ได้แก่ ความรุนแรงทางเพศ, ความรุนแรงภายในครอบครัว, ความรุนแรงภายในโรงเรียน และความไม่ปลอดภัยทางอาหาร จากสถิติแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงภายในครอบครัวมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีหลังๆ แม้ปัญหาอีกสองอย่างจะไม่ถูกอ้างถึงในสถิติ แต่ปัญหาความรุนแรงภายในโรงเรียนและปัญหาความปลอดภัยทางด้านอาหารก็เป็นปัญหาที่สาธารณชนให้ความสนใจ[68][69] และเธอยังดำเนินการเปิดคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาประธานาธิบดีในกระบวนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหลายอย่างในสังคมเกาหลีใต้ และยังมีหน้าที่ก่อตั้งตั้งวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ฮัน ควัง-อก อดีตที่ปรึกษาพรรครวมประชาธิปไตยมีรายชื่อเป็นหัวหน้าคณะกรรมการชุดนี้[70]
ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ประธานาธิบดีพัก กึน-ฮเย ได้เข้าร่วมรำลึกการสังหารหมู่ที่ควังจู ครบรอบ 33 ปี และได้แสดงความเสียใจต่อญาติของเหยื่อที่ถูกสังหารหมู่[71]
พักเสนอเรื่องบันไดสามขั้นในเรื่องเกาหลีเหนือเพื่อที่จะช่วยเดินไปข้างหน้าในเรื่องการรวมชาติ ในวันที่ 28 มีนาคม 2557 ที่เดรสเดน ระหว่างการเยือนเยอรมนี[72] ประธานาธิปดีพักกล่าวว่าความเจ็บปวดรวดร้าวจากการแยกกันระหว่างสองเกาหลีผ่านจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เธอเองยังได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการช่วยเหลือทั้งสองเกาหลีในการรวมชาติโดยการ "เริ่มต้นในการจัดการแม่น้ำและป่าไม้ร่วมกันในพื้นที่ของสองเกาหลี เราจะต้องขยายขอบเขตการร่วมมือกันในโครงการต่างๆ จากมุมมองดังกล่าว ฉันหวังว่าเกาหลีเหนือจะเข้าร่วมการประชุมของสหประชาชาติ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นที่พย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้ ในเดือนตุลาคนที่จะถึงนี้""[73] ประธานาธิปดีพักได้เตือนเกาหลีเหนือว่าการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ จะนำไปสู่ ผลกระทบแบบโดมิโน ซึ่งจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของเกาหลีเหนือจะต้องมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ป้องกันตัวเอง เธอกล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์กับ เจอรัล เบอร์เกอร์ บรรณาธิการของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่โซล เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม[74]
ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พักประกาศว่าเกาหลีใต้จะยุติหน่วยยามฝั่ง หลังจากความล้มเหลวในกรณีเหตุเอ็มวี เซว็อลจม[75] โดยข้อมูลจากพัก "บทบาททางด้านการสืบสวนและข้อมูลจะถูกโอนไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีใต้ ส่วนด้านภารกิจด้านการช่วยเหลือและการกอบกู้ซากเรือ และความมั่นของทางด้านชายฝั่งทะเล จะถูกโอนไปให้แผนกด้านความปลอดภัยระดับชาติ ซึ่งเพื่อไม่ให้สับสนกับกระทรวงความปลอดภัย และการบริการสาธารณะ จึงจะได้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา[76] ในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 หน่วยยามฝั่งเกาหลีและสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ต้องไปขึ้นตรงต่อการควบคุมของกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะและความมั่นคง ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในวันนั้น[77]
ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 พักได้เสนอให้ผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ร่วมมือกับเกาหลีใต้และธนาคารที่มาจากดำริของรัฐบาลจีนคือ ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย[78] ภายหลังจากเกาหลีใต้ได้สมัครอย่างเป็นทางการในการเข้าร่วมธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย ในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2558[79]
ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 พักเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่เยือนอิหร่าน[80][81]เธอเป็นหัวหน้าของคณะผู้แทนจำนวน 236 คน ที่ประกอบไปด้วยนักธุรกิจและนักลงทุน ในช่วงระหว่างการเยือนเตหะราน 3 วัน เพื่อหารือเกี่ยวกับการค้าทวิภาคี และประเด็นอื่นที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน[82] ต่อจากนั้นเธอได้เข้าพบประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี และได้พูดคุยกับผู้นำสูงสุดอะลี คอเมเนอี[83] ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงพื้นฐานทั้ง 19 ฉบับ และได้ขยายความร่วมมือกันในหลายๆส่วน[84] ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีรูฮานี ได้เน้นย้ำว่าอิหร่านและเกาหลีใต้จะต้องส่งเสริมและผลักดันมูลค่าทางการค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น18 ล้านเหรียญสหรัฐ
พักเสียหายอย่างมากจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2559 ที่เลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 ซึ่งพรรคแซนูรีสูญเสียที่นั่งสำคัญ และสูญเสียความเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา[85] พักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในครั้งนี้และในกระบวนการคัดเลือกตัวแทนของพรรค[86][87] และสมาชิกพรรคแซนูรีคนอื่นกล่าวหาว่ากลึ่มผู้สนับสนุนพักมีส่วนทำให้พรรคพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้[88][89][90] โดยสมาชิกที่จงรักพักดีกับพักมีสภาพย่ำแย่จากการเลือกตั้งในครั้งนี้[91] ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองเป็นอุปสรรคในการผ่านร่างข้อเสนอการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของพัก,[92] ผลจากการนี้ทำให้หนังสือพิมพ์หัวอนุรักษ์นิยมโชซ็อนอิลโบ ตีพิมพ์บทความถึงพักว่า "ช่วงสภาวะเป็ดง่อยของรัฐบาลพักเริ่มต้นเร็วกว่ารัฐบาลอื่นๆในอดีต"[93]
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 ประชาชนสนับสนุนประธานาธิบดีพัก เกี่ยวกับวิธีการดำเนินการต่างๆ โดยมีคะแนนความนิยมในช่วงดังกล่าวสูงถึง 63 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าคะแนนเสียง 53 เปอร์เซ้นต์ที่เธอได้รับมาตอนเลือกตั้งประธานาธิบดี[94] โดยจากการวิเคราะห์ของสื่อว่าที่เธอได้รับคะแนนนิยมมากขนาดนี้เนื่องมาจากนโยบายเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ และผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมจากการเยือนสหรัฐอเมริกาและจีน และการวางตัวเป็นกลางถอยห่างจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ[95]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2558 คะแนนความนิยมของพักเหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากกรณีเหตุเอ็มวี เซว็อลจม และความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ[96] ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 คะแนนความนิยมของพักเพิ่มขึ้นไป 54 เปอร์เซ็นต์จากวิธีการทางการทูตทำให้ลดความขัดแย้งทางการทหารกับเกาหลีเหนือ[97] แต่ผลจากการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2559 คะแนนความนิยมของเธอก็ลดมาอยู่ที่ 31.5 เปอร์เซ็นต์ ลดลงถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์จากหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง[98]
ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 คะแนนนิยมของพักเหลือเพียง 4-5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จากกรณีถูกสอบสวนและเปิดเผยความอื้อฉาวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับ ชเว ซุน-ซิล ซึ่งนำไปสู่เหตุอื้อฉาวทางการเมืองเกาหลีใต้ ปี 2559[99][100][101]
พักถูกจับกุมเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560 และถูกไต่สวนเพื่อคุมขังเบื้องต้นที่ศูนย์กักกันโซล ที่อึยวัง จังหวัดคย็องกี[102][103] ต่อมาวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560 พักถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าใช้อำนาจไปในทางมิชอบ, รับสินบน, ขู่เข็ญผู้อื่นและเปิดเผยความลับของทางรัฐ[104] พักให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาในระหว่างการสอบปากคำห้ารอบ[104][105][106]
พนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้มีการจำคุกพักเป็นเวลา 30 ปี และต้องชำระค่าปรับเป็นจำนวน 118,500,000,000 ว็อน (110,579,397 ดอลลาห์สหรัฐ)
ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561 องค์คณะผู้พิพากษาสามคนของศาลแขวงกลางกรุงโซล พิพากษาจำคุกพัก 24 ปี และปรับเป็นเงิน 18,000,000,000 ว็อน (16,798,683 ดอลลาห์สหรัฐ) โดยพิพากษาลงโทษ 16 จาก 18 ข้อหาที่พนักงานอัยการฟ้อง[107][108][109][110]
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลางเกาหลีจำนวน 3 คน (อี บย็อง-คี, อี บย็อง-โฮ และ นัม แจ-จุน) ซึ่งดำรงตำแหน่งในสมัยรัฐบาลของพัก ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานรับสินบน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความอื้อฉาวของประธานาธิบดีพัก โดยพวกเขาเคลื่อนย้ายเงินอย่างผิดกฎหมายจากเงินงบประมาณของหน่วยข่าวกรองกลางไปสู่สำนักประธานาธิบดี โดยเงินจำนวนดังกล่าวถูกพักและคนใกล้ชิดของเธอใช้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวและเพื่อจ่ายสินบน[111]
พักถูกเป็นเป้าวิพากวิจารณ์อยู่บ่อยครั้งในฐานะที่มีลักษณะเป็น "บุตรสาวของเผด็จการ (พัก ช็อง-ฮี)"[112][113]โดยผู้สนับสนุนของประธานาธิบดี อี มย็อง-ปัก เนื่องจากเธอไม่ดำเนินกิจกรรมอันเป็นการสนับสนุนรัฐบาลของอี ซึ่งผลการสำรวจระดับชาติที่สำรวจในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 จัดโดยหนังสือพิมพ์หัวอนุรักษ์นิยมรายงานว่า ผู้ถูกสอบถามจำนวน 59 เปอร์เซ็นต์ตอบว่า ตนไม่เชื่อว่าพักจะมีลักษณะเป็น "บุตรสาวแห่งเผด็จการ" แต่อีก 36 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าพักมีลักษณะเป็นเช่นนั้น[114] สถานะความเป็นเผด็จการของพัก ช็อง-ฮี ถูกเป็นหัวข้อถกเถียงมากขึ้นหลังเกิดวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 กลุ่มชนชั้นสูงของพรรคการเมืองแห่งชาติ (จีเอ็นพี) มองเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอดีตประธานาธิบดีพัก ช็อง-ฮี เสียใหม่ โดยเน้นเรื่องความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้มุมมองของสาธารณชนเกี่ยวกับเขาค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น[115]
ระหว่างการให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ช็องจู พักให้ความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของเธอที่มีต่อกรณีรัฐประหาร 16 พฤษภาคม ของบิดาเธอว่า "เป็นการปฏิวัติเพื่อรักษาชาติ" เธอกล่าวต่อไปว่า "ฉันไม่คิดว่านักการเมืองจะต้องมาถกเถียงหรือต่อสู้กันเกี่ยวกับการรัฐประหาร 16 พฤษภาคมว่า มันคือการปฏิวัติ หรือ รัฐประหาร"[116] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ผลสำรวจของผู้ถูกสำรวจ 50 เปอร์เซ็นต์ ว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับพัก ที่ประเมินว่าการรัฐประหาร 16 พฤษภาคม ของบิดาเธอ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การรัฐประหารเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นการตัดสินใจที่สมควรจะกระทำที่สุด ส่วนที่เหลืออีก 37 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยกับการประเมินของพัก[117] ส่วนผลสำรวจของสำนักอื่นที่สำรวจขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 42 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับเธอว่าการรัฐประหาร 16 พฤษภาคม ของบิดาเธอ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่อีก 46 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับเธอ[118]
เพราะว่าพักรับมรดกภูมิภาคนิยมและแรงสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากบุคคลในยุคเดียวกับบิดาเธอ รวมทั้งมรดกในเรื่องความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่บิดาของเธอดำเนินนโยบายไว้ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามของพักใช้ส่วนนี้ในการวิพากษ์วิจารณ์เธอ[119]
พักเผชิญกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกองทุนการศึกษาจ็องซู ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อเดิมว่า บูอิล (ชื่อมาจากหนังสือพิมพ์ ปูซานอิลบู) ซึ่งบิดาของเธอเคยเป็นประธานกองทุน และต่อมาเธอก็ได้รับตำแหน่งประธานกองทุน ซึ่งเจ้าของเดิมได้กล่าวอ้างในศาลว่ามีการบีบบังคับให้เขามอบกองทุนดังกล่าวให้บิดาของเธอ[120]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.