คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

นกกาเหว่า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นกกาเหว่า
Remove ads


นกกาเหว่า หรือ นกดุเหว่า[3] (อังกฤษ: Asian koel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Eudynamys scolopaceus[4][5])

ข้อมูลเบื้องต้น นกกาเหว่า, สถานะการอนุรักษ์ ...

เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกคัคคู (Cuculidae) พบในเอเชียใต้ จีน เอเชียอาคเนย์รวมทั้งประเทศไทย เป็นญาติใกล้ชิดกับ E. melanorhynchus (อังกฤษ: black-billed koel) และกับ E. orientalis (อังกฤษ: Pacific koel) โดยทั้งสองบางครั้งจัดเป็นสปีชีส์ย่อยของ E. scolopaceus เป็นนกปรสิตที่วางไข่ให้กาและนกอื่น ๆ เลี้ยง เป็นนกจำพวกคัคคูที่ไม่เหมือนพันธุ์อื่น ๆ เพราะโดยมากกินผลไม้ (frugivore) เมื่อเติบใหญ่[6] เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535[7] ชื่อว่า "กาเหว่า" และชื่ออื่น ๆ อีกหลายภาษารวมทั้งชื่ออังกฤษว่า "koel" เป็นชื่อเลียนเสียงนก เป็นนกที่ใช้เป็นสัญลักษณ์อย่างมากมายในวรรณกรรมอินเดีย[8]

Remove ads

ลักษณะ

Thumb
ตัวผู้โตแล้วพันธุ์ต้นแบบ (รัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย) จะมีตาแดงเข้ม ลูกนกจะมีตาที่ดำกว่า[9]

นกกาเหว่าเป็นนกวงศ์คัคคูขนาดใหญ่ ยาว 39-46 เซนติเมตร รวมหางยาว หนัก 190-327 กรัม[10][11] ตัวผู้พันธุ์ต้นแบบมีสีดำแกมน้ำเงินเป็นเงา มีปากเทาเขียว ๆ สีจาง ม่านตาเป็นสีแดงเข้ม มีขาและเท้าสีเทา ส่วนตัวเมียพันธุ์ต้นแบบมีสีออกน้ำตาลที่ยอดหัว มีลายออกแดง ๆ ที่หัว ส่วนหลัง ตะโพก และปีก เป็นสีน้ำตาลมีจุดขาว ๆ หรือเหลือง ๆ ที่ท้องมีสีขาว มีลวดลายมาก ส่วนสปีชีส์ย่อยอื่น ๆ ต่างกันไปโดยสีและขนาด[12] ขนลูกนกด้านบนออกเหมือนตัวผู้และมีปากดำ[13] นกจะร้องเก่งในช่วงฤดูผสมพันธุ์ (มีนาคมถึงสิงหาคมในเอเชียใต้) มีเสียงร้องต่าง ๆ เสียงที่คุ้นเคยของตัวผู้ก็คือ "กา-เหว่า" ส่วนตัวเมียร้องเสียงสูงออกเป็น "คิก-คิก-คิก..." แต่ว่าเสียงร้องต่างกันในที่ต่าง ๆ[12]

นกมีรูปแบบการสลัดขนไม่เหมือนกับนกคัคคูปรสิตประเภทอื่น ๆ คือสลัดขนบินหลักแบบสลับ (P9-7-5-10-8-6) และสลัดขนหลักด้านในตามลำดับ (1-2-3-4) (Payne อ้าง Stresemann and Stresemann 1961[12])

บางครั้งจะเข้าใจผิดกันว่า นกกาเหว่ามีอยู่ 2 ชนิด คือ นกกาเหว่าดำ และนกกาเหว่าลาย ทั้งนี้เพราะตัวผู้มีสีดำ และตัวเมียมีสีน้ำตาลลาย ๆ แถมยังมีเสียงร้องแตกต่างกันด้วย แต่ความจริงเป็นตัวผู้ตัวเมียที่ต่างกัน[14]

Remove ads

การจัดในอนุกรมวิธาน

ลินเนียสดั้งเดิมจัดนกเป็น Cuculus scolopaceus อาศัยตัวอย่างที่ได้จากฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ (Malabar Coast) ของประเทศอินเดีย[12] นกต่างกันในเกาะต่าง ๆ จึงมีการเสนอการจัดสปีชีส์หลายอย่าง E. melanorhynchus (black-billed koel) จากเกาะซูลาเวซี และ E. orientalis จากออสตราเลเซีย บางครั้งจัดเป็นชนิดเดียวกันกับนกกาเหว่า และมีชื่อรวม ๆ เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ว่า E. scolopaceus และเป็นชื่ออังกฤษว่า "common koel" แต่เพราะมีขน สีปาก และเสียงต่างกัน นกทั้งสามชนิดจึงจัดให้เป็นคนละสปีชีส์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[15][16] อีกอย่างหนึ่ง black-billed koel เท่านั้นจัดเป็นชนิดต่างหาก หรือว่า asian koel จะรวมสปีชีส์ย่อยทั้งหมดที่จัดว่าเป็นของ Pacific koel ยกเว้นสปีชีส์ย่อยในประเทศออสเตรเลียซึ่งจัดอยู่ใน E. cyanocephalus (อังกฤษ: Australian koel)[17][18]

นกกาเหว่ามีรูปแบบตามภูมิภาคหลายอย่าง ที่มีขนต่างกันชัดเจน หรือแยกอยู่ในภูมิภาคต่างหากโดยที่ไม่ผสมพันธุ์กับพวกอื่น ลำดับต่อไปนี้เป็นชื่อสปีชีส์ย่อยพร้อมกับการกระจายพันธุ์และชื่อพ้อง ที่จัดกันอยู่แบบหนึ่ง[12]

Remove ads

การกระจายพันธุ์และที่อยู่

นกกาเหว่าอาศัยอยู่ในป่าโปร่งและในเขตเกษตรกรรม เป็นนกประจำถิ่นในเขตร้อนรวมทั้งเอเชียใต้ (ประเทศอินเดีย, บังกลาเทศ, ศรีลังกา) ไปจนถึงจีนตอนใต้และหมู่เกาะซุนดา เป็นนกที่สามารถย้ายเข้าไปเพาะพันธุ์ในเขตใหม่ ๆ ได้ เป็นนกพวกแรกสุดที่เข้าไปในเกาะภูเขาไฟกรากะตัว[20] และเข้าไปในประเทศสิงคโปร์ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 จนกลายเป็นนกสามัญ[12] บางพวกอาจจะอพยพไปอยู่ในที่ไกล ๆ[12]

พฤติกรรม

สรุป
มุมมอง
Thumb
ลูกนกกาเหว่าพันธุ์ต้นแบบตัวเมีย ร้องขออาหารจากอีแกซึ่งเป็นผู้เลี้ยง
Thumb
ตัวเมียที่เมืองจัณฑีครห์ ประเทศอินเดีย
Thumb
Eudynamys scolopaceus + Corvus splendens

นกกาเหว่าเป็นปรสิตที่วางไข่ฟองหนึ่งให้นกพันธุ์ต่าง ๆ เลี้ยง รวมทั้งอีกา[21] และอีแก ในประเทศศรีลังกา นกก่อน ค.ศ. 1880 วางไข่ให้แต่อีกาเท่านั้นเลี้ยง แต่ภายหลังเปลี่ยนไปไข่ให้อีแกเลี้ยงด้วย[22] งานศึกษาในอินเดียปี ค.ศ. 1976 พบว่า รังของอีแก 5% ถูกลอบวางไข่ และรังของอีกา 0.5% ถูกลอบวางไข่[23]

ส่วนงานศึกษาในปี ค.ศ. 2011 ในประเทศบังกลาเทศพบว่า นกลอบวางไข่ในรังของนกอีเสือหัวดำ (Lanius schach) ทั้งหมด 35.7%, นกเอี้ยงสาริกา (Acridotheres tristis) 31.2%, และอีแก (Corvus splendens) 10.8%[24] แม่นกจะชอบวางไข่ในรังที่ไม่สูงนักและใกล้กับต้นไม้มีผล[25] ส่วนประเทศไทยภาคใต้และแหลมมลายู นกได้เปลี่ยนนกเลี้ยง (นกที่ถูกเบียน) จากกาไปเป็นนกเอี้ยง (สกุล Acridotheres) เพราะนกเอี้ยงได้กลายเป็นนกที่สามัญกว่าในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[12] ส่วนในเอเชียใต้บางครั้งก็พบไข่ในรังของนกแซงแซวหางปลา[26] นกสาลิกาปากดำ[27] และอาจจะนกขมิ้นชนิด Oriolus larvatus [black-headed oriole])[28][29]

นกกาเหว่าตัวผู้อาจจะล่อความสนใจของนกที่ถูกเบียน (host) เพื่อตัวเมียจะได้โอกาสลอบวางไข่[30][31] แต่โดยมากตัวเมียจะแอบไปวางไข่ตัวเดียว[12] นกจะไม่วางไข่ในรังเปล่า งานศึกษาในประเทศปากีสถานในปี ค.ศ. 1966 พบว่า นกจะวางไข่โดยเฉลี่ยวันครึ่งหลังจากนกที่ถูกเบียนวางไข่ใบแรก[32] ปกติจะวางไข่เพียงแค่ใบเดียวหรือสองใบในรัง ๆ หนึ่ง แต่อาจจะวางมากถึง 7-11 ใบ[33][34][35] แม่นกอาจจะเอาไข่ของนกที่ถูกเบียนออกใบหนึ่งก่อนจะวางไข่

ลูกนกกาเหว่าจะออกจากไข่ภายใน 12-14 วัน ประมาณ 3 วันก่อนลูกนกที่ถูกเบียน[36] ลูกนกอาจจะไม่ดันไข่นกที่ถูกเบียนออกจากรัง และจะร้องคล้าย ๆ กาในตอนแรก ๆ และจะเริ่มหัดบินภายใน 20-28 วัน[12]

ลูกนกไม่เหมือนกับนกคัคคูประเภทอื่น ๆ ที่พยายามฆ่าลูกนกที่ถูกเบียน ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับของนกคัคคูสปีชีส์ Scythrops novaehollandiae (channel-billed cuckoo) ซึ่งก็เป็นนกที่กินผลไม้โดยมากเมื่อโตแล้วเหมือนกัน[37] มีทฤษฎีว่า นกกาเหว่าจะเหมือนนกปรสิตอื่น ๆ บางประเภทที่ไม่กำจัดลูกนกที่ถูกเบียน เพราะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เช่น นกปรสิตตัวเล็กอาจจะไม่สามารถกำจัดไข่นกหรือลูกนกที่ถูกเบียน จากรังที่ลึก เพราะเสี่ยงจากการอดตายหรือตกออกจากรังเอง ส่วนทฤษฎีอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกนกที่ถูกเบียนอาจจะทำประโยชน์ให้นกปรสิต ไม่ค่อยมีคนสนับสนุน[38]

แม่นกอาจจะเลี้ยงลูกนกในรังของนกที่ถูกเบียน[39][40] ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบในนกปรสิตชนิดอื่น ๆ ด้วย แต่ว่าพ่อนกไม่มีส่วนในการเลี้ยงลูกนก[12][41][42]

นกเป็นสัตว์กินทั้งพืชและสัตว์ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ ดักแด้ผีเสื้อ ไข่ และสัตว์มีกระดูกสันหลังเล็ก ๆ แต่ว่า นกที่โตแล้วมักจะกินแต่ผลไม้ และบางครั้งจะป้องกันต้นไม้มีผลที่ตนหาอาหาร โดยไล่สัตว์กินผลอื่น ๆ ไป[43] นกเป็นพาหะเมล็ดไม้จันทน์ (Santalum album) ที่สำคัญในประเทศอินเดีย มักจะสำรอกเมล็ดใหญ่ ๆ ออกใกล้ ๆ ต้น แต่จะนำเมล็ดเล็ก ๆ ไปในที่ไกล ๆ[44] นกสามารถอ้าปากได้กว้าง ดังนั้นจึงสามารถกลืนผลขนาดใหญ่แม้แต่ผลแข็งของปาลม์สกุล ชกและค้อ[6] บางครั้งจะขโมยไข่ของนกเล็ก ๆ ด้วย[45][46]

นกสามารถกินผลรำเพยซึ่งเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม[47][48]

มีปรสิตของนกที่รู้จักหลายอย่างรวมทั้งโพรโทซัวคล้ายของโรคมาลาเรีย แมลงเล็ก ๆ (ประเภทเหา เล็น ไร โลน) และหนอนตัวกลม[49][50][51]

Remove ads

สถานะการอนุรักษ์

ในประเทศไทย นกกาเหว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก[7]

ในวัฒนธรรมและสื่อ

สรุป
มุมมอง

ชื่อว่า "กาเหว่า" และชื่ออื่น ๆ อีกหลายภาษารวมทั้งชื่ออังกฤษว่า "koel" เป็นชื่อเลียนเสียงนก ธาตุศัพท์ (รากศัพท์) ของภาษาสันสกฤตคือ "โกกิล" และคำที่ใช้ในภาษาอินเดียอื่น ๆ จะคล้าย ๆ กัน[8] เสียงดังไพเราะของนกคุ้นเคยกันดี จึงมีการพูดถึงนกในวรรณกรรมต่าง ๆ รวมทั้งนิทานพื้นบ้าน ตำนาน และกวีนิพนธ์[52][53] และเสียงเพลงของมันก็เป็นที่ยกย่อง[54] และเลื่อมใสในพระธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นกฎหมายโบราณที่อนุรักษ์นก[55] ในคัมภีร์พระเวทซึ่งเกิดก่อนคริสต์ศักราชประมาณ 2,000 ปี นกมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "อญฺญวปฺป" ซึ่งแปลว่า "ที่เลี้ยงโดยสัตว์อื่น" (หรือหว่านให้คนอื่นเก็บเกี่ยว)[56] ซึ่งตีความว่า เป็นความรู้เก่าแก่ที่สุดว่านกเป็นปรสิต (วางไข่ให้นกอื่นเลี้ยง)[12][57] นกได้รับเลือกเป็นนกประจำเขตการปกครองปุทุจเจรีของประเทศอินเดีย[58][59]

กาลครั้งหนึ่ง ชาวอินเดียนิยมเลี้ยงนกในกรง แม้เลี้ยงด้วยข้าวสุก นกก็สามารถทนทานมีชีวิตถูกขังไว้ได้นานถึง 14 ปี[60]

ในนิทานพื้นบ้านของพม่า เล่าถึงสาเหตุที่นกกาเหว่าต้องออกไข่ให้นกตัวอื่นฟัก และนกเค้าแมวออกหากินในเวลากลางคืน ว่า นกเค้าแมวและนกกาเหว่าได้ทำสัญญากัน โดยมีอีกาเป็นผู้ค้ำประกันให้แก่นกเค้าแมว ต่อมานกเค้าแมวได้เบี้ยวสัญญาต่อนกกาเหว่า อีกาในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบด้วยการฟักไข่และเลี้ยงดูลูกของนกกาเหว่านับตั้งแต่นั้น และนกเค้าแมวก็เปลี่ยนเวลาออกหากินจากกลางวันไปเป็นกลางคืนเพื่อไม่ให้อีกาตามตัวเจอ และถ้าหากเจอตัวกันในเวลากลางวันก็จะจิกตีทะเลาะวิวาทกันเสมอ ๆ[61]

ในคัมภีร์ศาสนาพุทธ

Thumb
นกกาเหว่าตัวเมียที่มหาวิทยาลัยธากา ประเทศบังกลาเทศ
เสียงนกใน ประเทศสิงคโปร์
วิดีโอแสดงนกตัวเมียส่งเสียงร้อง ให้สังเกตว่าร้องไม่เหมือนตัวผู้

ภาษาบาลีก็เรียกนกดุเหว่าว่า "โกกิล"[62] (อ่านว่า โกกิละ) เช่นกัน โดยมักนิยมแปลเป็นภาษาไทยว่า "นกดุเหว่า" คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถามักจะเปรียบเทียบเสียงนกดุเหว่ากับนกการเวกคือมีเสียงไพเราะมาก[63][64] และแสดงนกในที่ที่น่ารื่นรมย์เช่นในวิมานของเทพธิดาเป็นต้น[65]

พระพุทธเจ้าทรงแสดงนกเป็นอุทาหรณ์ในสุชาตาชาดกว่า เป็นสัตว์ที่ผู้อื่นรักใคร่เพราะมีวาจาไพเราะ[66] ในเรื่องนี้อรรถกถาจารย์อธิบายว่า เป็นเรื่องเนื่องกับการสอนนางสุชาดาสะใภ้ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้มีวาจาดุร้าย คือพระพุทธองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนนางสุชาดาในชาติก่อน ๆ มาแล้วเช่นกัน และเป็นการยกนกดุเหว่าเทียบกับนกต้อยตีวิด (นกกระแตแต้แวด) ที่มีเสียงไม่น่าฟัง[67] คือทรงยกว่า

ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่สมบูรณ์ด้วยวรรณะ
มีเสียงอันไพเราะ น่ารักน่าชม แต่พูดจาหยาบกระด้าง
ย่อมไม่เป็นที่รักของใคร ๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

พระองค์ (พระราชชนนีของพระโพธิสัตว์ผู้ในชาติหลังเป็นนางสุชาดา) ทรงทอดพระเนตรแล้วมิใช่หรือ
นกดุเหว่าสีดำตัวนี้มีสีไม่สวย ลายพร้อยไปทั้งตัว
แต่เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก
เพราะร้องด้วยเสียงอันไพเราะ

เพราะฉะนั้นบุคคลควรพูดคำอันสละสลวย
คิดก่อนพูด พูดพอประมาณ ไม่ฟุ้งซ่าน
ถ้อยคำของผู้ที่แสดงเป็นอรรถเป็นธรรม
เป็นถ้อยคำอันไพเราะ เป็นถ้อยคำที่เป็นภาษิต[66]

ทรงแสดงนกเป็นอุทาหรณ์ในโกกิลชาดกว่า ผู้ที่พูดไม่ถูกกาละจะถูกทำร้ายเหมือนกับลูกนกถูกกา (ที่เป็นสัตว์ถูกเบียน) ทอดทิ้ง[68] คือ

เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด ผู้ใดพูดเกิน
กาลไป ผู้นั้นย่อมถูกทำร้ายดุจลูกนกดุเหว่า
ฉะนั้น.

มีดที่ลับคมดีแล้ว ดุจยาพิษอันร้ายแรง
หาทำให้ตกไปทันทีทันใด เหมือนวาจาทุพภาษิตไม่.

เพราะฉะนั้น บัณฑิตควรรักษาวาจาไว้
ทั้งในกาลควรพูดและไม่ควร ไม่ควรพูดให้
ล่วงเวลา แม้ในบุคคลผู้เสมอกับตน.

ผู้ใดมีความคิดเห็นเป็นเบื้องหน้า มี
ปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นประจักษ์ พูดพอ
เหมาะในกาลที่ควรพูด ผู้นั้นย่อมจับศัตรูได้
ทั้งหมด ดุจครุฑจับนาคได้ ฉะนั้น.[68]

ทรงแสดงกุณาลชาดก ที่เป็นพญานกดุเหว่าเพื่อข่มความกระสันในผู้หญิงของภิกษุผู้เป็นพระญาติ 500 รูป ในชาดกนี้ มีทั้งนกดุเหว่าดำ และนกดุเหว่าลาย[69] ซึ่งเป็นลักษณะของนกดุเหว่าตัวผู้ตัวเมียดังที่กล่าวมาแล้ว

Remove ads

เชิงอรรถและอ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads