คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ประวัติศาสตร์ไทยหลัง พ.ศ. 2544

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติศาสตร์ไทยหลัง พ.ศ. 2544
Remove ads

ประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2544 ถูกครอบงำด้วยการเมืองแวดล้อมการเถลิงและการสิ้นสุดอำนาจของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และความขัดแย้งระหว่างผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านเขาในเวลาต่อมา ทักษิณกับพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งในปี 2544 และได้รับความนิยมอย่างยิ่งในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท ทว่า ผู้คัดค้านวิจารณ์สไตล์อำนาจนิยมของเขา และกล่าวหาเขาว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง เขาถูกโค่นในรัฐประหารในปี 2549 และนับแต่นั้นประเทศไทยอยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์การเมืองเป็นรอบ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองพันธมิตรของทักษิณชนะ การประท้วงต่อต้านรัฐบาลขนานใหญ่โดยกลุ่มแยกหลายกลุ่ม การถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองของศาล และรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 บทบาททางการเมืองของสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งเห็นชัดมากขึ้นในช่วงนี้ด้วย

ข้อมูลเบื้องต้น พระมหากษัตริย์, นายกรัฐมนตรี ...

ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2544 ถึง 2549 เขาถูกรัฐประหารโค่นจากตำแหน่งหลังการประท้วงโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อย่างไรก็ดี พันธมิตรของทักษิณหวนคืนสู่อำนาจหลังการเลือกตั้งหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 พธม. ประท้วงต่อรัฐบาลในครึ่งหลังของปี 2551 และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรครัฐบาลในขณะนั้น ต่อมา พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งรัฐบาล แต่เผชิญกับการประท้วงโดยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนนำไปสู่การปราบปรามของกองทัพอย่างรุนแรงในปี 2553 พรรคการเมืองพันธมิตรของทักษิณชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2554 ทำให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี การประท้วงต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน 2556 และดำเนินไปจนเกิดรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 หัวหน้าคณะรัฐประหาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีและดำเนินการปราบปรามเสรีภาพพลเมืองและเสรีภาพการเมืองจนสุดท้ายอนุญาตให้จัดการเลือกตั้งในปี 2562 รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันได้รับเสียงสนับสนุนจากการลงประชามติในปี 2559 เปิดทางให้มีการแทรกแซงการเมืองของกองทัพและอภิชนในอนาคต หลังจากนั้น รัฐสภามีมติเลือกพลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ความขัดแย้งนี้ได้แบ่งแยกมติมหาชนในประเทศไทย แม้ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ทักษิณยังได้รับการสนับสนุนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ประชากรชนบทในภาคเหนือ และภาคอีสาน ซึ่งได้รับประโยชน์จากนโยบายของเขาและเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ นักวิชาการสายเสรีนิยมและนักเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรัฐประหารปี 2549 ก็สนับสนุนทักษิณด้วย โดยต่อต้านผู้คัดค้านที่ผลักดันให้เกิดรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อีกด้านหนึ่ง ผู้คัดค้านทักษิณประกอบด้วยชนชั้นกลางเมืองในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ และภาคใต้ (เป็นที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์) วิชาชีพและนักวิชาการ ตลอดจนสมาชิก "อภิชนเก่า" ซึ่งถืออิทธิพลทางการเมืองก่อนทักษิณครองอำนาจ พวกเขาอ้างว่าทักษิณละเมิดอำนาจ บ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตยและสถาบันตรวจสอบและถ่วงดุล ผูกขาดอำนาจและใช้นโยบายประชานิยมเพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนทางการเมือง อ้างว่าการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมีการแทรกแซงของทักษิณ ส่วนผู้สนับสนุนทักษิณกล่าวหาศาลว่ามีตุลาการภิวัฒน์ โดยล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นฝ่ายทักษิณ ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำในประเทศยังมีสูง ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งของความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง

เหตุการณ์เหล่านี้ประจวบกับปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงราชย์เป็นเวลา 70 ปี 4 เดือน เสด็จสวรรคตในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 หลังพระพลานามัยเสื่อมถอยลงเป็นลำดับ อย่างไรก็ดี พระองค์ถือเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยและเป็นที่เคารพเทิดทูนอย่างสูง ความไม่แน่นอนแวดล้อมการผลัดแผ่นดินทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมือง มีการกล่าวหาว่าทักษิณและผู้สนับสนุนต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสาธารณรัฐ การดำเนินคดีภายใต้กฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์เพิ่มขึ้นมากหลังปี 2549 และถูกวิจารณ์ว่ามีการใช้กฎหมายนี้เพื่อฉวยประโยชน์ทางการเมือง โดยสิทธิมนุษยชนเสื่อมถอยลง

ขณะเดียวกัน ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของประเทศดำเนินมาตั้งแต่ปี 2547 โดยไม่มีทีท่ายุติ และมีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 8,170 คน [1]โดยเหตุการณ์ที่เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ ได้แก่ กรณีตากใบ เสียชีวิต 84 ราย กรณีกรือเซะ เสียชีวิต 34 ราย เหตุระเบิดในจังหวัดสงขลา พ.ศ. 2548 เสียชีวิต 2 ราย เหตุระเบิดในอำเภอหาดใหญ่ พ.ศ. 2549 เสียชีวิต 5 ราย

Remove ads

การเมือง

สรุป
มุมมอง

การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของทักษิณ ชินวัตร

พรรคไทยรักไทยของทักษิณเถลิงอำนาจผ่านการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 ซึ่งเกือบครองเสียงข้างมากสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทักษิณเปิดตัวแนวนโยบายซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "ทักษิโณมิกส์" ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการบริโภคในประเทศ และจัดหาทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ประชากรชนบท โดยการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาหาเสียง รวมทั้งนโยบายประชานิยมอย่างโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค รัฐบาลของเขาได้รับความเห็นชอบอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจากผลของวิกฤตการณ์การเงินในเอเชียในปี 2540 ทักษิณกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีและพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2548[2]:262–5

อย่างไรก็ดี การปกครองของทักษิณเต็มไปด้วยข้อโต้เถียง เขาใช้แนวทางเข้าสู่การปกครอง "แบบซีอีโอ" ซึ่งมีแนวอำนาจนิยม การรวมศูนย์อำนาจและการเพิ่มการแทรกแซงการดำเนินการของข้าราชการประจำ แม้รัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น ทักษิณใช้อิทธิพลของตนทำให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่งออกแบบมาเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลหมดอำนาจ เขาคุกคามนักวิจารณ์และชักใยสื่อให้ออกความเห็นเชิงบวกอย่างเดียว สิทธิมนุษยชนโดยรวมเสื่อมถอยลง โดย "สงครามยาเสพติด" ทำให้มีวิสามัญฆาตกรรมกว่า 2,000 ครั้ง ทักษิณรับมือกับความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ด้วยวิธีการเผชิญหน้าสูงทำให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น[2]:263–8

การต่อต้านสาธารณะต่อรัฐบาลทักษิณได้รับความนิยมในเดือนมกราคม 2549 โดยมีการขายหุ้นของตระกูลทักษิณในชินคอร์ปอเรชั่นให้แก่เทมาเส็กโฮลดิ้งส์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำโดยเจ้าของสื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มจัดการเดินขบวนเป็นประจำ กล่าวหาทักษิณว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง เมื่อประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤตการเมือง ทักษิณยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งใหม่โดยมีกำหนดในเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ คว่ำบาตรการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะเนื่องจากการจัดคูหาเลือกตั้งไม่ถูกต้อง มีกำหนดการเลือกตั้งใหม่ในเดือนตุลาคม และทักษิณยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลรักษาการเมื่อประเทศไทยจัดการเฉลิมฉลองพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549[2]:269–70

การประท้วงทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง

การประท้วงทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่ง เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และมีการชุมนุมปราศรัยเพื่อขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นครั้งแรก และเริ่มขยายเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 ส่วนหนึ่งจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา

ในการรณรงค์ขับนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลาย ๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย

ผลจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่อดีตพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย ไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ยังคงได้รับคะแนนเสียงข้างมาก แต่ในบางพื้นที่ของเขตซึ่งไม่มีผู้สมัครอื่นลงแข่งนั้น ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ออกเสียงและบัตรเสีย แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549

รัฐประหาร 2549

Thumb
ผู้สนับสนุนรวมตัวกันทักทายทหารเมื่อรถถังวิ่งเข้ามาในกรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพบกไทยภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอก สนธิ บุญยรัตกลินก่อรัฐประหารที่ไม่เสียเลือดเนื้อ และโค่นรัฐบาลรักษาการ ผู้ประท้วงต่อต้านทักษิณยินดีต้อนรับรัฐประหาร และ พธม. สลายตัว ผู้นำรัฐประหารตั้งคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองชื่อ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) (ต่อมาเปลี่ยนแปรสภาพเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลโดยมีอดีตผู้บัญชาการทหารบก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาและสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อเดือนสิงหาคม 2550 หลังการลงประชามติ[2]:270–2

ผู้นำรัฐประหารในปี 2549 มีผู้นำเป็นกลุ่มนิยมเจ้าอย่างเข้มข้น ฝ่ายทหารได้ฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้โดยมีการแต่งตั้งนายทหารให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและตำแหน่งสำคัญ ๆ งบประมาณของกองทัพเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 ภายในสองปี[2]:270 เป้าหมายหลักของรัฐบาลทหารคือการกำจัดทักษิณ ลดบทบาทของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และคืนอำนาจให้แก่ข้าราชการและกองทัพ[2]:270 กองทัพยังตั้งใจใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อทวงบทบาทควบคุมดูแลการเมืองของประเทศ โดยผ่านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ลดอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ การก่อตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550[2]:271 นับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 กองทัพและพวกนิยมเจ้ายกให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางความมั่นคงของชาติ และมีการใช้กฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างกว้างขวาง[3]:374–5

เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับ มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญที่สมาชิกมาจากการแต่งตั้งของ คมช. วินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคร่วมรัฐบาลสองพรรคโดยให้เหตุผลว่าโกงการเลือกตั้ง และผู้บริหารพรรคถูกห้ามเกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นเวลาห้าปี อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยเข้าลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชาชน โดยมีนักการเมืองมากประสบการณ์ สมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค พรรคพลังประชาชนได้รับคะแนนเสียงจากผู้สนับสนุนทักษิณ และชนะการเลือกตั้งโดยเกือบครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี[2]:270–2

วิกฤตการเมืองปี 2551

Thumb
พธม. ยึดทำเนียบรัฐบาลในเดือนสิงหาคม 2551

รัฐบาลสมัครพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่างแข็งขัน ผลทำให้ พธม. กลับมาชุมนุมอีกในเดือนพฤษภาคม 2551 เพื่อเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล พธม. กล่าวหาว่ารัฐบาลพยายามนิรโทษกรรมให้ทักษิณซึ่งเผชิญกับข้อกล่าวหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง กลุ่มยังยกประเด็นรัฐบาลสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลกของกัมพูชา ทำให้เกิดการลุกลามของ กรณีพิพาทชายแดนกับกัมพูชา ซึ่งทำให้มีการบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย ในเดือนสิงหาคม พธม. ยกระดับการประท้วงและเข้ายึด ทำเนียบรัฐบาล ทำให้ประเทศกลับเข้าสู่วิกฤตการเมืองอีกครั้ง ต่อมาเกิด เหตุการณ์ นปช. ปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ 2 กันยายน พ.ศ. 2551 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ได้แก่ ณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง ขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมัครมีความผิดฐานการขัดกันของผลประโยชน์เนื่องจากรับงานในรายการโทรทัศน์ทำอาหาร ทำให้เขาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนกันยายน จากนั้นสภาผู้แทนราษฎรเลือก สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ สมชายเป็นน้องเขยของทักษิณและ พธม. ปฏิเสธเขาและประท้วงต่อไป[2]:272–3 ใน การสลายการชุมนุมของ พธม. หน้าอาคารรัฐสภาในเดือนตุลาคม 2551 จนทำให้ผู้ประท้วง อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และ เมธี ชาติมนตรีเสียชีวิต ปรากฏว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จไปร่วมงานศพด้วย

ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551 กลุ่มพันธมิตร ปิดท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานหาดใหญ่ [4]และท่าอากาศยานกระบี่[5]ในช่วงเวลาเดียวกันเกิดวิกฤตการณ์การเงิน พ.ศ. 2550–2551และวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

พธม. ยกระดับการประท้วงอีกในเดือนพฤศจิกายน โดยบังคับปิดท่าอากาศยานนานาชาติของประเทศสองแห่ง ไม่นานจากนั้น วันที่ 2 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีกสองพรรคฐานโกงการเลือกตั้ง ทำให้สมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[6] จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่โดยมีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี[7] โดยเชื่อว่าพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก อำนวยความสะดวกหรือสั่งการโดยตรงให้มีการรวบรวมเสียงให้แก่อภิสิทธิ์[8]:87

รัฐบาลอภิสิทธิ์และการประท้วงปี 2552–53

อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีโดยมีพรรคร่วมรัฐบาลหกพรรค เขาได้รับการสนับสนุนจากเนวิน ชิดชอบ และกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งแตกออกจากพรรคร่วมรัฐบาลพลังประชาชนก่อนหน้านี้ ขณะนั้น เศรษฐกิจไทยกำลังได้รับผลกระทบของวิกฤตการณ์การเงิน พ.ศ. 2550–2551 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นต่อมา อภิสิทธิ์ออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่าง ขณะเดียวกันยังขยายนโยบายประชานิยมบางอย่างที่ทักษิณริเริ่ม[9]

กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ คือ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เริ่มการประท้วงต่อต้านรัฐบาลหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552 นปช. จัดการประท้วงในพัทยา ซึ่งรบกวนการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกครั้งที่สี่ และประท้วงในกรุงเทพมหานคร ทำให้เกิดการปะทะกับกำลังฝ่ายรัฐบาล[2]:274–5


นปช. ระงับกิจกรรมทางการเมืองส่วนใหญ่ตลอดช่วงที่เหลือของปี แต่กลับมาชุมนุมใหม่ในเดือนมีนาคม 2553 เพื่อเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ต่อมาผู้ประท้วงยึดครองพื้นที่ย่านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร การโจมตีอย่างรุนแรง ทั้งต่อผู้ประท้วงและทหาร บานปลายเมื่อสถานการณ์เนิ่นนานไป ส่วนการเจรจาระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและผู้ประท้วงล้มเหลวหลายครั้ง ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ทหารเข้าปราบปรามการประท้วงนำไปสู่การเผชิญหน้ารุนแรงและมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน เกิดการโจมตีวางเพลิงรอบพื้นที่ประท้วง ตลอดจนอาคารของสถานที่ราชการหลายหลังในต่างจังหวัด แต่ไม่นานรัฐบาลก็เข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ผู้ประท้วงสลายตัวเมื่อแกนนำ นปช. ยอมจำนน[2]:275–7

ในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ได้เกิด เหตุการณ์รถตู้สาธารณะถูกชนบนทางยกระดับอุตราภิมุข มีผู้เสียชีวิต 9 ราย รัฐบาลอภิสิทธิ์ ถูกวิจารณ์ว่าดำเนินคดีอย่างล่าช้าในเหตุการณ์ดังกล่าว

Thumb
ภาพกรุงเทพมหานครบางส่วนเกิดอัคคีภัยระหว่างวิกฤตการณ์การเมืองเดือนพฤษภาคม 2553

รัฐบาลยิ่งลักษณ์และวิกฤตปี 2556–57

Thumb
การเดินขบวนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในการประท้วงช่วงแรกในเดือนพฤศจิกายน 2556

อภิสิทธิ์ยุบสภาผู้แทนราษฎรในปีต่อมา และมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งพรรคเพื่อไทยที่เป็นพันธมิตรของทักษิณ ชนะการเลือกตั้ง และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ทีแรกรัฐบาลต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรับมือกับมหาอุทกภัยใหญ่ในปี 2554 แต่สถานการณ์ทางการเมืองยังค่อนข้างสงบตลอดทั้งปี 2555 และต้นปี 2556

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังดำเนินแนวนโยบายประชานิยมต่อ รวมทั้งโครงการรับจำนำข้าวซึ่งเป็นข้อถกเถียง ซึ่งต่อมาพบว่าทำให้รัฐบาลขาดทุนหลายแสนล้านบาท อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลพยายามผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2556 ทำให้เกิดการต่อต้านจากสาธารณะ ผู้ประท้วงซึ่งเรียกตนเองว่า คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เดินขบวนต่อต้านร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งพวกเขาถือว่าร่างขึ้นเพื่อนิรโทษกรรมทักษิณ แต่แม้วุฒิสภาตีตกร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ผู้ประท้วงหันไปรับวาระต่อต้านรัฐบาลแทน ผู้ประท้วงเข้ายึดอาคารราชการหลายแห่งเช่นเดียวกับย่านการค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสภาเพื่อควบคุมดูแลการปฏิรูปการเมือง และขจัดอิทธิพลทางการเมืองของทักษิณ[10] ทั้งนี้ มีรายงานว่าผู้สนับสนุน กปปส. รายใหญ่ได้แก่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่เสียอิทธิพลในสมัยรัฐบาลทักษิณ[11]:300

ยิ่งลักษณ์รับมือการประท้วงโดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ผู้ประท้วงเข้าขัดขวางการเลือกตั้งและมีการทำร้ายร่างกายผู้พยายามไปใช้สิทธิเลือกตั้ง[3]:375 ทำให้ต้องมีการเลื่อนการเลือกตั้งในบางหน่วยเลือกตั้ง ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งภายในวันเดียวได้ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ[12] ทำให้ประเทศขาดรัฐบาลที่มีอำนาจ ท่ามกลางการก่อเหตุโจมตีที่รุนแรงโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่าย

ขณะที่การเมืองอยู่ในภาวะชะงักงัน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมว่าการย้ายข้าราชการผู้หนึ่งในปี 2554 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีอื่นที่มีส่วนพ้นจากตำแหน่ง[13]

รัฐประหาร พ.ศ. 2557

ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองที่ดำลังดำเนินอยู่ กองทัพบกไทยภายใต้บังคับบัญชาของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยอ้างความจำเป็นต้องปราบปรามความรุนแรงและรักษาความสงบเรียบร้อย มีการจัดการประชุมกับผู้นำฝ่ายต่าง ๆ แต่ล้มเหลว ประยุทธ์เข้ายึดอำนาจในเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 มีการตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นคณะผู้ยึดอำนาจปกครองและมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง[14]

คสช. ควบคุมดูแลการปราบปรามอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งต่างจากรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 มีการเรียกตัวนักการเมืองและนักเคลื่อนไหว รวมถึงนักวิชาการและนักหนังสือพิมพ์ บ้างถูกควบคุมตัวเพื่อ "ปรับทัศนคติ" สุดท้ายมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ตามด้วยการสถาปนาสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยสมาชิกมาจากการแต่งตั้งของ คสช. จากนั้น สนช. ลงมติเลือกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 25 สิงหาคม แม้สัญญาโรดแมปสำหรับการหวนคืนสู่ประชาธิปไตย แต่ คสช. ยังใช้อำนาจแบบอำนาจนิยมอยู่พอสมควร มีการห้ามกิจกรรมทางการเมืองโดยเฉพาะการวิจารณ์กองทัพ และมีการใช้กฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยหนักยิ่งกว่าครั้งใด[15] หลังจากร่างหลายฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เนื้อหารัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติหลายอย่างที่อนุญาตให้กองทัพมีอิทธิพลในการเมืองไทย หลังการเลื่อนหลายครั้ง สุดท้ายมีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 โดยพรรคเพื่อไทยได้ครองเสียงข้างมาก วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง ลงมติเลือกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย[16]

รัฐบาลประยุทธ์และวิกฤตปี 2563–64

มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งเป็นฉบับที่ 20 หลังจากครองอำนาจเกือบห้าปี คสช. ยอมให้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ผลทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ โดยได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภา ในปี 2563 เริ่มเกิดการระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ตามมาด้วยการประท้วงใหญ่ซึ่งมีเป้าหมายในหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมทั้งข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

การเลือกตั้ง 2566, รัฐบาลเศรษฐา และรัฐบาลแพทองธาร

ในปี พ.ศ. 2566 พรรคก้าวไกลซึ่งสืบทอดจากพรรคอนาคตใหม่ ชนะการเลือกตั้งทั่วไป โดยมีพรรคเพื่อไทยตามมาเป็นอันดับสอง ทำให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนประยุทธ์สูญเสียอำนาจ[17] หลังการเลือกตั้งพรรคก้าวไกล เพื่อไทย และอีก 6 พรรค ทำบันทึกความเข้าใจเพื่อสนับสนุนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล แต่เขาได้คะแนนเสียงไม่เพียงพอที่จะผ่านความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจากที่ประชุมร่วมของรัฐสภาซึ่งรวมถึงสมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร[18] เวลาต่อมาพรรคก้าวไกลมอบสิทธิ์การจัดตั้งรัฐบาลให้พรรคเพื่อไทย และมีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจดังกล่าว พรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคการเมืองอีก 10 พรรค ซึ่งรวมถึงพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ จัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกล โดยเสนอชื่อเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมร่วมของรัฐสภาในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 ให้ความเห็นชอบเขา[19] ในวันเดียวกับที่ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย[20]

เดือนมกราคมปีถัดมา ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลนั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งการให้พรรคเลิกการกระทำดังกล่าวในทันที[21] ต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้งนำคำวินิจฉัยดังกล่าวประกอบคำร้องเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญซ้ำ ที่สุดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้ยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ์ทางการเมืองแกนนำพรรครวม 11 คนเป็นเวลา 10 ปี[22] ขณะที่ ส.ส. ที่เหลือของพรรคทั้ง 143 คน ได้ย้ายไปสังกัดพรรคประชาชนในเวลาต่อมา[23]

หนึ่งสัปดาห์หลังพรรคก้าวไกลถูกยุบ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติถอดถอนเศรษฐาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีแต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พิชิตเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว[24] วันถัดจากนั้นพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเดิมมีมติเสนอแพทองธาร ชินวัตร ธิดาคนเล็กของทักษิณ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี[25][26][27] ในวันที่ 16 สิงหาคม ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ ส่งผลให้เธอเป็นนายกรัฐมนตรีไทยซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในวันดำรงตำแหน่ง[28]

1
2
2544
2546
2548
2550
2552
2554
2556
2558
2560
2562
2564
2566
2568

ลำดับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทย พ.ศ. 2544–ปัจจุบัน
แถวแรก: = รัฐประหาร (คลิกเพื่อดูบทความ), การเลือกตั้งทั่วไป (คลิกเพื่อดูบทความ); แถวสอง: รายชื่อนายกรัฐมนตรี; แถวสาม: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่)

  นายกรัฐมนตรีจากรัฐประหาร
Remove ads

พระมหากษัตริย์

Thumb
ประชาชนต่อแถวกันคารวะพระบรมศพ ณ พระบรมมหาราชวังในเดือนมกราคม 2560

นับแต่คริสต์ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระพลานามัยเสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง ทรงเข้ารับการถวายรักษาในโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง และแทบไม่ได้ปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะอีก จนกระทั่งพระองค์ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ทำให้ประชาชนโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่งและมีการกำหนดไว้ทุกข์ทั่วประเทศหนึ่งปี ต่อมา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร) ได้ขึ้นสืบราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ถัดไป โดยทรงชะลอการตอบรับการเสด็จขึ้นครองราชย์จนถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2559[29] (ระหว่างนั้น พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) และพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ มีขึ้นเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์ทั่วประเทศกว่า 19 ล้านคน[30]

Remove ads

ความขัดแย้ง

ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีมานานปะทุขึ้นในปี 2547 ระหว่างทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี การรับมือแบบมือหนักของทักษิณยิ่งทำให้มีการยกระดับความรุนแรง นำมาซึ่งการวางระเบิดบ่อยครั้งและการโจมตีกำลังความมั่นคงและพลเรือน ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตเกือบ 7,000 คน รัฐบาลจัดการเจรจาสันติภาพในปี 2556 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้ความรุนแรงค่อย ๆ ลดลงหลังสูงสุดในปี 2553 แต่ยังมีการก่อเหตุโจมตีอยู่ประปรายโดยมีสัญญาณความสงบเพียงเล็กน้อย[31]

ประเทศไทยยังมีการก่อเหตุก่อการร้ายอยู่หลายครั้งนอกจากภาคใต้ ที่สำคัญ เช่น เหตุวางระเบิดในกรุงเทพมหานครปี 2558 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 20 คน และได้รับบาดเจ็บกว่า 120 คน เชื่อว่าเป็นฝีมือของนักชาตินิยมอุยกูร์ เพื่อแก้แค้นการส่งผู้ขอลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน แม้ยังไม่มีการชำระสะสางคดีจนได้ข้อยุติ[32] นอกจากนี้ยังมีการก่อเหตุในกรุงเทพมหานครอีกในปี 2549 และ 2555 แต่ไม่มีความเชื่อมโยงกัน ในปี 2546 ประเทศไทยประสบการก่อการร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินจากการจลาจลในพนมเปญ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาเป็นไปอย่างย่ำแย่จนเกิดการใช้กำลังทางทหาร ในวันที่ 3 เมษายน 2552 มีผู้เสียชีวิต 2 ราย

ภัยพิบัติ

Thumb
มหาอุทกภัยปี 2554 ก่อความเสียหายกว้างขวางต่ออุตสาหกรรมการผลิต

ประเทศไทยเห็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในช่วงนี้ แผ่นดินไหวและสึนามิในมหาสมุทรอินเดียปี 2547 ทำให้เกิดผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 ราย[33]

อุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ปี 2554 มีผู้เสียชีวิตรวม 53 ราย[34] สร้างความเสียหายมากกว่า 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[35]

ในขณะที่ อุทกภัยใหญ่ ปี 2554 ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 1.43 ล้านล้านบาท (46,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)[36]

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เกิดการระบาดทั่วของโควิด-19 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32,700 ราย

Remove ads

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads