คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
พรรคพลังประชารัฐ
พรรคการเมืองไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
พรรคพลังประชารัฐ (ย่อ: พปชร.) เป็นพรรคการเมืองไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2561 จากการรวมตัวของนักการเมืองกลุ่มต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ซึ่งพรรคเสนอชื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในขณะนั้น เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2 ปัจจุบันพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค และไพบูลย์ นิติตะวันเป็นเลขาธิการพรรค
Remove ads
รายชื่อนายกรัฐมนตรี
- พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(วาระ: 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557 – 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566)
(ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่ได้รับมติจากพรรคให้เป็น
บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี)
ประวัติ
สรุป
มุมมอง

ชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม และ สุชาติ จันทรโชติกุล อดีต สส. สงขลา พรรคความหวังใหม่ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นผู้จดจองชื่อพรรคพลังประชารัฐต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561[7] ชื่อพรรค "พลังประชารัฐ" เป็นชื่อนโยบายช่วยเหลือคนยากจนที่สำคัญของรัฐบาลประยุทธ์[8] พรรคได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม "สามมิตร" ซึ่งมีแกนนำเป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ได้แก่ สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งยังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอยู่ กลุ่มดังกล่าวพยายามดึงตัวสมาชิกรัฐสภาทั้งจากพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มดังกล่าวสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ขณะที่ยังมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอยู่ในขณะนั้น
พรรคจัดประชุมสามัญใหญ่ของพรรคเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561 เพื่อเลือก หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดแรกจำนวน 25 คนปรากฏว่า อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในรัฐบาลประยุทธ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลประยุทธ์ 1 เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561 อุตตมพร้อมคณะได้เดินทางมายัง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ [9]
ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 มีบุคคลกว่า 150 คนเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ โดยมีทั้งอดีตสมาชิกรัฐสภา อดีตรัฐมนตรีและบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งในจำนวนนี้มีสมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา[10] นักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ[11]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ 4 คนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งเพื่อมาหาเสียงเต็มเวลา หลังถูกวิจารณ์มาหลายเดือน[12]
การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562
พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรีก่อนการเลือกตั้ง เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แม้มีพรรคการเมืองหลายพรรคสนับสนุนประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคพลังประชารัฐถูกมองว่าเป็น "พรรคนิยมประยุทธ์อย่างเป็นทางการ" เพราะแกนนำพรรคหลายคนเป็นรัฐมนตรีและที่ปรึกษาในรัฐบาลประยุทธ์[13][14]
ในการเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้คำมั่นขยายโครงการสวัสดิการ[15] ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐเสนอปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 425 บาท ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นนโยบายประชานิยม ทำไม่ได้จริง หรือทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน แต่พรรคยืนยันว่าสามารถทำได้จริง[16]
พรรคพลังประชารัฐถูกร้องเรียนว่าได้รับการสนับสนุนอย่างลำเอียงจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ[17][18] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 รัฐบาลประยุทธ์อนุมัติงบประมาณอัดฉีดเงินสด 86,700 ล้านบาท[19] ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นการใช้เงินภาษีซื้อเสียง[20] นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐยังถูกกล่าวหาว่ามีการให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเพื่อแลกกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายช่วยเหลือคนยากจนของรัฐบาล[21]
ประยุทธ์ใช้อำนาจเต็มที่ตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว สั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งวาดเขตเลือกตั้งใหม่[22][23][24] นักวิจารณ์ระบุว่า การวาดเขตเลือกตั้งใหม่นี้เอื้อประโยชน์ต่อพรรคพลังประชารัฐ โดยบางคนให้ความเห็นว่า พรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว[25]
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561 พรรคพลังประชารัฐจัดโต๊ะจีนระดมทุนมูลค่า 600 ล้านบาท โดยมีแผนที่ซึ่งมีชื่อหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมด้วย ทำให้มีข้อกังขาว่ามีการใช้เงินภาษีหรือหาผู้บริจาคหรือผู้ซื้อที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวซึ่งอาจต้องมีการตอบแทนในอนาคต[26] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 พรรคเปิดเผยชื่อผู้บริจาคในงานดังกล่าวตามระเบียบ 90 ล้านบาท โดยเป็นชื่อผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม พรรคไม่ได้เปิดเผยแหล่งที่มาของเงินบริจาคที่เหลือ[27] วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562 กกต. เปิดเผยว่า ไม่พบความผิดที่พรรคพลังประชารัฐจัดโต๊ะจีนระดมทุน เนื่องจากไม่พบบุคคลต่างชาติบริจาคเงิน จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องยุบพรรค[28] ทว่าต่อมาสำนักข่าวอิศราพบว่า มีกลุ่มทุนจากประเทศไอซ์แลนด์ถือหุ้นในบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ[29]
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐถูกยื่นคำร้องไต่สวนยุบพรรค เนื่องจากเสนอชื่อประยุทธ์ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามเพราะดำรงตำแหน่งทางการเมือง[30] ต่อมา ผู้ตรวจการแผ่นดินแถลงว่าประยุทธ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และจะไม่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองต่อ[31] วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐถูกยื่นเอาผิดจากกรณีปราศรัยนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาหาเสียง เข้าข่ายความผิดฐานเตรียมทรัพย์สินเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายเลือกตั้ง[32]
ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นพบว่าพรรคพลังประชารัฐได้ สส. มากเกินคาด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครสามารถแย่งที่นั่งจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ทั้งหมด ทำให้ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์ข่าวหุ้น เขียนว่า คนชั้นกลางเก่าอนุรักษนิยมที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์หันไปเลือกพรรคพลังประชารัฐแทน แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์เพราะเกลียดทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ใบตองแห้งยังเขียนว่า พรรคพลังประชารัฐใช้ปัจจัยในการเมืองแบบเก่าเพื่อเอาชนะ คือ นโยบายประชานิยม สส. ที่ดูดจากพรรคอื่น ประกอบกับอำนาจรัฐราชการ นอกเหนือจากฐานเสียงอนุรักษนิยมในต่างจังหวัด องค์ประกอบของรัฐบาลที่อาจเกิดจากพรรคพลังประชารัฐตั้งจะมีองค์ประกอบจะเป็นนักการเมืองทุนท้องถิ่น ย้อนกลับไปเหมือนสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ[33]
ครม. ประยุทธ์ 2
ก่อนมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 มีข่าวแย่งตำแหน่งภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยกลุ่มสามมิตรซึ่งประกอบด้วยสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, สมศักดิ์ เทพสุทิน และอนุชา นาคาศัยแถลงยืนยันว่าตนต้องได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีตามโผในวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งหากไม่ตรงก็จะแสดงจุดยืนอีกครั้ง และมีข่าวกลุ่มสามมิตรพยายามเสนอญัตติขับไล่สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกจากตำแหน่ง เพราะ "เป็นภัยต่อความมั่นคงของพรรคและของรัฐบาลเป็นอย่างสูง ... ไม่ยึดโยงกับ สส. ในพรรค ไม่เห็นหัว สส. ในพรรคแม้แต่คนเดียว ... ท่านทำให้พรรคเราแตกแยก"[34] ก่อนที่ต่อมากลุ่มสามมิตรจะยอมล้มข้อเรียกร้องของตนเองและยอมรับให้ประยุทธ์จัดสรรคณะรัฐมนตรี[35] โดยก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าจะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจากอุตตม เป็นประยุทธ์[36]
ต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐออกมายอมรับว่าต้องชะลอนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาทต่อวัน แม้ก่อนหน้านี้จะยืนยันว่าจะนำนโยบายไปปฏิบัติในระหว่างหาเสียง[37]
1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐจำนวน 18 คนลาออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคชุดเดิมที่ทำหน้าที่อยู่พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามข้อบังคับพรรค[38] ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 พรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2563 ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมีการแก้ไขเพื่อปรับเปลี่ยนรูปเครื่องหมายพรรคการเมือง และย้ายที่ทำการพรรคแห่งใหม่ไปยังอาคารรัชดาวัน ถนนรัชดาภิเษก ตรงข้ามศาลอาญา และมีการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค อนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค และพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ เป็นโฆษกพรรค[39]

การเลือกตั้ง พ.ศ. 2566
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 มีการปรับกระบวนทัศน์การทำงานด้านสื่อสารของ พปชร. โดยปรับภาพลักษณ์ของ พล.อ. ประวิตร หัวหน้าพรรค ให้เป็นนายทหารประชาธิปไตย เข้าถึงได้กับทุกกลุ่ม[40] เดือนมกราคมปีถัดมาอุตตมและสนธิรัตน์ได้กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ เดือนมีนาคมปีเดียวกันมีภาพพลเอกประวิตรพบกับภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร เขากล่าวว่าจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก[41] เดือนถัดมาพลเอกประวิตรสมัครเป็น สส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่ง และเขายังเป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยเพียงคนเดียวของพรรคด้วย โดยพรรคมีนโยบายไม่แก้ไขและไม่ร่วมกับพรรคที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112[42]
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 พลเอกประวิตรได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ในวันเดียวกัน ทางพรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 3/2566 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งอรรถกร ศิริลัทธยากร สส. ฉะเชิงเทรา ได้เสนอชื่อ พลเอกประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคเพียงชื่อเดียว ทำให้พลเอกประวิตรได้เป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคได้มีการเสนอชื่อ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สส. พะเยา เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่เพียงชื่อเดียวเช่นเดียวกัน ทำให้ร้อยเอกธรรมนัสได้เป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 2 นอกจากนี้ พลเอกประวิตรได้มีคำสั่งแต่งตั้งพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ น้องชายของพลเอกประวิตรเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค และวราเทพ รัตนากร อดีต สส. กำแพงเพชร เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพรรค[43]
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566 นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากสมาชิกพรรคและทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงเหรัญญิกพรรคด้วย โดยให้เหตุผลว่าตนได้ทำหน้าที่เหรัญญิกพรรคครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว[44] เดือนสิงหาคมปีถัดมาเธอได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคกล้าธรรม[45] ในเดือนเดียวกันหลังแพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ธรรมนัสได้ประกาศแยกทางกับพลเอกประวิตร พร้อมนำ สส. จำนวนหนึ่งขอร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย[46][47][48] และหลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยก็ได้มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64[49]
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ร้อยเอกธรรมนัส และ สส. ในกลุ่มอีก 5 คน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้น เมื่อวันที่ 6 กันยายน พลเอกประวิตรจึงประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกลางที่ประชุมใหญ่สามัญของพรรค เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จำนวน 19 คน
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2567 พรรคได้เปิดศูนย์นโยบายและวิชาการ โดยมีอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคคนแรกเป็นหัวหน้าศูนย์ และมีสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคคนแรกเป็นทีมงานร่วม
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567 คณะกรรมการบริหารพรรคได้มีมติขับ สส. กลุ่มธรรมนัส ออกจากพรรค โดยให้เหตุผลว่ามีแนวความคิดและอุดมการณ์ที่ต่างกัน[50] ก่อนมีมติขับออกจากพรรคอย่างสมบูรณ์โดยที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารและ สส. ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 12 ธันวาคม[51]
Remove ads
บุคลากร
หัวหน้าพรรค
เลขาธิการพรรค
กรรมการบริหารพรรค
บุคลากรของพรรคในตำแหน่งอื่น ๆ
- ผู้อำนวยการสำนักงานพรรค – วราเทพ รัตนากร
- ประธานที่ปรึกษาพรรค – พลตํารวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ
กลุ่มย่อยในพรรค
- กลุ่ม กปปส. นำโดย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ สกลธี ภัททิยกุล
- กลุ่มชลบุรี นำโดย สนธยา คุณปลื้ม (ต่อมาย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทย)
- กลุ่มธรรมนัส นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า (ต่อมาย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม)
- กลุ่มบ้านริมน้ำ นำโดย สุชาติ ตันเจริญ (ต่อมาย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทย)
- กลุ่มเพชรบูรณ์ นำโดย สันติ พร้อมพัฒน์
- กลุ่มสามมิตร นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน (ต่อมาย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทย)
- กลุ่มอัศวเหม นำโดย วัฒนา อัศวเหม[52]
Remove ads
การเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งทั่วไป
ผลการเลือกตั้งซ่อม
Remove ads
ข้อวิจารณ์
สรุป
มุมมอง
ความขัดแย้งกับธรรมนัส
ครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2565)
19 มกราคม พ.ศ. 2565 ผู้สื่อข่าวการเมืองรวมถึงสายทหารหลายราย ได้ออกรายงานตรงกันว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยสมาชิกในสังกัดอีก 20 คน ได้พร้อมใจกันยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทั้งหมดถูกเรียกประชุมด่วนที่มูลนิธิป่ารอยต่อหลังจากประชุมสภาล่มเมื่อเวลา 17.45 น.[53] จนในเวลา 20.21 น. มีรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พร้อม สส. ในสังกัดอีก 20 คน ได้เปลี่ยนไปยื่นขอมติขับออกจากพรรคแทนการลาออก เพื่อให้ตนและ สส. สามารถสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ใน 60 วัน ตามกฎหมาย และคณะกรรมการพร้อมสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มีมติ 78 เสียง ให้ขับ ร.อ.ธรรมนัส พร้อม สส. ในสังกัดอีก 20 คน ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคทันที ฐานสร้างความขัดแย้งและแตกแยกในพรรค[54] ความตอนหนึ่ง พลเอกประวิตร กล่าวว่า "ยอม ๆ ไปเหอะ ถ้าอยากออกก็ให้ออกไป จะได้สงบ พรรคจะได้เดินต่อ"[55]
เอกรัฐ ตะเคียนนุช ผู้สื่อข่าวช่องวัน 31 ณ ขณะนั้น คาดการณ์บนแฟนเพจส่วนตัวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นชนวนความขัดแย้งตั้งแต่ครั้งที่พลเอกประยุทธ์ ใช้คำสั่งปลดร้อยเอกธรรมนัสออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้ฝ่ายร้อยเอกธรรมนัสกับฝ่ายพลเอกประยุทธ์ไม่ลงรอยกันนับตั้งแต่นั้น และใจจริง ธรรมนัส และสมาชิกทั้งหมด "จะลาออก" เพื่อให้ตัวเองขาดคุณสมบัติการเป็น สส. ซึ่งจะเป็นผลให้รัฐบาลขาดความเสถียรภาพจากที่ไม่ค่อยเสถียรภาพอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประวิตรไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเจรจากับธรรมนัสให้อยู่ต่อเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ผลสุดท้าย ธรรมนัสขอเปลี่ยนจากลาออกเป็นขอมติขับออกจากพรรคแทน[56] หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ร.อ.ธรรมนัส พร้อม สส. ทั้ง 20 คน จะย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมีข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะมี วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นคนสนิทใกล้ชิดของประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค[57]
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 เกิดความขัดแย้งระหว่างพลเอกประวิตรและพลเอกประยุทธ์ในพรรคพลังประชารัฐ[58] และต่อมาพลเอกประยุทธ์ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2566[59] เวลาต่อมาธรรมนัสได้กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ[60]
รายชื่อ สส. ที่พรรคมีมติขับออกจากพรรค[61]
ย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย
- ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา
- นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
- นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร
- นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา
- นายปัญญา จีนาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน
- นายวัฒนา สิทธิวัง ส.ส.ลำปาง
- นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ส.ส.ตาก
- นายภาคภูมิ บุญประมุข ส.ส.ตาก
- นายพรชัย อินทร์สุข ส.ส.พิจิตร
- นายสมศักดิ์ คุณเงิน ส.ส.ขอนแก่น
- นายเกษม ศุภรานนท์ ส.ส.นครราชสีมา
- นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.นครราชสีมา
- นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ ส.ส.ชลบุรี
- นายณัฏฐพล จรัสรพีพงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์) ส.ส.สุรินทร์
- นางสาวจอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ส.ส.สมุทรสาคร
- นายยุทธนา โพธสุธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ
- พลตำรวจตรี ยงยุทธ เทพจำนงค์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
- นายธนะสิทธิ์ โควสุรัตน์ ส.ส.อุบลราชธานี
ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
- นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา
- นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ
- นายวัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น
ครั้งที่สอง (พ.ศ. 2567)
ความขัดแย้งระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับกลุ่มของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการส่งรายชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีแพทองธาร ปรากฎว่าไม่มีชื่อของร้อยเอกธรรมนัส และตำแหน่งรัฐมนตรีเดิมของธรรมนัสถูกแทนที่ด้วยชื่อของ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในคณะรัฐมนตรีเศรษฐา โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ด้วยตนเองเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว[62] ต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม มีการแถลงต่อสื่อมวลชน โดยประกาศแยกทางกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ[63] จากนั้นมีการรวบรวม สส.พรรคพลังประชารัฐที่เข้าร่วมกับร้อยเอกธรรมนัส 29 คน และ สส.จากพรรคเล็กอีก 5 คน เพื่อยื่นชื่อรัฐมนตรีในสัดส่วนของตนในวันถัดไป[64] แต่ในเวลาต่อมา มีสมาชิกกลุ่มธรรมนัสถอนตัวออกจากกลุ่ม ทำให้มีสมาชิกกลุ่มเหลือ 20 คน
หนึ่งสัปดาห์ถัดจากนั้นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64[65] ต่อมาร้อยเอกธรรมนัสพร้อมกับไผ่ ลิกค์, อรรถกร ศิริลัทธยากร, บุญยิ่ง นิติกาญจนา, สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ และบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ได้ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ[66]
11 ธันวาคม พ.ศ. 2567 พรรคพลังประชารัฐมีมติขับ สส.กลุ่มธรรมนัสทั้ง 20 คนออกจากพรรค เหตุจากแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกพรรคท่านอื่น เกินกว่าจะแก้ไขและทำความเข้าใจให้เป็นไปแนวทางเดียวกันได้[50] และในวันถัดมา ที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารและ สส. ก็ได้มีมติขับ สส. กลุ่มธรรมนัสทั้ง 20 คนออกจากพรรคตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเป็นทางการ[51]
รายชื่อ สส. ที่พรรคมีมติขับออกจากพรรค
- ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา เขต 1
- นายจตุพร กมลพันธ์ทิพย์ สส.ราชบุรี เขต 3
- นายจำลอง ภูนวนทา สส.กาฬสินธุ์ เขต 3
- นายจีรเดช ศรีวิราช สส.พะเยา เขต 3
- นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา เขต 4
- นายชัยทิพย์ กมลพันธ์ทิพย์ สส.ราชบุรี เขต 5
- นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ สส.เชียงใหม่ เขต 9
- นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.ราชบุรี เขต 2
- นายปกรณ์ จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน เขต 1
- นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร เขต 1
- นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ สส.กำแพงเพชร เขต 2
- นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข สส.ตาก เขต 3
- นางรัชนี พลซื่อ สส.ร้อยเอ็ด เขต 3
- นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี เขต 10
- นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 3
- นายองอาจ วงษ์ประยูร สส.สระบุรี เขต 4
- นายอนุรัตน์ ตันบรรจง สส.พะเยา เขต 2
- นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา เขต 2
- นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ เขต 7
- นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2
การแบ่งฝ่ายในการร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ
ในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64 พรรคพลังประชารัฐได้มีการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายของธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ กลุ่มธรรมนัส มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 20 คน ซึ่งเป็นฝ่ายร่วมรัฐบาล และฝ่ายของประวิตร วงษ์สุวรรณ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน
คำร้องคัดค้านการเป็น สส.
15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 มีเอกสารที่นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครั้งที่ 1 ปรากฏว่ามี ว่าที่ สส. ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขต ที่มีเรื่องร้องคัดค้าน มีรายงานว่า เอกสารดังกล่าวอาจเป็นเอกสารสรุปของฝ่ายปฏิบัติการ แจ้งเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ที่ยังไม่ได้นำเสนอต่อที่ประชุม กกต.[67] โดยพรรคพลังประชารัฐถูกร้องคัดค้านทั้งสิ้น 14 คน ดังนี้
แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ประกาศรับรอง สส. ทั้ง 500 คนก่อน โดยได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
Remove ads
การแยกไปตั้งพรรค
พรรคพลังประชารัฐเคยมีสมาชิกพรรคที่ย้ายไปร่วมงานกับพรรคอื่น ดังนี้
- พรรคเศรษฐกิจไทย นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า (ต่อมาได้นำสมาชิกกลับเข้าพรรคในปี พ.ศ. 2566 ส่วนพรรคได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคกล้าธรรม)
- พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐเมื่อปี พ.ศ. 2562
- พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย อุตตม สาวนายน (ต่อมาได้นำสมาชิกกลับเข้าพรรคในปี พ.ศ. 2566)
- พรรคเพื่อประชาชน นำโดย ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข (ปัจจุบันปรีชาได้ย้ายไปเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ)
Remove ads
หมายเหตุ
ดูเพิ่มเติม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads