คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63

อดีตคณะรัฐมนตรีไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63
Remove ads

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 (1 กันยายน พ.ศ. 2566 – 3 กันยายน พ.ศ. 2567) เป็นคณะรัฐมนตรีไทยซึ่งจัดตั้งขึ้นภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ส่งผลให้ไม่มีพรรคใดครองเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา

ข้อมูลเบื้องต้น คณะรัฐมนตรีเศรษฐา, วันแต่งตั้ง ...

ในระยะแรก พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสมโดยรวบรวมเสียงพรรคการเมืองจำนวน 6 พรรค ต่อมาเพิ่มเป็น 8 พรรค และลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน เพื่อเสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แต่พิธาได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด พรรคก้าวไกลจึงมอบสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาลให้กับพรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทยได้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจดังกล่าว จากนั้นรวบรวมเสียงพรรคการเมืองในรอบใหม่ ได้จำนวน 11 พรรค และเสนอชื่อเศรษฐา ทวีสิน อดีตประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

เศรษฐาได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566[1] และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในวันเดียวกัน[2] ต่อมามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน[3] โดยเศรษฐาได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 5 กันยายน[4] และแถลงนโยบายต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเริ่มต้นการบริหารรัฐกิจเมื่อวันที่ 11 และ 12 กันยายน[5]

เศรษฐาถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ[6] ยกเว้นเศรษฐา คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง โดยมีภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี[7] และสิ้นสุดลงในทางพฤตินัยเมื่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้นำคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64 ที่แต่งตั้งใหม่เมื่อวันที่ 3 กันยายน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้ารับหน้าที่เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคก้าวไกล

Thumb
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมด้วยพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 พรรคก้าวไกลซึ่งได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับที่ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในครั้งแรก โดยชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาล รวบรวมพรรคการเมืองซึ่งเคยเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านในรัฐบาลชุดก่อนหน้าทั้งหมดที่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเสรีรวมไทย[8] และยังมีพรรคที่เข้าร่วมเพิ่มเติมภายหลังได้แก่ พรรคเป็นธรรม[9] พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเพื่อไทรวมพลัง[10] โดยมีการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งทั้ง 8 พรรคมีมติสนับสนุนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย, จัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ[11] และจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการจัดตั้งรัฐบาลด้วยวิธีนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย[12] จากนั้นมีข่าวว่าพรรคใหม่และพรรคชาติพัฒนากล้าได้ตกลงเข้าร่วมรัฐบาลด้วย แต่ถูกคัดค้านจากประชาชนจึงถอนตัวในเวลาต่อมา[13][14]

บันทึกความเข้าใจจัดตั้งรัฐบาล

ทั้ง 8 พรรคได้ลงนามบันทึกความเข้าใจจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 9 ปีของเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลารัฐประหาร[12] โดยบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยึดหลักการผลักดันนโยบายที่ไม่กระทบรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดไม่ได้ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึง ไม่มีวาระการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อยู่ในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้[15] ประกอบด้วยวาระร่วม 23 ข้อ และแนวทางปฏิบัติ 5 ข้อ ซึ่งบรรจุประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ, สมรสเท่าเทียม, การปฏิรูปกองทัพและตำรวจ, การเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ, การกระจายอำนาจ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นต้น[16]

การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทย

ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีรอบแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พิธาได้รับการลงมติเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพียง 324 เสียง ซึ่งไม่ถึง 376 เสียงตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดไว้[17] และวันที่ 19 กรกฎาคม มีการเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่รัฐสภามีมติให้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีถือเป็นญัตติซ้ำ ทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อพิธาได้อีกในสมัยประชุมเดียวกัน[18] สองวันถัดมา ชัยธวัชจึงประกาศมอบสิทธิ์ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน โดยกล่าวว่ามีกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับตนไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ[19]

วันรุ่งขึ้น พรรคเพื่อไทยจึงได้เริ่มต้นเจรจากับพรรคภูมิใจไทย[20] พรรคชาติพัฒนากล้า[21] และพรรครวมไทยสร้างชาติ[22] และวันถัดมาเจรจากับพรรคชาติไทยพัฒนา[23] และพรรคพลังประชารัฐ[24] ซึ่งทั้ง 5 พรรคระบุตรงกันว่าไม่ร่วมรัฐบาลที่มีพรรคการเมืองที่มีนโยบายยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พรรคเพื่อไทยประกาศเสนอชื่อเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาลงมติ[25] จากนั้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกล[26] และเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีเงื่อนไขไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่นำพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล[27] จากนั้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม มีพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยเพิ่มเติมคือ พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย[28] และวันถัดมาเพิ่มพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามาด้วย[29] ต่อมามีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ และอาจดึงมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งขัดกับหลักการที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน[30] พรรคก้าวไกลจึงมีมติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมว่า จะไม่สนับสนุนให้บุคคลที่ได้รับเสนอชื่อจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี[31] วันเดียวกัน พรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อเศรษฐาให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี[32] สองวันถัดมาพรรครวมไทยสร้างชาติแถลงร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย[33]

และเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยได้นำพรรคการเมืองทั้งหมดที่ตกลงเข้าร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ รวมจำนวน 11 พรรค มาร่วมกันแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการจัดสรรกระทรวงภายในพรรคร่วมตามสัดส่วน และทุกพรรคตกลงที่จะร่วมผลักดันนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย เช่น โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท, การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ, การเกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ[34] สุดท้าย ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เศรษฐาได้รับการลงมติเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา เป็นจำนวน 482 ต่อ 165 เสียง งดออกเสียง 81 เสียง ส่งผลให้เศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย[35]

การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่[3] โดยการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ในครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 110 วัน นับเป็นคณะรัฐมนตรีที่ใช้เวลาจัดตั้งนานที่สุดในประวัติศาสตร์คณะรัฐมนตรีไทย

พรรคเพื่อไทยได้สัดส่วนผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดนี้มากที่สุด จำนวน 17 คน 20 ตำแหน่ง รองลงมาเป็นพรรคภูมิใจไทย 8 คน 9 ตำแหน่ง, พรรครวมไทยสร้างชาติ 4 คน 5 ตำแหน่ง (รวมโควตาบุคคลภายนอก), พรรคพลังประชารัฐ 3 คน 4 ตำแหน่ง, พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาชาติ พรรคละ 1 คน 1 ตำแหน่ง ทั้งนี้ เศรษฐาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพิ่มอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด (41 ปี) ขณะที่เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีที่อายุมากที่สุด (77 ปี)[36] และมีผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีที่เป็นสตรีจำนวน 5 คน[37]

วันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13:53 น. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมจำนวน 34 คน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่[38] จากนั้นในวันรุ่งขึ้นได้มีการประชุมนัดพิเศษ[39] ก่อนเข้าแถลงนโยบายต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเริ่มต้นการบริหารรัฐกิจเมื่อวันที่ 11 และ 12 กันยายน[5] และได้เริ่มประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 กันยายน[40]

การปรับคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 มีการปรับคณะรัฐมนตรีเพียงครั้งเดียว คือเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567 มีรัฐมนตรีถูกปรับออก 4 คน ถูกโยกย้าย 6 คน และแต่งตั้งเพิ่ม 8 คน[41] แต่ในวันถัดมามีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง 1 คน จึงมีการแต่งตั้งเพิ่มเมื่อวันที่ 30 เมษายน[42] และจากการปรับคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทำให้จิราพร สินธุไพร เป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ (36 ปี) แทนสุดาวรรณในทันที[43] โดยเศรษฐาได้นำรัฐมนตรีที่แต่งตั้งใหม่ในครั้งนี้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม เวลา 18:05 น.[44]

การสิ้นสุดของคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีคณะนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีทูลเกล้าฯ แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่พิชิตเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี[45] ทำให้เศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทันที และเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง แต่ในระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีทั้งหมดยกเว้นตัวนายกรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งไปก่อน โดยมีภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และสิ้นสุดลงในทางพฤตินัยเมื่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้นำคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64 ที่แต่งตั้งใหม่เมื่อวันที่ 3 กันยายน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณและเข้ารับหน้าที่เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน

Remove ads

รายชื่อรัฐมนตรี

สรุป
มุมมอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดำรงตำแหน่งเมื่อตั้งคณะรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งจนสิ้นสุดคณะรัฐมนตรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแต่งตั้งเพิ่มเปลี่ยนแปลง/โยกย้ายไปตำแหน่งอื่น
รัฐมนตรีลอยย้ายมาจากตำแหน่งอื่นออกจากตำแหน่ง
ตำแหน่งลำดับรายนามเริ่มวาระสิ้นสุดวาระหมายเหตุพรรคการเมือง
นายกรัฐมนตรี*เศรษฐา ทวีสิน22 สิงหาคม พ.ศ. 256614 สิงหาคม พ.ศ. 2567พ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไทย
ภูมิธรรม เวชยชัย14 สิงหาคม พ.ศ. 256716 สิงหาคม พ.ศ. 2567ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพื่อไทย
รองนายกรัฐมนตรี 1ภูมิธรรม เวชยชัย1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
สมศักดิ์ เทพสุทิน1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อไทย
ปานปรีย์ พหิทธานุกร1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567คงเหลือเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อไทย
2สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
3พิชัย ชุณหวชิร27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย[a]
4อนุทิน ชาญวีรกูล1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
5พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567พลังประชารัฐ
6พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567รวมไทยสร้างชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี พวงเพ็ชร ชุนละเอียด1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเพื่อไทย
7จักรพงษ์ แสงมณี27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
พิชิต ชื่นบาน27 เมษายน พ.ศ. 256721 พฤษภาคม พ.ศ. 2567ลาออกจากตำแหน่งเพื่อไทย
9จิราพร สินธุไพร27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
กลาโหม 10สุทิน คลังแสง1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
การคลัง เศรษฐา ทวีสิน1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567คงเหลือเฉพาะนายกรัฐมนตรีเพื่อไทย
*พิชัย ชุณหวชิร27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย[a]
กฤษฎา จีนะวิจารณะ1 กันยายน พ.ศ. 25668 พฤษภาคม พ.ศ. 2567ลาออกจากตำแหน่งรวมไทยสร้างชาติ[b]
12จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
13เผ่าภูมิ โรจนสกุล27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
การต่างประเทศ ปานปรีย์ พหิทธานุกร1 กันยายน พ.ศ. 256628 เมษายน พ.ศ. 2567ลาออกจากตำแหน่งเพื่อไทย
14มาริษ เสงี่ยมพงษ์30 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
จักรพงษ์ แสงมณี1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อไทย
การท่องเที่ยวและกีฬา สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อไทย
15เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 16วราวุธ ศิลปอาชา1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ชาติไทยพัฒนา
การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 17ศุภมาส อิศรภักดี1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
เกษตรและสหกรณ์ 18ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567พลังประชารัฐ
ไชยา พรหมา1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเพื่อไทย
อนุชา นาคาศัย1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีรวมไทยสร้างชาติ
19อรรถกร ศิริลัทธยากร27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567พลังประชารัฐ
คมนาคม *สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
20มนพร เจริญศรี1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
21สุรพงษ์ ปิยะโชติ1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย[a]
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 22ประเสริฐ จันทรรวงทอง1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม *พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567พลังประชารัฐ
พลังงาน *พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567รวมไทยสร้างชาติ
พาณิชย์ *ภูมิธรรม เวชยชัย1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
23นภินทร ศรีสรรพางค์1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
24สุชาติ ชมกลิ่น27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567รวมไทยสร้างชาติ
มหาดไทย *อนุทิน ชาญวีรกูล1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
25ทรงศักดิ์ ทองศรี1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
26ชาดา ไทยเศรษฐ์1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
27เกรียง กัลป์ตินันท์1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
ยุติธรรม 28พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ประชาชาติ
แรงงาน 29พิพัฒน์ รัชกิจประการ1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
วัฒนธรรม เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อไทย
30สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
ศึกษาธิการ 31พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
32สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567ภูมิใจไทย
สาธารณสุข ชลน่าน ศรีแก้ว1 กันยายน พ.ศ. 256627 เมษายน พ.ศ. 2567พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเพื่อไทย
33สมศักดิ์ เทพสุทิน27 เมษายน พ.ศ. 25673 กันยายน พ.ศ. 2567เพื่อไทย
34สันติ พร้อมพัฒน์1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567พลังประชารัฐ
อุตสาหกรรม 35พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล1 กันยายน พ.ศ. 25663 กันยายน พ.ศ. 2567รวมไทยสร้างชาติ

หมายเหตุ:

  1. ถูกทาบทามเข้ามาในโควตาบุคคลภายนอกของพรรคเพื่อไทย
  2. ถูกทาบทามเข้ามาในโควตาบุคคลภายนอกของพรรครวมไทยสร้างชาติ

คณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/1[3]

ดำรงตำแหน่งเมื่อตั้งคณะรัฐมนตรี

ภายหลัง

ถูกปรับออกจากตำแหน่ง

รัฐมนตรีจำนวน 6 ราย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี มีผลวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

คณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/2[46]

โยกย้าย

แต่งตั้งเพิ่ม

ภายหลัง

ลาออก

มีรัฐมนตรีจำนวน 3 ราย ขอลาออกจากตำแหน่ง ดังนี้

แต่งตั้งเพิ่ม
Remove ads

นโยบาย

สรุป
มุมมอง

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 ได้เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 และ 12 กันยายน[5] โดยมีนโยบายระยะเร่งด่วน 5 นโยบาย ดังนี้

  1. โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
  2. การแก้ปัญหาหนี้สินในภาคการเกษตร ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน เช่น การพักหนี้เกษตรกร การประคองภาระหนี้ให้กับกลุ่มเอสเอ็มอี
  3. การลดค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง และปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน โดยเน้นส่งเสริมพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน
  4. การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เช่น ปรับปรุงขั้นตอนการตรวจลงตราก่อนเข้าประเทศ เพิ่มสนามบินและเที่ยวบินเข้าประเทศไทย
  5. การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่มีการปรับแก้เนื้อหาในหมวดบททั่วไป และหมวดพระมหากษัตริย์

ส่วนนโยบายระยะกลางและระยะยาว เน้นการสร้างรายได้ โอกาส และคุณภาพชีวิตเป็นหลัก โดยแตกย่อยได้เป็นอย่างน้อย 22 นโยบาย นโยบายที่สำคัญในกลุ่มนี้ เช่น การยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค, การพัฒนากองทัพ ซึ่งเน้นการปรับรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นแบบสมัครใจ, 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์ เป็นต้น[51]

ข้อเท็จจริง

นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 เริ่มทำงาน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนในนโยบายของรัฐบาลอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน กล่าวคือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่เคยตกต่ำลงเนื่องจากนโยบายของรัฐบาล แต่โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น[52] ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567 ตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,332.08 จุด ลดลง 14.934% นับจากปิดตลาดในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 17.00 น.[53]

แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 แต่ภายหลังที่รักษาการสมาชิกวุฒิสภาชุดดังกล่าวจำนวน 40 คน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็ส่อให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างรักษาการสมาชิกวุฒิสภากับนายกรัฐมนตรี โดยศาลอาจสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่งในกรณีการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน

ข้อวิจารณ์

Remove ads

ฉายารัฐบาล

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 ได้รับการตั้งฉายาเพียงปีเดียว คือในปี พ.ศ. 2566 ดังนี้[54]

  • ฉายารัฐบาล : แกง​ส้ม​ "ผลัก" รวม
  • ฉายารัฐมนตรี :
    1. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง : เซลล์แมนสแตนด์ "ชิน"
    2. ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ : รองกอง
    3. สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม : พลิกทินสู่ดาว
    4. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงยุติธรรม : ทวี สอดไส้
    5. ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย : มาเฟียละเหี่ยใจ
  • วาทะแห่งปี : ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads