คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
อดีตพระมหากษัตริย์กัมพูชา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (เขมร: នរោត្ដម សីហនុ; นโรตฺฎม สีหนุ ออกเสียง โนโรด็อม สีหนุ[1]) พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 112 แห่งชนชาติกัมพูชา
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
พระองค์ถือเป็นผู้นำที่มีความซับซ้อนที่สุดคนหนึ่งของเอเชียอาคเนย์ พระองค์สร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติในช่วงที่กัมพูชากำลังแสวงหาเอกราชจากฝรั่งเศส พระองค์เชื่อมโยงขนบขอมกับกระแสชาตินิยม ทำให้สถาบันกษัตริย์กลายเป็นศูนย์กลางที่ประชาชนยึดถือเพื่อนำไปสู่การได้รับเอกราช การได้รับเอกราชในปี 1953 ผ่านการเจรจาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มิใช่ผ่านการใช้กำลังเหมือนหลายประเทศ แสดงถึงทักษะทางการเมืองและการทูตที่โดดเด่น
แต่ความสำเร็จดังกล่าวทำให้พระองค์เริ่มเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป ถึงขั้นมองว่าตนคือผู้เดียวที่สามารถนำพาและปกป้องประเทศ แต่ตำแหน่งกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็จำกัดให้ต้องวางองค์อยู่เหนือการเมือง ด้วยเหตุนี้ในปี 1955 พระองค์จึงยอมสละราชสมบัติให้บิดา แล้วก่อตั้งพรรคสังคมราษฎรนิยม ได้รับที่นั่งเกือบทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ตั้งแต่ปี 1953 สีหนุดำเนินนโยบายปราบขบวนการฝ่ายซ้าย มีการกวาดล้างปัญญาชนแนวสังคมนิยมและการควบคุมสื่อและการศึกษา กลุ่มนักศึกษาที่จบจากยุโรปซึ่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างต้องหลบหนี นโยบายเข้มข้นขึ้นหลังปี 1957 มีการปิดหนังสือพิมพ์ มีการจับกุม ข่มขู่ อุ้มหาย จนฝ่ายซ้ายไม่กล้าลงสมัครเลือกตั้ง สนามการเมืองเหลือแต่ฝ่ายขวา ส่งผลให้ขบวนการฝ่ายซ้ายต้องหันไปเคลื่อนไหวใต้ดิน จนเริ่มก่อตัวเป็นเขมรแดง[2]
ตั้งแต่ปี 1960 สงครามเวียดนามทวีความรุนแรง สีหนุใช้กลยุทธ์วางตัวเป็นกลาง โดยยอมรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากทั้งสหรัฐและจีน ต่อมาสีหนุประเมินว่าเวียดนามเหนือมีโอกาสชนะสูง จึงเลิกร่วมมือและเลิกรับเงินจากสหรัฐในปี 1963 แล้วเพิ่มสัมพันธ์กับจีนและโซเวียต โดยยอมให้เวียดนามเหนือใช้แผ่นดินกัมพูชาเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธ แลกกับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากค่ายคอมมิวนิสต์และคำมั่นว่าจะไม่รุกรานกัมพูชา แต่ถึงแม้สีหนุประเมินอนาคตของสงครามเวียดนามได้ถูกต้อง แต่แนวทางประจบประแจงเวียดนามเหนือทำให้สีหนุค่อยๆสูญเสียอิทธิพลในสภาซึ่งเต็มไปด้วยฝ่ายขวา ท้ายที่สุดในปี 1970 ขณะที่สีหนุเยือนฝรั่งเศสก็ถูกสภาลงมติถอดถอน กัมพูชาตกอยู่ใต้อำนาจของลอน นอล ซึ่งสนับสนุนสหรัฐ สีหนุจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ปักกิ่งและยอมร่วมมือกับจีนคอมมิวนิสต์ซึ่งอุ้มชูเขมรแดง สีหนุจึงเริ่มทำกิจกรรมกับเขมรแดง อดีตกษัตริย์ผู้มีบารมีอย่างพระองค์สามารถดึงดูดผู้คนมากมายเข้าร่วมกับเขมรแดง จนพัฒนาจากกองโจรขนาดเล็กเป็นกองกำลังขนาดใหญ่[3]
เขมรแดงยึดพนมเปญในปี 1975 สีหนุเดินทางกลับกัมพูชาในฐานะประมุขแห่งรัฐในเชิงสัญลักษณ์ แต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือพล พต ซึ่งก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนนับล้าน สีหนุรักษาชีวิตไว้ได้เพราะอิทธิพลของจีน สี่ปีต่อมาเมื่อเวียดนามเข้ายึดพนมเปญและโค่นเขมรแดง สีหนุถูกปล่อยตัวออกนอกประเทศ เขากลายเป็นผู้นำพลัดถิ่นอีกครั้งและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศกว่าสิบปี โดยจีนและเกาหลีเหนือยังคงให้การสนับสนุนเขาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาหลังมีสนธิสัญญาสันติภาพปารีส 1991 เขาได้กลับกัมพูชาในฐานะผู้นำที่ทุกฝ่ายยอมรับ
พระองค์ทรงเป็น "ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากมายที่สุดในโลก"[4][5][6][7] กล่าวคือ เป็นพระมหากษัตริย์ 2 สมัย เป็นประมุขแห่งรัฐที่มิใช่ในฐานะกษัตริย์ 2 สมัย ประธานาธิบดี 1 สมัย นายกรัฐมนตรี 2 สมัย และประมุขรัฐบาลพลัดถิ่นอีก 1 สมัย
Remove ads
พระราชประวัติ
สรุป
มุมมอง
พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จพระราชสมภพเมี่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1922 ที่พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ มีพระยศแต่เดิมว่า นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ เป็นพระราชโอรสพระองค์แรกและพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต ที่พระราชสมภพแต่พระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์มุนีวงศ์ กุสุมะนารีรัตน์เสรีวัฒนา มีพระอนุชาและขนิษฐาต่างมารดา ได้แก่ พระองค์เจ้านโรดม วิชรา, สมเด็จกรมขุนนโรดม สิริวุธ และพระองค์เจ้านโรดม ปรียาโสภณ[8] ที่ประสูติแต่คุณเทพกัญญาโสภา (คิม อันยิป)[9]
พระองค์สืบเชื้อสายจากสองราชสกุล ได้แก่ ราชสกุลนโรดม กับ ราชสกุลสีสุวัตถิ์ สองราชสกุลที่ขัดแย้งกันในพระราชวงศ์ การที่พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต แห่งราชสกุลนโรดม และสมเด็จพระมหากษัตริยานีสีสุวัตถิ์ กุสุมะ นารีรัตน์ สิริวัฒนา แห่งราชสกุลสีสุวัตถิ์ นั้นทำให้พระองค์ทรงเป็นเสมือนผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างสองราชสกุลให้ยุติลงและหันมาปรองดองกัน[10]
สมเด็จกรมพระนโรดม สุทธารส และพระองค์เจ้านโรดม พงางาม เจ้าปู่และเจ้าย่าของพระองค์ เป็นพระราชบุตรต่างมารดาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร โดยเจ้าปู่ สมเด็จกรมพระนโรดม สุทธารส ประสูติแต่คุณจอมเอี่ยมบุษบา สตรีชาวไทยจากสกุลอภัยวงศ์[11] ส่วนเจ้าย่า พระองค์เจ้านโรดม พงางาม ประสูติแต่เจ้าจอมมารดานวล[11] ดังนั้นพระองค์นับเป็นพระญาติชั้นที่ 2 ของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงอุบัติในสกุลอภัยวงศ์ และพระญาติชั้นที่ 3 ของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา พระราชธิดาในในรัชกาลที่ 6 ผ่านทางคุณจอมเอี่ยมบุษบา ผู้เป็นทวดของพระองค์[12][13]
ส่วนเจ้าตาคือ พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ กษัตริย์รัชกาลก่อนหน้า ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ ส่วนพระอัยยิกาฝ่ายพระชนนีคือ นักองมจะ นโรดม กาญจนวิมาน นรลักขณเทวี พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์[14]
Remove ads
กษัตริย์ใต้อำนาจฝรั่งเศส
สรุป
มุมมอง
เหตุแห่งการครองราชย์
หลังจากพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ เสด็จสวรรคตเมื่อปี 1941 ทางวิชีฝรั่งเศสได้คัดเลือกรัชทายาทไว้ 5 พระองค์ตามลำดับ คือ กรมพระสีสุวัตถิ์ มุนีเรศ กรมพระนโรดม สุทธารส นักองเจ้านโรดม สุรามฤต พระองค์เจ้านโรดม นรินทเดช และนักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ
กรมพระสีสุวัตถิ์ มุนีเรศ รัชทายาทลำดับแรก และกรมพระนโรดม สุทธารส รัชทายาทลำดับสอง ค่อนข้างมีแนวคิดต่อต้านฝรั่งเศสจึงถูกตัดสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ ส่วนรัชทายาทลำดับที่สามนักองเจ้านโรดม สุรามฤต และพระองค์เจ้านโรดม นรินทเดช ก็ทรงถูกฝรั่งเศสข้ามลำดับเช่นเดียวกัน ฝรั่งเศสตัดสินใจมอบราชบัลลังก์ให้แก่นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ ในวัยเพียง 18 ปีด้วยเห็นว่าไม่มีเครือข่ายอำนาจ ขาดประสบการณ์ทางการเมือง น่าจะควบคุมพระองค์ได้ง่าย
ครองราชย์ครั้งแรก

ฝรั่งเศสถวายราชสมบัติให้แก่นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ ที่กำลังศึกษาที่โรงเรียนฌาส์ลูว์-โลบา (Lycée Chasseloup-Laubat) นครไซ่ง่อน นักองราชวงศ์นโรมดม สีหนุ จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 1941 ทำให้การสืบราชสันตติวงศ์ของกัมพูชากลับมายังสายของพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ หรือนักองราชาวดีอีกครั้งหนึ่ง[15]
ความที่พระองค์ไม่มีฐานอำนาจทางการเมือง ช่วงแรกการบริหารราชการแผ่นดินจึงอยู่ในมือของออกญาวังวรเวียงชัย (จวน) เสนาบดีผู้ภักดีต่อการปกครองของฝรั่งเศส พระองค์เคยกล่าวถึงออกญาผู้นี้ว่าเป็น "ราชาองค์น้อย ๆ อย่างแท้จริง ทรงอำนาจดุจเรสิดังสุเปริเออร์"[16][17] แต่ไม่นานนัก เขาก็พ้นจากตำแหน่งด้วยฝรั่งเศสต้องการเอาใจยุวกษัตริย์ แม้ฝรั่งเศสจะเหลือขุนนางที่ภักดีต่อตนบ้าง เช่น จวน ฮล บุตรของออกญาวังวรเวียงชัย แต่ก็ไม่ทรงอิทธิพลเท่าบิดา[18]
สงครามโลกครั้งที่สองและกระแสเอกราช
อย่างไรก็ตามช่วงที่พระองค์ครงราชย์นั้นเป็นช่วงที่มีการต่อต้านฝรั่งเศสและเกิดกระแสชาตินิยม แต่ฝรั่งเศสก็ยังมีความสามารถปกป้องระบบอาณานิคมของตน ดังเมื่อเกิดการประท้วงในเดือนกรกฎาคม 1942 เนื่องจากการที่ฝรั่งเศสจับกุมพระภิกษุรูปหนึ่งในข้อหาวางแผนรัฐประหารโดยมิให้ลาสิกขาเสียก่อน ฝรั่งเศสจึงใช้กำลังสลายกลุ่มผู้ชุมนุมกว่าพันคนอย่างรวดเร็ว[19] และปี 1940 ก็มีการชุมนุมเรียกร้องเอกราชที่พระตะบองนำโดยปก พอลกุณ นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มเขมรอิสระภายใต้การอุปภัมภ์ของรัฐบาลไทย[20]
9 มีนาคม 1945 กองทหารญี่ปุ่นที่ยึดครองอินโดจีนมาหลายปี ได้เข้าปลดอาวุธฝรั่งเศสทั่วอินโดจีน และให้เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสลาออกจากตำแหน่งการปกครอง[21] รวมทั้งมีการติดอาวุธให้แก่ชาวกัมพูชา และปลุกกระแสชาตินิยมต่อต้านฝรั่งเศสมาใช้เพื่อทานการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่คาดว่าจะเกิดในปีนั้น[21] นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังยุยงให้พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสและยกเลิกสนธิสัญญาและพันธะกรณีทั้งปวงที่มีต่อฝรั่งเศส[21] ทรงประกาศให้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการแทนที่ฝรั่งเศส นอกจากนี้ ญี่ปุ่นผลักดันให้เซิน หง็อก ถั่ญ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา
หนึ่งวันก่อนญี่ปุ่นประกาศยอมจำนน เซิน หง็อก ถั่ญ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี[22] แต่เมื่อกองทัพฝรั่งเศสกลับเข้าสู่พนมเปญในเดือนตุลาคม 1945 ฝรั่งเศสก็โมฆียกรรมการประกาศเอกราชของกัมพูชา และฟื้นฟูสถานะกัมพูชาให้เป็นอาณานิคม แต่ฝรั่งเศสยังคงให้สีหนุเป็นกษัตริย์ต่อไป เพราะมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ช่วยควบคุมกัมพูชาได้ง่ายกว่า
กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรก
เพื่อบรรเทากระแสชาตินิยมที่กำลังเติบโต ฝรั่งเศสจึงยอมให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 1946 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 1947 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กัมพูชาจะมีสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง พระราชอำนาจในทางบริหารและนิติบัญญัติถูกย้ายไปอยู่กับคณะรัฐมนตรีที่ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่อำนาจด้านการทูต การทหาร และการคลังยังคงอยู่ในมือของฝรั่งเศส[23]
ในสภาพเช่นนี้ พระบาทสมเด็จนโรดม สีหนุจึงเสมือนถูกยกขึ้นไว้ในสถานะสัญลักษณ์ของชาติ และต้องทรงวางตัวอยู่เหนือการเมือง พระองค์จำยอมรับบทบาทดังกล่าว และทรงสร้างภาพเป็น “พ่อหลวงแห่งแผ่นดิน” ผ่านการเสด็จเยี่ยมชนบท เปิดโรงเรียน วัด และเข้าร่วมงานบุญ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์ ศาสนา และชุมชนท้องถิ่น พระองค์ยังใช้สื่อและข่าวจากพระราชสำนักเพื่อเสริมพระบารมี การวางองค์อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองทำให้ราชสำนักกลายเป็นศูนย์รวมเชิงสัญลักษณ์ในยามที่สภาแตกแยก ระหว่างพรรคฝ่ายประชาธิปไตยของปัญญาชนคนเมืองที่ยึดแนวทางชาตินิยม และพรรคฝ่ายเสรีนิยมที่ยังคงประนีประนอมกับฝรั่งเศส
อย่างไรก็ดี ขณะที่กระแสชาตินิยมภายในประเทศเร่งเร้าเรียกร้องเอกราช สีหนุทรงเลือกเดินเกมสองทาง ทางหนึ่งคือการประสานกับฝรั่งเศสเพื่อลดความปั่นป่วนตามชายแดน อีกทางหนึ่งคือการเตรียมก่อตั้งกองทัพแห่งชาติ และสะบัดให้การปกครองภายในค่อย ๆ หลุดพ้นจากอำนาจเจ้าอาณานิคม การเสด็จตระเวนหัวเมืองของพระองค์ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ไม่ได้มีเพียงลักษณะการเยี่ยมเยียน หากยังเป็นยุทธวิธีการสร้างฐานเสียงและความชอบธรรมจากประชาชน เพื่อนำไปใช้เป็นแต้มต่อบนโต๊ะเจรจากับปารีส[24]

ผลจากความพยายามดังกล่าวคือ “ความตกลงฝรั่งเศส–กัมพูชา ค.ศ. 1949” ซึ่งยอมรับกัมพูชาในสถานะ “รัฐกึ่งเอกราช” โดยให้อำนาจควบคุมราชการภายในแก่รัฐบาลกัมพูชาเพิ่มขึ้น แม้การทหารและการต่างประเทศยังอยู่ในกำมือของฝรั่งเศส แต่ก็ทำให้สังคมกัมพูชามองเห็นความเป็นไปได้ของเอกราชสมบูรณ์ในอนาคต ประสบการณ์จากสามปีนี้คือห้องทดลองที่ทำให้พระองค์มั่นใจว่า การเมืองแบบใช้พระบารมีผสานการทูตสามารถพาไปถึงเอกราชได้โดยไม่ต้องทำสงครามเรียกร้องเอกราชแบบเวียดนาม
Remove ads
กษัตริย์สู่การเป็นนักการเมือง
สรุป
มุมมอง
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1955 ให้แก่พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต พระราชบิดา เพื่อทรงดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา
เมื่อทรงเวนราชสมบัติถวายพระราชบิดา ทรงดำรงฐานันดรศักดิ์ที่พระมหาอุปยุวราชในพระนามสมเด็จพระนโรดมสีหนุ เมื่อพระราชบิดาเสด็จสุรคตใน ค.ศ. 1960 ก็ได้มีคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์พระมหากษัตริย์ขึ้น มีสมเด็จกรมพระสีสุวัตถิ์มุนีเรศเป็นองค์ประธาน ต่อมา สมเด็จพระนโดมสีหนุตัดสินพระทัยให้มีตำแหน่งประมุขของรัฐขึ้นมาแทนที่พระมหากษัตริย์ โดยพระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งนั้น แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงอยู่โดยมีพระราชชนนีของพระองค์เองเป็นพระนิมิตรูปหรือสัญลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์

สมเด็จพระนโรมดมสีหนุได้ตั้งพรรคการเมืองสังคมราษฎร์นิยมขึ้นมาเพื่อลงเลือกตั้งใน ค.ศ. 1955 โดยทรงชนะการเลือกตั้ง และได้ทรงบริหารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบ้าง ประมุขแห่งรัฐบ้างไปอีกถึง 15 ปี และที่สำคัญคือทรงเป็น "สมเด็จโอว" หรือ "สมเด็จพ่อ" ของประชาชนชาวกัมพูชานั่นเอง
ค.ศ. 1970 สมาชิกสภาแห่งชาติลงมติปลดสมเด็จพระนโรดมสีหนุออกจากตำแหน่งประมุขรัฐขณะเสด็จเยือนต่างประเทศ แผนการรัฐประหารครั้งนี้นำโดยสีสุวัตถิ์ สิริมตะและมีลอน นอลเป็นผู้ลงนามประกาศสบับสนุนการปลดพระองค์ในสภาแห่งชาติ และมีการสถาปนาสาธารณรัฐเขมรขึ้น
ตำแหน่งพระวรราชบิดา
หลังจากความวุ่นวายทางการเมืองหลายปี เมื่อมีการสถาปนาราชอาณาจักรกัมพูชาขึ้นมาใหม่ ทรงครองราชสมบัติครั้งที่สองเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1993 ทรงสละราชสมบัติเมี่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2004 ขณะมีพระชนมพรรษา 82 พรรษา และทรงดำรงพระบรมราชอิสริยยศเป็น "พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา เอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติเขมร"
สวรรคต
สรุป
มุมมอง

พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการพระหทัยวาย ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2012 หลังจากที่ทรงพระประชวรด้วยพระโรคมะเร็งในพระอันตะ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง[25][26] สิริพระชนมพรรษาได้ 69 ปี 11 เดือน 15 วัน[27]
ในกัมพูชามีการลดธงครึ่งเสาและงดงานรื่นเริงทั่วประเทศ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน, พระมหาวีรกษัตรีย์นโรดม มุนีนาถ พระวรราชมารดา และสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ได้เสด็จพระราชดำเนินและเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อรับพระบรมศพพระวรราชบิดามายังพระบรมราชวังจตุมุข[28] และหลังจากนี้จะมีการตั้งพระบรมศพไว้เป็นเวลา 3 เดือนก่อนที่จะมีพระราชพิธีปลงพระบรมศพซึ่งจะกระทำตามอย่างโบราณราชประเพณีเช่นเดียวกับงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต ในปี 1960[29]
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ส่งพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัย[30] ส่วนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ได้แสดงความเคารพพระบรมศพด้วย[31]
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
1 กุมภาพันธ์ 2013 ชาวกัมพูชานับแสนคนร่วมแสดงความอาลัยแน่นตลอดเส้นทางก่อนเคลื่อนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระวรราชบิดา และอดีตกษัตริย์แห่งกัมพูชา พระบรมศพของพระองค์ถูกอัญเชิญจากพระบรมมหาราชวังไปยังพระเมรุซึ่งสร้างขึ้นตามราชประเพณี โดยมีการยิงสลุต 101 นัด และเคลื่อนขบวนพระบรมศพเพื่อให้พสกนิกรได้มีโอกาสถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย[32]
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพถูกจัดขึ้นในเวลา 16.00 น. ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2013[33] ถือเป็นงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์กัมพูชาในรอบ 52 ปี[34] พระราชพิธีเสร็จสิ้นลงในเวลา 18.30 น.[35] ในการนี้มีชาวกัมพูชาร่วมแสดงความไว้อาลัยเป็นจำนวนมากซึ่งคาดว่าอาจมีมากถึง 6 แสนคน[36] รวมทั้งผู้แทนจาก 16 ประเทศก็ได้เข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย[35]
ส่วนพระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐินั้นมีขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน พระบรมราชสรีรางคารส่วนหนึ่งจะถูกอัญเชิญไปลอยในจุดบรรจบของแม่น้ำโขง แม่น้ำบาสัก และแม่น้ำโตนเลสาบ[34] ส่วนพระสรีรางคารอีกส่วนจะถูกอัญเชิญไปยังพระบรมมหาราชวังเพื่อบรรจุในพระบรมโกศ[33] ซึ่งตั้งเคียงข้างโกศพระอัฐิของพระองค์เจ้าหญิงคันธาบุปผา พระราชธิดา[37]
อนึ่งในพระราชพิธีดังกล่าวมีธรรมเนียมปฏิบัติปลีกย่อยต่าง ๆ ล้วนคล้ายคลึงกับพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพในไทยทั้งราชรถและธรรมเนียมการแห่ เพียงแตกต่างเป็นบางประการเท่านั้น อาทิ ชาวกัมพูชาสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวตามธรรมเนียมชาวเอเชียอาคเนย์ ขณะที่ไทยสวมชุดดำไว้ทุกข์ตามธรรมเนียมตะวันตก, ชาวกัมพูชาทั้งชายและหญิงยังมีการโกนหัวไว้ทุกข์ขณะที่ไทยยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่บรรจุพระศพเป็นโลงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขณะที่ไทยเป็นโกศแบบโถยอดที่มีลักษณะกลมเป็นทรงสูง[34][38] เป็นต้น
Remove ads
บทบาททางการเมือง
สรุป
มุมมอง
กระแสชาตินิยม
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร
ในช่วงพระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรียาวนานจนถึงประมุขแห่งรัฐช่วงแรก เพื่อนโยบายชาตินิยมและคะแนนเสียงของพระองค์[39] จึงได้มียกประเด็นกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร[40] ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก รอยต่อของจังหวัดพระวิหาร และจังหวัดศรีสะเกษของไทย กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (หรือ ศาลโลก) อ้างกรรมสิทธิเหนือเขาพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1959[41] และศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา[41]
ระหว่างนั้น กัมพูชาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตของไทย[39] ในปลาย ค.ศ. 1958 แต่เมื่อต้น ค.ศ. 1959 ก็กลับมามีความสัมพันธ์กันใหม่ ก่อนที่จะตัดความสัมพันธ์อีกครั้งในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1961[41]
หลังจากที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ได้มีการเฉลิมฉลองทั่วทั้งพระราชอาณาจักรกัมพูชา รัฐบาลพระองค์ได้จัดให้มีการประกาศวันเฉลิมฉลองชัยชนะแห่งชาติและวันหยุดราชการ และในปีต่อมา ค.ศ. 1963 พระองค์ได้เสด็จขึ้นปราสาทพระวิหารเพื่อทำพิธีบวงสรวง ทางสะพานโบราณ (ช่องบันไดหัก) หลังจากที่ทรงทราบว่ากัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร[42]
จากเหตุการณ์ดังกล่าวชาวไทยในยุคนั้นจึงมองพระองค์อย่างไม่เป็นมิตรนัก[39] ทั้งยังได้ตั้งคำถามล้อเลียนว่า สีอะไรเอ่ยคนไทยเกลียดมากที่สุด? คำตอบคือ "สีหนุ"[6][7][43]
นโยบายต่อชาวเกาะกงเชื้อสายไทย
สืบเนื่องจากความขัดแย้งกับในจากกรณีปราสาทเขาพระวิหาร[40] ประกอบกับการที่กษัตริย์สีหนุมีความระแวงไทยอย่างมาก[44] ใน ค.ศ. 1963 รัฐบาลกัมพูชาได้ออกกฎหมายห้ามชาวเกาะกงพูดภาษาไทย ห้ามมีเงินไทย และห้ามมีหนังสือไทยไว้ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่ค้นพบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก โดยเฉพาะหากพูดภาษาไทยจะถูกปรับคำละ 25 เรียล และเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียลในปีต่อมา[40][45]
ต่อมาใน ค.ศ. 1965 พระองค์ได้ประกาศว่า ทรงพบเอกสารคอมมิวนิสต์ที่เกาะกง โดยบางชิ้นเป็นภาษาไทย ทำให้พระองค์มีพระราชวินิจฉัยว่าเขมรแดงได้รับคำสั่งจาก "นาย" ต่างประเทศ เพื่อปลุกระดมให้คนเขมรแปลกแยกจากสังคม [พรรคสังคมราษฎร์นิยม พรรคที่พระองค์จัดตั้งขึ้น] และพระองค์[44]
ความสัมพันธ์เมื่อครานั้นของไทยกับกัมพูชา ปรากฏในหนังสือชุด สามเกลอ-พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต ตอน "เขมรแหย่เสือ" ได้เขียนลงบทนำตอนหนึ่ง ความว่า[41]
"...คนไทยที่มีเชื้อชาติไทยสัญชาติเขมร และชาวเขมรในเกาะกง หรือจังหวัดใกล้เคียงกับจังหวัดตราดและจันทบุรี ถูกรัฐบาลเขมรกดขี่ข่มเหงรีดนาทาเร้นด้วยประการต่าง ๆ จึงอพยพเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อนโรดม สีหนุ ทราบข่าวนี้ ก็สั่งให้กองทัพเรือจับชาวประมงในน่านน้ำไทย ยึดเรือและนำตัวไปกักขังไว้ ปฏิบัติต่อคนไทยที่ถูกคุมขังอย่างโหดเหี้ยมทารุณราวกับสัตว์ป่า ชาวประมงหลายคนต้องเสียชีวิตเพราะถูกทารุณ เพราะอดอาหาร หรือเจ็บป่วยก็ไม่ได้รับการรักษาพยาบาล..."
ในเหตุการณ์ช่วงนั้นจา เรียง อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งกัมพูชาได้ทำการบันทึกไว้ว่า ช่วง ค.ศ. 1966 มีชาวเกาะกงเชื้อสายไทยถูกสังหารไปราว 160 คน[44] ส่วนจรัญ โยบรรยงค์ ที่ได้รวบรวมบันทึกของชาวเกาะกงเชื้อสายไทย และนำมาเขียนเป็นหนังสือ "รัฐบาลทมิฬ" ได้อ้างอิงคำพูดของลอน นอล เมื่อครั้งทำงานใกล้ชิดกับสีหนุ และเดินทางมาประชุมที่เกาะกงความว่า "...คนไทยเกาะกง แม้ว่าจะสูญหายตายจากไปสักห้าพันคน ก็ไม่ทำให้แผ่นดินเขมรเอียง"[46] ผลที่ตามมาจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือมีคนเชื้อสายไทยจำนวนมากอพยพออกจากเกาะกงไปจังหวัดตราดของไทย[47] และเกิดปัญหาสถานะบุคคลจนถึงปัจจุบัน[48][49]
Remove ads
ชีวิตส่วนพระองค์
สรุป
มุมมอง
ด้านดนตรี
งานทางด้านดนตรี พระองค์ทรงรอบรู้เรื่องดนตรีเป็นอย่างดีและทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน, แคลริเน็ต, แอกคอร์เดียน และเปียโน
พระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงเป็นจำนวนมากทั้งแบบขับร้องและบรรเลง[50] โดยทรงประพันธ์เพลงเป็นภาษาเขมร, อังกฤษ, ฝรั่งเศส และละตินไว้หลายเพลง[43] อาทิ ราตรีนี้ได้พบพักตร์ (Reatry Baan Joub peak) ซึ่งเป็นเพลงยอดนิยมและได้รับการขับร้องหลายเวอร์ชัน[50] และ บุปผาเวียงจันทน์ พระราชทานแด่หม่อมมุนีวรรณ หม่อมชาวลาวที่พระองค์โปรดปราน และถือเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงมากเพลงหนึ่ง[51] นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดปรานร้องเพลงต่างชาติเพื่อสร้างความบันเทิงแก่แขกต่างประเทศ ทั้งนี้พระองค์โปรดเพลงไทยของสวลี ผกาพันธุ์ และเพลงไทยอื่น ๆ อาทิ รักคุณเข้าแล้ว, ฝัน ฝัน[43] และ เพลงรักเธอเสมอ[52]
เมื่อครั้งที่พระองค์พำนักอยู่ที่เปียงยางและปักกิ่ง ได้ประพันธ์เพลงเปียงยาง และเพลงคิดถึงจีน (Nostalgie de la Chine) เป็นของขวัญมิตรภาพให้กับผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งสองประเทศ[43]
ด้านภาพยนตร์
พระองค์โปรดการภาพยนตร์ และการกำกับยิ่ง พระองค์ทรงกำกับเขียนบทและเป็นพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง เงามืดอังกอร์ นอกจากนี้ยังสร้างภาพยนตร์เรื่อง ป่าสำราญ, เจ้าชายน้อย และ สายันต์[43] ซึ่งนักแสดงนำในภาพยนตร์ที่สีหนุกำกับนั้นคือโรลัง เอง อดีตทูตกัมพูชาประจำไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นน้องของพระองค์เจ้านโรดม มารี รณฤทธิ์ อดีตพระชายาในสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นโอรสคนที่สองของสีหนุ[43] และภาพยนตร์เรื่อง Ombre sur Angkor ซึ่งพระองค์ได้แสดงเองโดยคู่กับพระชายาโมนิก พระภรรยาองค์สุดท้าย[53] นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง ระบำเทพมโนรมย์ (La Forêt Enchantée) ได้ออกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมอสโกครั้งที่ 5 ใน ค.ศ. 1967[54][55]
แม้ผลงานของพระองค์จะเป็นภาพยนตร์รัก ๆ ใคร่ ๆ ทั่วไป แต่สิ่งที่พระองค์ได้สอดแทรกผ่านบทภาพยนตร์ทั้งฉากในการถ่าย รวมไปถึงมุมกล้อง ล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องการสื่อสารความเป็นกัมพูชาทั้งศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงแง่มุม ความคิด และวิวทิวทัศน์ภายในประเทศของพระองค์สู่สายตาอารยะประเทศผ่านโลกของแผ่นฟิลม์อย่างแยบคาย[50] ดังปรากฏในพระราชดำรัสตอนหนึ่ง ความว่า
"ผู้กล่าวถึงข้าพเจ้าว่าสร้างแต่หนังรัก หากที่จริงแล้วเป็นเพียงฉากหน้า ในการนำผู้คนให้หันมาสนใจกัมพูชา ไม่เพียงเห็นภาพของวัดวาอารามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิธีคิด และวิถีชีวิตของพวกเราชาวกัมพูชา เช่นเดียวกับปัญหาที่พวกเรากำลังประสบ"
ทั้งนี้พระองค์ได้ผลักดันจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติขึ้น ณ กรุงพนมเปญ[43] ครั้งนั้นนอกจากผู้รับเชิญมางานภาพยนตร์นานาชาติพนมเปญมีทั้งผู้กำกับและนักแสดงชั้นนำจากฮ่องกง ไต้หวันและยุโรปแล้ว ยังสามารถดึงเอาประธานจัดงานภาพยนตร์เมืองคานส์มาร่วมงานได้[43]
ด้านอาหาร
แม้พระองค์จะกล่าวว่าพระองค์เป็น "ชาตินิยม" ก็ตาม[43] กระนั้นพระองค์โปรดปรานอาหารฝรั่งเศสอย่างยิ่ง และกระยาหารแทบทุกมื้อที่เสวยล้วนเป็นอาหารฝรั่งเศส[43] แม้กระทั่งอาหารไทยซึ่งคล้ายกับอาหารเขมรนั้นได้เคยจัดถวายบนเรือขณะล่องแม่น้ำเจ้าพระยานั้น พระองค์ก็มิได้แตะต้องเลย อีกทั้งตรัสว่า "หากเป็นไปได้ ทุกมื้อเสิร์ฟเป็นอาหารฝรั่งเศสยิ่งดี"[43]
ทั้งนี้พระองค์ทรงประกอบอาหารฝรั่งเศสด้วยพระองค์เองบ่อย ๆ ทรงคิดสูตรตำรับ "ไก่ไวน์แดง" และได้รับคำชื่นชมด้านรสชาติ[43]
Remove ads
พระปรมาภิไธย
ก่อนเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามเดิมคือ นักองราชวงศ์นโรดม สีหนุ[18]
ต่อมาเมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยว่า พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ราชหริวงศ์ อุภโตสุชาติ วิสุทธิวงศ์ อัคคมหาบุรุษรัตน์ นิกโรดม ธัมมิกมหาราชาธิราช บรมนาถ บรมบพิตร พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี[note 1]
ภายหลังเมื่อสละราชสมบัติใน ค.ศ. 2004 แล้ว จึงทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น พระมหาวีรกษัตริย์ โดยทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า พระกรุณา พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดาเอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติเขมร [note 2]
หลังการเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระบรมปัจฉามรณนาม (พระนามหลังเสด็จสวรรคต) ของสมเด็จพระราชบิดาว่า พระกรุณา พระบรมรัตนโกศ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012[56][57] ซึ่งเทียบกับภาษาไทยคือ "พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ"[58]
Remove ads
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
Remove ads
พระราชบุตร
Remove ads
พงศาวลี
Remove ads
เชิงอรรถ
- เขียนเป็นอักษรเขมรดังนี้: ព្រះករុណា ព្រះបាទសម្ដេចព្រះ នរោត្ដម សីហនុ រាជហរិវង្ស ឧភតោសុជាតិ វិសុទ្ធពង្ស អគ្គមហាបុរសរតន៍ និករោត្ដម ធម្មិកមហារាជាធិរាជ បរមនាថ បរមបពិត្រ ព្រះចៅក្រុងកម្ពុជាធិបតី พฺระกรุณา พฺระบาทสมฺเฎจพฺระ นโรตฺฎม สีหนุ ราชหริวงฺส อุภโตสุชาติ วิสุทฺธพงฺส อคฺคมหาบุรสรตน์ นิกโรตฺฎม ธมฺมิกมหาราชาธิราช บรมนาถ บรมบพิตฺร พฺระเจากฺรุงกมฺพุชาธิบตี
- เขียนเป็นอักษรเขมรดังนี้: ព្រះករុណា ព្រះបាទសម្ដេចព្រះ នរោត្ដម សីហនុ ព្រះមហាវីរក្សត្រ ព្រះវររាជបិតាឯករាជ្យ បូរណភាពទឹកដី និងឯកភាពជាតិខ្មែរ พฺระกรุณา พฺระบาทสมฺเฎจพฺระ นโรตฺฎม สีหนุ พฺระมหาวีรกฺสตฺร พฺระวรราชบิตาเอกราชฺย บูรณภาพทึกฎี นิงเอกภาพชาติขฺแมร
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads