คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ฟุตบอลทีมชาติจีน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ฟุตบอลทีมชาติจีน (จีนตัวย่อ: 中国国家足球队; จีนตัวเต็ม: 中國國家足球隊; พินอิน: Zhōngguó guójiā zúqiú duì; ฟีฟ่ายอมรับภายใต้ชื่อ China PR) เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลจีนซึ่งเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย
ในช่วงสงครามกลางเมืองจีน ทีมชาติจีนมีสถานะเป็นฟุตบอลทีมชาติจีนไทเป (ตัวแทนของสาธารณรัฐจีน) ซึ่งทีมชาติจีนได้สถานะกลับมาอีกครั้งในทศวรรษ 1970 และกลายเป็นทีมชาติจีนอย่างในปัจจุบัน นอกจากนี้ในประเทศจีนยังมีทีมชาติฮ่องกงและทีมชาติมาเก๊าซึ่งยังคงใช้ชื่อทีมเดิม และไม่ได้รวมเข้ากับทีมชาติจีน แม้ว่าจีนจะได้ดินแดนคืนจากสหราชอาณาจักรในปี 1997 และจากโปรตุเกสในปี 1999
ทีมชาติจีนยังไม่เคยประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับสูง ผลงานที่ผ่านมาคือชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียตะวันออก (East Asian Football Championship) ใน ค.ศ. 2005 และ 2010 ผลงานดีที่สุดในรายการระดับทวีปคือรองชนะเลิศฟุตบอลเอเชียนคัพ 2 สมัยใน ค.ศ. 1984 และ 2004 ทีมชาติจีนเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 โดยตกรอบแบ่งกลุ่มจากการแพ้รวดทุกนัดและไม่สามารถยิงประตูได้
จีนมีคู่อริคือญี่ปุ่น สืบเนื่องจากความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรม และเป็นคู่แข่งของเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ยุคแรก (ค.ศ. 1913–1949)

การแข่งขันฟุตบอลในระดับนานาชาติครั้งแรกของทีมชาติจีนถูกจัดขึ้นโดยเอลวูด บราวน์ ผู้บริหารกีฬาชาวอเมริกันซึ่งมีชื่อเสียงจากการส่งเสริมกีฬาในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสมาคมกีฬาในขณะนั้น และยังเป็นผู้ริเริ่มการแข่งขันกีฬาตะวันออกไกล โดยกีฬาหลายประเภทในรายการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันเอเชียนเกมส์[3] บราวน์เชิญทีมชาติจีนให้ร่วมแข่งขันกีฬาตะวันออกไกล 1913 ที่มะนิลาซึ่งมีการบรรจุกีฬาฟุตบอลอยู่ในรายการนั้น ในการคัดเลือกนักฟุตบอลในครั้งนั้น มีการตัดสินใจร่วมกันว่าผู้ชนะการแข่งขันกีฬาแห่งชาติจีนใน ค.ศ. 1910 จะได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของประเทศ ซึ่งผู้ชนะได้แก่ตัวแทนจากสโมสรฟุตบอลเซาท์ไชนา[4] ผู้ก่อตั้งสโมสรและผู้ฝึกสอนในขณะนั้นอย่าง Mok Hing (莫慶) ถือเป็นผู้ฝึกสอนคนแรกของทีมชาติจีน นำทีมชาติลงแข่งขันกับทีมชาติฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913 ณ กรุงมะนิลา และจีนแพ้ด้วยผลประตู 2–1
สถานการณ์ความไม่สงบจากการปฏิวัติซินไฮ่ส่งผลให้จีนไม่สามารถลงแข่งขันรายการแรกได้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนชื่อทีมเป็นฟุตบอลทีมชาติสาธารณรัฐจีน ไม่สามารถหยุดยั้งเซี่ยงไฮ้จากการได้รับรางวัลการแข่งขันชิงแชมป์กีฬาตะวันออกไกล 1915 ได้ สโมสรฟุตบอลเซาท์ไชนาซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อสมาคมกีฬาเซาท์ไชนาได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนของประเทศอีกครั้ง ในการแข่งขันเพลย์ออฟสองนัดกับฟิลิปปินส์ จีนชนะนัดแรก 1–0 จากนั้นเสมอในนัดต่อมา 0–0 คว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรก[5] และเนื่องจากการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาคครั้งแรกและครั้งเดียวสำหรับทีมชาตินอกสหราชอาณาจักร จีนจึงตั้งเป้าที่จะสถาปนาตนเองให้เป็นมหาอำนาจในภูมิภาค ด้วยการคว้าแชมป์รวมทั้งหมด 9 รายการ[6]
สมาคมฟุตบอลจีนก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1924 และเข้าเป็นสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ใน ค.ศ. 1931[7] จากการวางรากฐานดังกล่าว ส่งผลให้จีนมุ่งมุ่นพัฒนาทีมสู่การแข่งขันระดับนานาชาติร่วมกับญี่ปุ่น ทั้งสองชาติถือเป็นชาติแรกของทวีปเอเชียทีได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน โดยลงแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ที่เบอร์ลินซึ่งจีนตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายจากการแพ้สหราชอาณาจักร 2–0[8]
สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง อุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นเสื่อมถอยลงโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อญี่ปุ่นประกาศจัดการแข่งขันกีฬาตะวันออกไกล 1938[9] การแข่งขันครั้งนี้จะถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังจัดการแข่งขันของตันเองเผื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 2,600 ปีจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วยรัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่นอย่างประเทศแมนจู และระบอบวาง จิงเว่ย์ที่ได้รับการจัดระเบียบใหม่ซึ่งมีฐานที่ตั้งในเมืองหนานจิงซึ่งถูกญี่ปุ่นยึดครอง อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้เล่นที่มีชื่อเสียงคนใดจากจีนลงแข่งขันในเกมฉลองครบรอบจักรวรรดิญี่ปุ่น[10]
การแข่งขันทุกนัดในช่วงระหว่างสงครามไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และเมื่อสงครามสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1945 จีนหันมาให้ความสนใจกับกีฬาโอลิมปิกอีกครั้งเพื่อการยกระดับชื่อเสียงสู่ระดับนานาชาติ ต่อมา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1948 จีนลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1948 โดยเป็นอีกครั้งที่พวกเขาตกรอบ 16 ทีมโดยในครั้งนี้แพ้ตุรกี 4–0[11] จากนั้นประเทศได้เข้าสู่ช่วงกลางของสงครามกลางเมืองจีน เมื่อสงครามสิ้นสุด ทีมชาติจีนได้ถูกแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกคือฟุตบอลทีมชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน และอีกทีมได้แก่ฟุตบอลทีมชาติสาธารณรัฐจีน (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นฟุตบอลทีมชาติจีนไทเป)[12]
ยุคแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน (1950–1976)
ทีมฟุตบอลสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เพิ่งแยกตัวออกมา ได้ปฏิรูปสมาคมฟุตบอลขึ้นใหม่และได้รับการยอมรับสถานะทางการจากฟีฟ่าในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1952[13] ต่อมา ประเทศฟินแลนด์ซึ่งเป็นประเทศแรกที่พัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน เชิญทีมชาติจีนให้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1952 Li Fenglou ถือเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการคนแรกของทีมชาติจีน อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องจากความล่าช้าในการส่งทีมลงแข่งขันทำให้พวกเขาพลาดการลงแข่งขันรายการนี้ แต่ทีมชาติฟินแลนด์ยังคงต้อนรับพวกเขาด้วยการจัดเกมกระชับมิตรขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1952 ซึ่งได้รับการรับรองให้เป็นการแข่งขันทางการนัดแรกของทีมจีน เกมจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 4–0[14][15] ต่อมา ประเทศจีนส่งตัวนักฟุตบอลอายุน้อยหลายคนไปฝึกฝนที่ประเทศฮังการีใน ค.ศ. 1954 เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันรายการแรกของฟีฟ่า[16] แต่พวกเขาตกรอบฟุตบอลโลก 1958 รอบคัดเลือกโดยแพ้อินโดนีเซีย[17]
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1958 จีนระงับการมีส่วนร่วมในการแข่งขันใด ๆ ที่ได้รับการรับรองโดยฟีฟ่า เมื่อฟีฟ่าเริ่มรับรองให้สาธารณรัฐจีนมีสถานะเป็นประเทศอื่นแทน เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่กรณีพิพาทและการโต้แย้งทางการทูตซึ่งทำให้ทีมชาติจีนถอนตัวจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้[18] และเป็นระยะเวลาหลายปีที่ทีมชาติจีนไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขันทางกางรายการใด โดยมีเพียงการลงแข่งเกมกระชับมิตรกับทีมต่าง ๆ ที่ยอมรับพวกเขาในฐานะทายาทเพียงหนึ่งเดียวของฟุตบอลทีมชาติจีนเท่านั้น ก่อนที่สหประชาชาติจะให้การรับรองทีมจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตัวแทนอย่างถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวของประเทศจีนตามข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1971 นอกจากนี้ ผลจากการพิจารณาดดีใน ค.ศ. 1973 คณะชาตินิยมจีนซึ่งเคยใช้ชื่อ "สาธารณรัฐจีน" ก็ได้หยุดใช้ชื่อดังกล่าว และเปลี่ยนชื่อตนเองเป็น "จีนไทเป" ในปี 1980[19] สิ่งนี้ทำให้ทีมชาติจีนกลับสู่เวทีการแข่งขันนานาชาติอีกครั้ง เริ่มจากการเข้าเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียใน ค.ศ. 1974 และกลับสู่การเป็นสมาชิกฟีฟ่าทางการอีกครั้งในปี 1979[20][21]
ความล้มเหลวในทวีป (1980–2009)

จีนกลับมามีส่วนร่วมในการแข่งขันทางการในเอเชียนเกมส์ 1974 ตามด้วยอันดับ 3 ในเอเชียนคัพ 1976[22] ในปี 1980 จีนลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1982 รอบคัดเลือกแต่ตกรอบโดยแพ้นิวซีแลนด์ในรอบเพลย์ออฟ[23] ต่อมาในฟุตบอลโลก 1986 รอบคัดเลือก จีนลงแข่งขันกับฮ่องกงในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1985 โดยจีนต้องการเพียงผลเสมอจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก แต่ฮ่องกงเป็นฝ่ายพลิกสถานการณ์กลับมาชนะไป 2–1 ก่อให้เกิดเหตุจราจลทั้งภายในและนอกสนามในกรุงปักกิ่ง และพวกเขาล้มเหลวอีกครั้งในฟุตบอลโลก 1990 รอบคัดเลือก แม้จะผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกรอบสุดท้าย โดยเสียสองประตูในช่วงเวลาสามนาทีในนัดสุดท้ายที่พบกับกาตาร์ ต่อมาในรอบคัดเลือกปี 1994 พวกเขาตกรอบอีกครั้งภายใต้ผู้ฝึกสอนต่างชาติคนแรกอย่างเคลาส์ ชแลพเนอร์ ชาวเยอรมัน โดยจบอันดับ 2 ของกลุ่มตามหลังอิรัก[24] ในปี 1987 เซีย เหยียวซิน กลายเป๋นผู้เล่นชาวจีนคนแรกที่ไปเล่นอาชีพในต่างแดน โดยร่วมกับเป็กซโวลเลอในลีกเอเรอดีวีซี ตามมาด้วยกู กัวหมิงซึ่งเล่นให้กับเอสเฟา ดาร์มสตัดท์ 98 ในเยอรมนี และกัปตันทีมในขณะนั้นอย่างเจีย ซิ่วฉวน และกองหน้าอย่าง หลิว ไห่กวงย้ายไปเล่นให้สโมสรฟุตบอลปาร์ติซานซึ่งยังเป็นยูโกสลาเวียในขณะนั้น[25][26]
ภายหลังจากล้มเหลวในการผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 1998 ทีมชาติจีนแต่งตั้งบอรา มีลูตีนอวิชผู้ฝึกสอนชาวเซอร์เบีย และจีนมีผลงานที่พัฒนาขึ้นเริ่มจากการคว้าอันดับ 4 ในเอเชียนคัพ 2000 โดยผ่านเข้ารอบเป็นที่ 1 ของกลุ่ม และชนะกาตาร์ในรอบ 16 ทีม 3–1 และแพ้อริอย่างญี่ปุ่นในรอบรองชนะเลิศ 3–2 ตามด้วยการแพ้เกาหลีใต้ในนัดชิงอันดับสาม 1–0[27] จากความสำเร็จดังกล่าวสร้างความเชื่อมั่นในแก่จีนในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 โดยในรอบคัดเลือกนั้นพวกเขาชนะรวดทั้ง 6 นัดทำไปถึง 25 ประตู ตามด้วยการชนะถึง 6 จาก 8 นัดในรอบคัดเลือกรอบที่ 2 รวมถึงการเอาชนะทีมจากตะวันออกกลางอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, โอมาน และกาตาร์[28] แต่ในการแข่งขันรอบสุดท้ายนั้น จีนตกรอบแบ่งกลุ่มโดยแพ้รวดและไม่สามารถทำประตูได้เลย และนั่นถือเป็นฟุตบอลโลกเพียงครั้งเดียวของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน[29]
จีนเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเอเชียนคัพ 2004 โดยในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาเอาชนะกาตาร์และอินโดนีเซีย และเสมอบาห์เรน ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศและเอาชนะอิรัก 3–0 ตามด้วยการเจอกับทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่างอิหร่านในรอบรองชนะเลิศและจีนเอาชนะการดวลจุดโทษไป 4–3 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 1–1 แต่แพ้ญี่ปุ่นในรอบชิงชนะเลิศ 3–1 ซึ่งได้รับการวิจารณ์จากผู้สนับสนุนทีมชาติจีนถึงการตัดสินที่น่ากังขาในนัดนี้[30] การแข่งขันนัดนี้มีผู้ชมมากถึง 250 ล้านคน นับว่ามากที่สุดสำหรับจำนวนผู้ชมการแข่งขันกีฬารายการใดรายการหนึ่งในประเทศจีนในขณะนั้น[31]
จีนชนะการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียตะวันออก 2005 โดยชนะเกาหลีเหนือ 2–0[32] และเข้าสู่การแข่งขันรอบคัดเลือกของเอเชียนคัพ 2007 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทีมได้รับการวิจารณ์อย่างหนักและทำผลงานได้น่าอับอาย โดยทำได้เพียง 1 ประตูจากจุดโทษของเซา เจียยี่ ในนัดที่พบสิงคโปร์ในบ้าน และพวกเขาทำได้เพียงบุกไปเสมอสิงคโปร์ นอกจากนี้ ในช่วงการเตรียมความพร้อมสำหรับรอบคัดเลือกครั้งนี้ ทีมชาติจีนเดินทางไปแข่งกระชับมิตรกับฟุตบอลชายทีมชาติสหรัฐและแพ้ไปอย่างเหนือความคาดหมาย 4–1[33] อีกทั้งยังแพ้ทีมอันดับสุดท้ายของลีกอย่างสโมสรฟุตบอลรีล ซอลต์ เลค 1–0 นำไปสู่ความกังวลที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้สนับสนุน[34][35] และจีนตกรอบแบ่งกลุ่มเอเชียนคัพ 2007 จากการมี 4 คะแนน แม้พวกเขาจะประเดิมนัดแรกด้วยการชนะมาเลเซีย 5–1 ความล้มเหลวในรายการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยเฉพาะทางสื่อสังคม รวมถึงผู้ที่ตกเป็นเป้าอย่างผู้ฝึกสอนและสมาคม วลาดิมีร์ เปตรอวิช เข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่[36] หลายฝ่ายมีการแสดงทรรศนะว่าการที่ทีมชาติจีนต้องพึ่งพาผู้ฝึกสอนต่างชาติหลายรายตลอดทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลในการแสวงหาผู้ฝึกสอนภายในประเทศ[37]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008 จีนตกรอบฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก โดยแพ้อิรัก และกาตาร์ในบ้านตนเอง เปตรอวิชพ้นจากตำแหน่งหลังจบโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 หยิน ตีเชง เข้ามาเป็นรักษาการผู้ฝึกสอน
2010–ปัจจุบัน
เกา หงโป ได้รับการแต่งตั้งในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 การมาถึงของเขาทำให้ทีมชาติจีนเลือกใช้กลยุทธ์ใหม่ในการเล่น โดยหันมาเน้นการส่งบอลบนพื้น และใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า นักฟุตบอลจีนใช้กลยุทธ์ในการจ่ายบอลยาวมากเกินไปมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา เหว่ย ตี้ นายกสมาคมฟุตบอลจีนในขนะนั้นเน้นย้ำว่า "ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ พวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณและความกล้าหาญของทีม ผมหวังว่าภายในระยะเวลาหนึ่งปี เราจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของทีมต่อสาธาณชนได้"[38] เกาพ้นจากตำแหน่งหลังจากจีนตกรอบแบ่งกลุ่มเอเชียนคัพ 2011 แต่เขามีค่าเฉลี่ยในการพาทีมชนะสูงถึง 65% สูงที่สุดสำหรับผู้ฝึกสอนชาวจีนนับตั้งแต่ Nian Weisi (67.86%)
โฆเซ อันโตนิโอ กามาโช
เกาถูกแทนที่โดยโฆเซ อันโตนิโอ กามาโช ด้วยระยะเวลาการว้าจ้าง 3 ปีและค่าตอบแทนสูงถึง 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[39] เหว่ย ตี้ อธิบายว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวที่จะช่วยให้ประเทศไล่ตามคู่แข่งอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ทัน โดยเขากล่าวว่า “เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แล้ว ฟุตบอลจีนยังตามหลังอยู่มาก เราจำเป็นต้องทำงานด้วยมุมมองระยะยาวและเริ่มไล่ตามให้ทันด้วยแนวทางที่เป็นรูปธรรม ประชาชนคาดหวังอย่างมากว่าจีนจะผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลได้ พวกเขากลัวว่าการเปลี่ยนผู้ฝึกสอนในนาทีสุดท้ายอาจส่งผลเสียต่อโอกาสเข้ารอบของทีม ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่เราไม่มีเวลาให้เสียอย่างเปล่าประโยชน์"
ยู่ หงเฉิน รองประธานสมาคมฟุตบอลกล่าวว่า "รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 เป็นเพียงงานชั่วคราวสำหรับเขา แม้จะล้มเหลว กามาโชจะยังได้รับโอกาสต่อไป เมื่อเราเริ่มหาผู้ฝึกสอนคนใหม่ให้กับทีมชาติ เรามุ่งเน้นไปที่ประเทศในแถบยุโรป เช่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสเปนเป็นหลัก ประการแรก พวกเขามีแนวคิดในด้านฟุตบอลขั้นสูง และประการที่สอง พวกเขามีระบบการฝึกสอนเยาวชนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้ เราหวังว่าเขาจะช่วยเราค้นหารูปแบบการเล่นที่เหมาะสมได้"
กามาโชนำทีมลงแข่งกระชับมิตรกับบราซิลในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2012 และแพ้ไปอย่างขาดลอย 8–0 ซึ่งเป็นการแพ้ที่ขาดลอยที่สุดในการแข่งขันระดับนานาชาติของจีน และทำให้พวกเขามีอันดับโลกที่ต่ำที่สุดทีอันดับ 109[40] กามาโชพาทีมลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก โดยแพ้ซาอุดีอาระเบียในนัดแรก 2–1[41] กามาโชถูกปลดหลังจากจีนแพ้ทีมชาติไทยในเกมกระชับมิตรที่ประเทศจีน 5–1 ฟู่ ป๋อ เข้ามาทำหน้าที่รักษาการต่อ โดยใน ค.ศ. 2015 สี จิ้นผิง ในฐานะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศวิสัยทัศน์ให้ฟุตบอลชายของจีนเป็นทีมที่ดีที่สุดในเอเชียภายในปี 2030 และในปีถัดมา สมาคมฟุตบอลจีนก็ได้เปิดตัวแผนงานอันทะเยอทะยานที่จะเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกภายในปี 2050[42]
อแล็ง แปร์แร็ง และ การกลับมาของ เกา หงโป
อแล็ง แปร์แร็ง ผู้ฝึกสอนชาวฝรั่งเศสพาทีมลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก โดยมีโชคเล็กน้อยจากผลการแข่งขันระหว่างไทยและเลบานอน ซึ่งแม้ทีมไทยจะแพ้แต่ประตูของอดิศักดิ์ ไกรษร ทำให้จีนได้เปรียบเลบานอนได้ด้านผลต่างประตูได้-เสีย[43] จากนั้นจีนผลมีงานที่ดีในเกมกระชับมิตรกับทีมต่าง ๆ ได้แก่ มาซิโดเนียเหนือ, คูเวต, ปารากวัย และไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับทีม ต่อมาในเอเชียนคัพ 2015 จีนเข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มโดยชนะซาอุดีอาระเบีย 1–0, ชนะอุซเบกิสถาน 2–1 และชนะเกาหลีเหนือ 2–1 แต่ยุติเส้นทางด้วยการแพ้ออสเตรเลีย 2–0 จากสองประตูโดยทิม เคฮิลล์[44] และจีนลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 เข้ารอบเป็นอันดับ 2 จากการชนะ 5 นัด, เสมอ 2 นัด และแพ้ 1 นัด แปร์แร็งพ้นจากตำแหน่งหลังพาทีมเสมอฮ่องกง 0–0 ในรอบนี้และเกา หงโป กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง แต่ในรอบคัดเลือก – รอบที่ 3 จีนอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมแกร่งกว่าอย่างเกาหลีใต้ และอิหร่าน ทีมของเกาไม่ชนะใครเลยในสี่นัดแรกของรอบคัดเลือกครั้งนี้ เกาลาออกจากตำแหน่งภายหลังความพ่ายแพ้ต่อซีเรียในบ้าน รวมทั้งบุกไปแพ้อุซเบกิสถาน โดยความพ่ายแพ้ต่อซีเรียในบ้านซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากแฟน ๆ จำนวนมาก[45]
มาร์เชลโล ลิปปี

มาร์เชลโล ลิปปี ได้รับการแต่งตั้งในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2016[46] และพาทีมลงแข่งในนัดที่เหลือ จีนเอาชนะเกาหลีใต้ 1–0 จากประตูของหยู ต้าเปา เป็นครั้งแรกที่จีนเอาชนะเกาหลีใต้ได้ในการแข่งขันที่ได้รับการรับรองโดยฟีฟ่า ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดจากเหตุการณ์ระบบป้องกันภัยเขตระดับความสูงขาลง[47] อย่างไรก็ตาม จีนบุกไปแพ้อิหร่านในนัดต่อมา และการเสมอซีเรีย 2–2 ทำให้จีนหมดโอกาสเข้ารอบอย่างเป็นทางการ แม้จะเอาชนะอุซเบกิสถาน 1–0 และบุกชนะกาตาร์ในนัดสุดท้าย 2–1[48]

ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 จีนผ่านรอบแบ่งกลุ่มจากผลงานเอาชนะคีร์กีซสถาน 2–1 และชนะฟิลิปปินส์ 3–0 แม้จะแพ้เกาหลีใต้ในนัดสุดท้าย 2–0 ตามด้วยการชนะไทยในรอบ 16 ทีม 2–1 แต่ยุติเส้นทางในรอบ 8 ทีมโดยแพ้อิหร่าน 3–0 และลิปปีประกาศลาออก[49] ฟาบีโอ กันนาวาโร เข้ามารับตำแหน่งควบคู่กับการเป็นผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลกว่างโจว แต่เขาอำลาตำแหน่งหลังผ่านไปเพียง 2 นัด[50] และเนื่องจากไม่สามารถหาผู้ฝึกสอนคนใหม่ได้ สมาคมจึงว่าจ้างลิปปีให้กลับมาทำทีมอีกครั้ง จีนจึงเริ่มทำการแปลงสัญชาติให้กับผู้เล่นต่างชาติหลายราย โดยมี นิโก เยนนาริส ชาวไซปรัสที่เกิดในอังกฤษ[51], ไทอัส บราวนิง (เจียง กวงไถ) ซึ่งเป็นผู้เล่นที่เกิดในอังกฤษอีกคนหนึ่งที่ได้รับการแปลงสัญชาติ[52] รวมถึงเอลเคสัน ชาวบราซิลซึ่งไม่มีเชื่้อสายจีนก็ได้รับการแปลงสัญชาติเช่นกัน[53] อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงล้มเหลวในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก จีนทำได้เพียงการเอาชนะทีมเล็กอย่างมัลดีฟส์และกวม ตามด้วยการบุกไปเสมอฟิลิปปินส์ และจากความพ่ายแพ้ต่อซีเรีย 2–1 ทำให้ลิปปีลาออก[54]
หลี่ เถีย และ หลี่ เชียวเผิง
หลี่ เถีย อดีตผู้เ่ล่นทีมชาติจีนชุดฟุตบอลโลก 2002 ได้รับการแต่งตั้งคุมทีมในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2020[55] จีนมีคะแนนตามหลังซีเรีย 5 คะแนน แม้จีนจะแซงเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 1 แต่พวกเขาเอาชนะได้ในนัดที่เหลือ ในจำนวนนี้รวมถึงชัยชนะที่สำคัญต่อฟิลิปปินส์ 2–0 และเอาชนะซีเรีย 3–1 เข้าสู่รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 3 ในฐานะทีมอันดับ 2 ที่มีผลงานดีที่สุดจากทุกกลุ่ม[56][57] แต่จีนมีผลงานย่ำแย่ในการคุมทีมของหลี่ จีนไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการแข่งขันในประเทศเนื่องจากการระบาดทั่วของโควิด-19 พวกเขาเริ่มด้วยการแพ้ออสเตรเลีย 3–0 และแพ้ญี่ปุ่น 1–0 แม้จะเอาชนะเวียดนาม 3–2 แต่การแพ้ซาอุดีอาระเบีย 3–2 และเสมออีก 2 นัดต่อโอมานและออสเตรเลียทำให้สถานการณ์การเข้ารอบยากลำบาก หลี่ได้รับแรงกดดันอย่างหนักก่อนจะถูกปลดในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2021[58][59] หลี่ เซียวเผิง เข้ามาคุมทีมต่อ นัดแรกของเขานั้นจีนบุกไปแพ้ญี่ปุ่น 2–0 ณ สนามกีฬาไซตามะ 2002 ทำให้จีนหมดลุ้นเข้ารอบอย่างอัตโนมัติ แต่ยังพอมีลุ้นในการเข้ารอบเพลย์ออฟ[60] อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของจีนไม่ดีขึ้น พวกเขาบุกไปแพ้เวียดนามที่ฮานอย 3–1 และเสมอซาอุดีอาระเบีย 1–1 จีนตกรอบอย่างเป็นทางการและแพ้โอมานในนัดสุดท้าย 2–0
ปัจจุบัน
ภายหลังจากความล้มเหลวดังกล่าว จีนลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชียตะวันออก ภายใต้ผู้ฝึกสอนชั่วคราวอย่าง อเล็กซานดาร์ ยันกอวิช จีนจบอันดับ 3 ในการแข่งขัน โดยเอาชนะฮ่องกง 1–0 และเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่พวกเขาไม่แพ้ญี่ปุ่นในฐานะทีมเยือนโดยบุกไปเสมอ 0–0 ที่สนามกีฬาโทโยตะ ส่งผลให้ยันกอวิชได้รับการจ้างอย่างถาวร[61] เพื่อเตรียมทีมลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ต่อมา ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024 จีนแพ้ต่อฮ่องกงในเกมกระชับมิตร 2–1 นับเป็นการแพ้ฮ่องกงครั้งแรกในรอบกว่า 39 ปี[62] และในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 จีนตกรอบจากการมี 2 คะแนนและนับเป็นครั้งแรกที่ทีมชาติจีนทำประตูไม่ได้เลยติดต่อกัน 3 นัดในรายการนี้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้สนับสนุนและยันกอวิชพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2024
บรันกอ อิวานกอวิช เข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 จีนเกือบจะตกรอบฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 แต่ยังผ่านเข้ารอบเป็นทีมอันดับ 2 ตามหลังเกาหลีใต้จากการมี 8 คะแนนเท่ากับทีมชาติไทย แต่พวกเขามีผลงานการพบกันที่เหนือกว่า โดยบุกไปชนะ 2–1 ที่กรุงเทพมหานคร และเสมอ 1–1 ที่เฉิ่นหยาง ต่อมาในรอบคัดเลือก – รอบที่ 3 จีนเริ่มต้นด้วยการแพ้ญี่ปุ่น 7–0 ที่ไซตามะ และแพ้ซาอุดีอาระเบียในนัดต่อมา 2–1 ตามด้วยบุกไปแพ้ออสเตรเลีย 3–1 จีนคว้าชัยชนะนัดแรกในรอบนี้จากการเปิดบ้านเอาชนะอินโดนีเซีย 2–1 และยังบุกไปชนะบาห์เรน 1–0 และกลับมาเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่น 3–1 จีนยุติเส้นทางไว้ที่รอบคัดเลือกจากการแพ้รวด 3 นัดใน ค.ศ. 2025 แม้จะปิดท้ายด้วยการเอาชนะบาห์เรน 1–0 จบอันดับ 5 ของกลุ่ม
Remove ads
ผลงาน
ฟุตบอลโลก
- 1930-1951 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1958 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 1962-1978 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1982-1998 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
- 2002 - รอบแรก
- 2006-2026 - ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
เอเชียนคัพ
- 1956-1972 - ไม่ได้เข้าร่วม
- 1976 - อันดับสาม
- 1980 - รอบแรก
- 1984 - อันดับสอง
- 1988 - อันดับสี่
- 1992 - อันดับสาม
- 1996 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
- 2000 - อันดับสี่
- 2004 - อันดับสอง
- 2007 - รอบแรก
- 2011 - รอบแรก
- 2015 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
- 2019 - รอบก่อนรองชนะเลิศ
- 2023 - รอบแรก
- 2027 - ผ่านเข้ารอบสุดท้าย
อีสต์เอเชียนคัพ
- 2003 - อันดับสาม
- 2005 - ชนะเลิศ
- 2008 - อันดับสาม
- 2010 - ชนะเลิศ
- 2013 - รองชนะเลิศ
- 2015 - รองชนะเลิศ
- 2017 - อันดับสาม
- 2019 - อันดับสาม
- 2022 - อันดับสาม
Remove ads
ผู้เล่น
สรุป
มุมมอง
นักเตะชุดปัจจุบัน
รายชื่อผู้เล่น 30 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 พบกับ ไทย ในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2567[63]
จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567 หลังแข่งขันกับ สิงคโปร์
Remove ads
อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
- เห่า ไห่ตง
ดูเพิ่ม
- ฟุตบอลหญิงทีมชาติจีน
- ฟุตซอลทีมชาติจีน
- ไชน่าคัพ 2019
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads