คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ฟุตบอลทีมชาติไทย
ทีมฟุตบอลชายตัวแทนของประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การบริหารของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ทีมชาติไทยเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 7 สมัย และซีเกมส์ 9 สมัย (นับเฉพาะทีมชาติชุดใหญ่) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในทั้งสองรายการ แต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับทวีปและระดับโลก[3] โดยเคยเข้าร่วมการแข่งขันเอเชียนคัพ 7 ครั้ง มีผลงานดีที่สุดคืออันดับ 3 ในเอเชียนคัพ 1972 ในฐานะเจ้าภาพ และคว้าอันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์ 2 ครั้งในเอเชียนเกมส์ 1990 และ 1998 และเข้าร่วมโอลิมปิกฤดูร้อน 2 ครั้ง ทีมชาติไทยยังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มีผลงานที่ดีที่สุดคือการผ่านเข้าถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ใน พ.ศ. 2545 และ 2561 อันดับโลกฟีฟ่าที่ดีที่สุดของทีมชาติไทย คือ อันดับที่ 43[4] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 99 ของโลก[5]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ก่อตั้งทีม (2458–2482)
ฟุตบอลทีมชาติไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2458 ในนาม คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม[6] โดยนักฟุตบอลทีมชาติสยาม 11 คนแรก มีรายชื่อดังนี้ อิน สถิตยวณิช (ผู้รักษาประตู) – แถม ประภาสะวัต, ต๋อ ศุกระศร, ภูหิน สถาวรวณิช (กองหลัง) – ตาด เสตะกสิกร, กิมฮวด วณิชยจินดา (กองกลาง) – หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร, ชอบ หังสสูต, โชติ ยูปานนท์, ศรีนวล มโนหรทัต, จรูญ รัตโนดม (กองหน้า) และลงเล่นในการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกพบกับทีมสปอร์ตคลับฝ่ายยุโรปซึ่งใช้นักเตะอังกฤษทั้งหมด โดยแข่งขันกันที่สนามราชกรีฑาสโมสร ในวันที่ 20 ธันวาคม 2458 ซึ่งทีมชาติสยามเอาชนะไปได้ 2–1 จากชัยชนะดังกล่าวทำให้กระแสความสนใจในกีฬาฟุตบอลในสยามประเทศเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ กระทั่งวันที่ 25 เมษายน 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งตราข้อบังคับสมาคมฯ และแต่งตั้งคณะสภากรรมการชุดแรก ประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 7 ท่าน โดยมีพระยาประสิทธิ์ศุภการ เป็นนายกสภาฯ[7] และพระราชดรุณรักษ์ เป็นเลขาธิการ[8] ในปีเดียวกันได้ริเริ่มจัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ (ถ้วยพระราชทาน ก) และฟุตบอลถ้วยน้อย (ถ้วยพระราชทาน ข) ขึ้นเป็นครั้งแรก
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2459
- คณะฟุตบอลชาติสยามในช่วงแรกของการก่อตั้ง
ทีมชาติสยามได้ลงแข่งขันในเกมระหว่างประเทศครั้งแรกในปี 2473 พบกับทีมชาติอินโดจีน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นเวียดนามใต้ และ ฝรั่งเศส เพื่อต้อนรับการเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยต่อมาชื่อของทีมชาติและชื่อของสมาคมได้ถูกเปลี่ยนชื่อในปี 2482 เมื่อรัฐบาล จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ประกาศนโยบาย “รัฐนิยม” ฉบับแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2481[9] ให้เปลี่ยนชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ จาก “สยาม” เป็น “ไทย”[10] จึงเป็นสาเหตุให้มีการเปลี่ยนชื่อจากสมาคมฟุตบอลแห่งชาติสยามเป็นสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อฟุตบอลทีมชาติสยามเป็นฟุตบอลทีมชาติไทยมาจนถึงปัจจุบัน[11]
การแข่งขันโอลิมปิกและซีเกมส์
ในปี 2499 พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร ซึ่งเป็นนายกสมาคม ได้มีการหาผู้เล่นจากหลายสโมสรเพื่อจัดตั้งทีมที่จะลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นครั้งแรกของทีมชาติไทยที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิก ในการแข่งขันครั้งนั้นเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก โดยทีมไทยซึ่งมี บุญชู สมุทรโคจร เป็นผู้ฝึกสอนคนแรก จับฉลากพบกับทีมสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยทีมไทยแพ้ไป 0–9 (นับเป็นความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์) และตกรอบทันที โดยหนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้พาดหัวข่าวหน้ากีฬาว่า "ทีมชาติอังกฤษเฆี่ยนทีมชาติไทย 9–0" ซึ่งภายหลังจบการแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีรับสั่งถึงสมาคมฟุตบอลฯ ให้ส่ง พล.ต.ดร.สำเริง ไชยยงค์ หนึ่งในนักฟุตบอลชุดโอลิมปิกไปศึกษาพื้นฐานการเล่นฟุตบอลจากประเทศเยอรมนี[12] เพื่อให้กลับมาสอนการเล่นฟุตบอลให้แก่ทีมไทย[13]
จนกระทั่งในปี 2508 ทีมชาติไทยก็สามารถคว้าเหรียญทองแรกในกีฬาแหลมทอง (ปัจจุบันคือกีฬาซีเกมส์) ครั้งที่ 3 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้สำเร็จ และหากนับจนถึงปัจจุบันทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้รวม 16 สมัย ถือเป็นสถิติสูงสุด (รวมทั้งทำสถิติคว้าแชมป์ติดต่อกัน 8 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2536–2550) ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนเป็นครั้งที่สองในปี 2511 ภายใต้การคุมทีมของ พลเอก ประเทียบ เทศวิศาล โดยแพ้บัลแกเรีย 0–7, แพ้กัวเตมาลา 1–4 และแพ้เช็กโกสโลวาเกีย 0–8 ตกรอบแรกในการแข่งขัน และนั่นเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกเป็นครั้งล่าสุดของทีมชาติไทยจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันเอเชียนคัพ, คิงส์คัพ, เอเชียนเกมส์ และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน
ในปี 2515 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 1972 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 5 โดยทีมชาติไทยได้อันดับที่ 3 โดยยิงลูกโทษตัดสินเอาชนะกัมพูชา 5–3 หลังจากเสมอกัน 2–2
ในปี 2519 ทีมชาติไทยได้แชมป์คิงส์คัพเป็นสมัยแรกโดยเป็นแชมป์ร่วมกับทีมชาติมาเลเซีย ภายหลังจากที่มีการเริ่มมีการจัดคิงส์คัพในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2511 โดยต่อมาทีมชาติไทยได้เป็นแชมป์คิงส์คัพรวมทั้งสิ้น 11 ครั้ง
สำหรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ทีมชาติไทยยังไม่เคยคว้าแชมป์ โดยความสำเร็จสูงสุดคือเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี 2533 เช่นเดียวกับเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่ กรุงเทพมหานคร ในปี 2541 และเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่ ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2545 และล่าสุดในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 15 ที่ โดฮา ประเทศกาตาร์ ในปี 2549 ทีมชาติไทยทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการเป็นทีมเดียวในอาเซียนที่ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และยังผ่านเข้ารอบโดยเป็นที่ 1 ของกลุ่ม
ในปี 2537 ทีมชาติไทยได้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ) ร่วมกับอีก 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการเชิญสโมสรชั้นนำจากทั่วโลกมาแข่งขันในประเทศไทยหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ เอฟซีปอร์โต (2540) อินเตอร์มิลาน (2540) โบคาจูเนียร์ (2540) ลิเวอร์พูล (2544) นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2547) เอฟเวอร์ตัน (2548) โบลตันวันเดอร์เรอร์ (2548) แมนเชสเตอร์ซิตี (2548 ที่ไทย และ 2550 ที่อังกฤษ[14]) รวมถึงเรอัลมาดริด, บาร์เซโลนา, เชลซี และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ถัดมาในปี 2539 ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของธวัชชัย สัจจกุล ได้มีผู้เล่นชื่อดังหลายคน อาทิ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, นที ทองสุขแก้ว, และ เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ จนได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "ทีมชาติไทยชุดดรีมทีม (Dream Team)"[15][16][17] โดยมีผลงานโดดเด่นคือการชนะเลิศรายการ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน (ปัจจุบันคือรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ) ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 คว้าแชมป์สมัยแรก
ทีมอันดับหนึ่งของอาเซียน (2540–2560)
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1998 ได้มีเหตุการณ์สำคัญในนัดที่ทีมไทยพบกับอินโดนีเซียในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม โดยทั้งสองทีมต่างก็ไม่ต้องการชนะ เพื่อจะได้เลี่ยงการพบเจ้าภาพเวียดนามในรอบรองชนะเลิศ เนื่องจากผู้ชนะของกลุ่มต้องเดินทางไกลจากโฮจิมินห์ไปแข่งกับเวียดนามที่ฮานอย ซึ่งก่อนเกมทีมไทยต้องการเล่นเอาผลเสมอเพื่อเข้ารอบเป็นอันดับสอง ในขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มต้องการแพ้และให้ทีมไทยเป็นอันดับหนึ่งแทน การแข่งขันจบลงโดยไทยชนะ 3–2[18] โดยผู้เล่นอินโดนีเซียเจตนาทำเข้าประตูตัวเองในช่วงทดเวลา และฟีฟ่าได้ลงโทษทั้งสองทีมโดยปรับเงิน 40,000 ดอลลาร์ และทีมไทยเข้าไปแพ้เวียดนาม 0–3 ก่อนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในปี 2543 และชนะอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศ 4–1[19] และป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งในปี 2545 ชนะจุดโทษอินโดนีเซียเจ้าภาพร่วมไปได้อีกครั้ง หลังเสมอกัน 2–2 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3[20]
อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยทำผลงานย่ำแย่ในเอเชียนคัพ ปี 2547 โดยตกรอบแบ่งกลุ่ม และแพ้รวดสามนัดที่พบกับญี่ปุ่น อิหร่าน และโอมาน ถือเป็นผลงานในเอเชียนคัพที่ย่ำแย่ที่สุดของทีม ก่อนจะทำผลงานดีขึ้นในการแข่งขันปี 2550 ในฐานะเจ้าภาพร่วมและมีลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย ด้วยการเสมออิรัก, ชนะโอมาน ก่อนจะแพ้ออสเตรเลีย ซึ่งในรายการนั้นยังเป็นการอำลาทีมชาติของผู้เล่นคนสำคัญ ได้แก่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน และ พิพัฒน์ ต้นกันยา
ในปี 2551 ไทยตกรอบฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในรอบ 20 ทีมสุดท้าย โดยได้อยู่สายเดียวกับญี่ปุ่น โอมาน บาห์เรน โดยมีผลงานคือเสมอ 1 นัด และแพ้ไปถึง 5 นัด ทำให้ชาญวิทย์ ผลชีวิน ลาออก[21] หลังจากนั้น ปีเตอร์ รีด อดีตนักเตะสโมสรเอฟเวอร์ตันและทีมชาติอังกฤษได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนต่อ แต่ทีมชาติไทยก็พลาดแชมป์สำคัญในรายการอาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 2007 โดยแพ้เวียดนามรวมผลประตูสองนัด 2–3 และยังพลาดแชมป์คิงส์คัพโดยดวลจุดโทษแพ้ทีมชาติเดนมาร์ก ทำให้ในเดือนกันยายน 2552 ปีเตอร์ รีด ถูกปลด
ในวันที่ 23 กันยายน 2552 ไบรอัน ร็อบสัน ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอน[22] และในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ร็อบสันนำทีมชาติไทยคว้าชัยชนะนัดแรกในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2011 รอบคัดเลือกโดยบุกไปชนะสิงคโปร์ 3–1[23] แต่ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ร็อบสันนำทีมไทยแพ้สิงคโปร์ 0–1 ที่ประเทศไทย ต่อมา ทีมชาติไทยเสมอกับจอร์แดนและอิหร่าน 0–0 แต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้ ต่อมา ในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยชนะสิงคโปร์ 1–0 ในการแข่งขันกระชับมิตรที่ประเทศไทย ถัดมา ในเดือนกันยายน ร็อบสันก็นำทีมเอาชนะอินเดียได้ 2–1 ในการแข่งขันกระชับมิตรเช่นกัน แต่ในเดือนธันวาคม ทีมไทยทำผลงานน่าผิดหวังในการตกรอบแบ่งกลุ่มเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2010 โดยเสมอ 2 นัดกับลาว และ มาเลเซีย และแพ้อินโดนีเซีย ทำให้ร็อบสันถูกยกเลิกสัญญา[24]

ในเดือนมิถุนายน 2554 วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตผู้จัดการทีมเฟาเอฟเบชตุทท์การ์ทในบุนเดิสลีกา และอดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติแคเมอรูน ได้เข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย โดยงานแรกคือการนำทีมไทยไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก[25] โดยนัดแรก ไทยบุกไปแพ้ออสเตรเลีย 1–2[26] และในนัดต่อมาเอาชนะโอมานได้ 3–0 โดยเป็นชัยชนะนัดที่สองของทีมในการแข่งขันรอบคัดเลือกครั้งนี้ ซึ่งนัดแรกคือการชนะปาเสลสไตน์ 3–2 ในรอบคัดเลือกรอบที่ 2[27] และยังสามารถยันเสมอกับซาอุดีอาระเบียได้ 0–0 ในนัดถัดมา ก่อนจะแพ้ 3 นัดรวด ยุติเส้นทางการแข่งขันไว้ที่รอบคัดเลือกรอบที่ 3 ถัดมา ในการแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ทีมไทยเข้าชิงชนะเลิศกับสิงคโปร์ โดยในนัดแรก ไทยบุกไปแพ้ 1–3 และในนัดที่สองที่กรีฑาสถานแห่งชาติ ไทยชนะ 1–0 แต่รวมผลประตูสองนัดแพ้ 2–3 ได้แค่รองแชมป์[28] ต่อมา เชเฟอร์นำทีมไปแข่งเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก ก่อนจะแพ้ทั้ง 2 นัด ทำให้เชเฟอร์ยกเลิกสัญญาในเดือนมิถุนายน 2556 ต่อมา สมาคมฯ ได้แต่งตั้งร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยให้คุมทีมชุดรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีก่อน ซึ่งนัดแรกของเกียรติศักดิ์ในการคุมทีมชาติไทยคือการแข่งขันกระชับมิตรพบกับทีมชาติจีน โดยทีมชาติไทยบุกไปชนะได้ถึง 5–1[29]

ในเดือนสิงหาคม 2556 สมาคมแต่งตั้งสุรชัย จตุรภัทรพงษ์ อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนและเตรียมทีมไปแข่งกับอิหร่านในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบแบ่งกลุ่ม[30] ก่อนที่เกียรติศักดิ์จะมาคุมทีมต่อ และพาทีมคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยเอาชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–3 ตามด้วยการคว้ารองแชมป์คิงส์คัพในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ถัดมา ในปี 2559 ทีมชาติไทยเป็นแชมป์กลุ่มในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบที่ 2 ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพ 2019 ได้สำเร็จ ซึ่งยังเป็นการผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และยังคว้าแชมป์ได้อีก 2 รายการ คือ คิงส์คัพ ครั้งที่ 44 และเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 เอาชนะจอร์แดนและอินโดนีเซียตามลำดับ แต่ในรอบที่ 3 ของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทีมไทยทำผลงานย่ำแย่โดยนับจนถึงเดือนมีนาคม 2560 ทำได้เพียงเสมอ 1 นัดและแพ้รวดในนัดที่เหลือ ทำให้เกียรติศักดิ์ลาออก[31][32]


ในเดือนพฤษภาคม 2560 มิลอวัน ราเยวัตส์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติกานาซึ่งพาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอน และพาทีมไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 45 โดยชนะจุดโทษเบลารุส แต่ผลงานโดยรวมยังไม่ดีขึ้น โดยแพ้ 8 นัด และเสมออีก 2 นัด ต่อมาในปี 2561 ไทยลงแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 โดยในนัดแรกเสมอกาบอง 0–0 ก่อนจะชนะจุดโทษ แต่ไปแพ้สโลวาเกีย 2–3 ในรอบชิงชนะเลิศ ตามด้วยการตกรอบรองชนะเลิศเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 โดยแพ้มาเลเซียด้วยกฎประตูทีมเยือน และในนัดแรกของเอเชียนคัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไทยถูกอินเดียถล่ม 1–4 ทำให้ราเยวัตส์ถูกปลด[33] สมาคมแต่งตั้ง ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทยเป็นผู้ฝึกสอนชั่วคราว[34] และทีมไทยเอาชนะบาห์เรน 1–0 และเสมอสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1–1 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายซึ่งเป็นการผ่านเข้ารอบแพ้คัดออกในรายการนี้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2515 ก่อนจะแพ้จีน 1–2 ต่อมา ในการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ไทยแพ้เวียดนามและอินเดีย 0–1 ทั้งสองนัดจบเพียงอันดับ 4
สร้างทีมใหม่ (2562–ปัจจุบัน)
อากิระ นิชิโนะ และ อาเลชังดรี ปอลกิง
ทีมชาติไทยแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ อดีตนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมชาติญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทั้งทีมชาติชุดใหญ่และทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเขาถือเป็นผู้ฝึกสอนชาวเอเชียคนแรก (ที่ไม่ใช่ชาวไทย) ที่ได้เป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย[35] ในวันที่ 24 มกราคม 2563 นิชิโนะได้รับการขยายสัญญาไปถึงปี 2565[36] แต่ถูกยกเลิกสัญญาในเดือนกรกฎาคม 2564 เนื่องจากผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก[37]
ในวันที่ 29 กันยายน 2564 ทีมชาติไทยแต่งตั้ง อาเลชังดรี ปอลกิง อดีตผู้ฝึกสอนในไทยลีกเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่[38] พาทีมลงแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 โดยทีมชาติไทยผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะรวด และเอาชนะเวียดนามในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 2–0 ผ่านเข้าไปพบกับอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 ในรายการนี้[39] และชนะไปด้วยผลประตูรวมสองนัด 6–2 คว้าแชมป์สมัยที่ 6[40] ต่อมา ในเดือนมิถุนายน 2565 ทีมชาติไทยลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 และผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งที่แปดจากผลงานชนะสองนัด (พบมัลดีฟส์ และ ศรีลังกา) และแพ้หนึ่งนัด (พบอุซเบกิสถาน) ตามด้วยการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 48 ในเดือนกันยายน 2565 และคว้าอันดับสามโดยแพ้จุดโทษมาเลเซีย และเอาชนะตรินิแดดและโตเบโก
ทีมชาติไทยป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2022 ได้ในเดือนมกราคม 2566 โดยเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม ตามด้วยการชนะมาเลเซียในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–1 และเอาชนะเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลรวม 3–2 คว้าแชมป์สมัยที่ 7 ต่อมา ทีมไทยลงแข่งฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 แต่ทำได้เพียงรองแชมป์โดยแพ้การดวลจุดโทษอิรักหลังเสมอกัน 2–2 ถัดมาในเดือนตุลาคม 2566 ทีมไทยลงแข่งกระชับมิตรที่ทวีปยุโรปสองนัดพบจอร์เจียและเอสโตเนีย โดยปราศจากผู้เล่นตัวหลักหลายราย เช่น ชนาธิป สรงกระสินธ์, นิโคลัส มิคเกลสัน และ เอกนิษฐ์ ปัญญาจากการบาดเจ็บ นอกจากนี้ สโมสรต้นสังกัดยังปฏิเสธการส่งตัวผู้เล่นหลายรายร่วมแข่งขันรวมถึง ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, สุภโชค สารชาติ, สารัช อยู่เย็น และพรรษา เหมวิบูลย์ ส่งผลให้ต้องใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง ในวันที่ 12 ตุลาคม 2566 ทีมชาติไทยต้องพบความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยแพ้จอร์เจียด้วยผลประตู 0–8 ณ เมืองทบิลีซี[41][42] ตามด้วยการเสมอเอสโตเนีย 1–1 ต่อมา ทีมชาติไทยลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 โดยมีทีมร่วมกลุ่มได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน ทีมไทยมีเป้าหมายในการเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 แต่พวกเขาประเดิมสนามนัดแรกด้วยการเปิดบ้านแพ้จีน 1–2 แม้จะบุกไปชนะสิงคโปร์ 3–1[43] และขึ้นไปอยู่อันดับสองของกลุ่มแต่ปอลกิงก็ถูกปลด
มาซาตาดะ อิชิอิ

มาซาตาดะ อิชิอิ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ เขาพาทีมลงแข่งขันนัดแรกในเกมกระชับมิตรพบญี่ปุ่น และแพ้ด้วยผลประตู 0–5 ตามด้วยเอเชียนคัพ 2023 ที่ประเทศกาตาร์ โดยทีมไทยประเดิมสนามด้วยการเอาชนะคีร์กีซสถาน 2–0 ซึ่งถือเป็นชัยชนะในนัดเปิดสนามเป็นครั้งแรกในรายการนี้ ต่อมา ทีมไทยพบกับทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่างโอมานซึ่งคุมทีมโดยบรันกอ อิวานกอวิช ผู้ฝึกสอนชาวโครเอเชียและมีประสบการณ์ในการคุมทีมในเอเชีย และไม่เคยแพ้ทีมไทยตลอดอาชีพการคุมทีม และการแข่งขันจบลงด้วยผลเสมอ 0–0 และในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ทีมไทยทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในการแข่งขันเอเชียนคัพสมัยใหม่ โดยเสมอซาอุดีอาระเบีย 0–0 ยุติการแพ้ซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม ทีมไทยต้องยุติเส้นทางด้วยการแพ้อุซเบกิสถานในรอบ 16 ทีมด้วยผลประตู 1–2[44] แม้จะตกรอบแต่ทีมชุดนี้ก็ได้รับเสียงชื่นชมในด้านวิธีการเล่น
ต่อมา ทีมไทยกลับมาลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในเดือนมีนาคม 2567 พบกับเกาหลีใต้สองนัด แม้จะบุกไปเสมอได้ถึงกรุงโซลอย่างเหนือความคาดหมาย 1–1 แต่ก็กลับมาแพ้ที่ประเทศไทย 0–3 และต้องยุติเส้นทางในรอบคัดเลือกครั้งนี้ในเดือนมิถุนายน แม้จะบุกไปเสมอจีน 1–1 และเอาชนะสิงคโปร์ได้ในนัดสุดท้าย 3–1 โดยมี 8 คะแนนเท่ากับจีนและยังมีผลต่างประตูได้เสียที่เท่ากัน แต่ทีมชาติไทยต้องตกรอบเนื่องจากมีผลงานการพบกันที่เป็นรอง[45][46]
ในเดือนกันยายน 2567 ทีมชาติไทยลงแข่งขันกระชับมิตรในรายการแอลพีแบงก์ คัพ 2024 พบรัสเซียและเวียดนาม โดยเรียกผู้เล่นหน้าใหม่หลายคน เช่น โจนาธาร เข็มดี, วาริส ชูทอง, ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ, วิลเลียม ไวเดอร์เฌอ, พาตริก กุสตาฟส์สัน, คคนะ คำยก รวมถึงเอกนิษฐ์ ปัญญา โดยในนัดแรกที่ต้องเจอกับรัสเซียนั้น ไม่สามารถลงแข่งได้เนื่องจากมีพายุยางิ จึงต้องแข่งขันในนัดที่สองกับเวียดนาม และบุกไปชนะ 2–1 หลังจบเกมทีมชาติไทยได้รับเสียงชื่นชม โดยเฉพาะผู้ฝึกสอนอย่างอิชิอิที่กล้าเปลี่ยนแปลงผู้เล่นหลายราย และทำให้อันดับโลกขึ้นไปอยู่ใน Top 100 เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ต่อมา ทีมไทยลงแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ในเดือนตุลาคม 2567 และคว้าแชมป์สมัยที่ 16 โดยเอาชนะฟิลิปปินส์ในรอบรองชนะเลิศ 3–1 และชนะซีเรียในรอบชิงชนะเลิศ 2–1
ทีมชาติไทยลงแข่งขันกระชับมิตรในเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยเสมอทั้งสองนัดกับเลบานอน (0–0) และลาว (1–1) ก่อนจะลงป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2024 โดยอยู่กลุ่มเอร่วมกับกัมพูชา, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และติมอร์-เลสเต ในการแข่งขันนัดแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ทีมไทยเอาชนะติมอร์-เลสเตด้วยผลประตู 10–0 ถือเป็นสถิติร่วมในการเอาชนะคู่แข่งได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ เท่ากับที่พวกเขาเอาชนะบรูไนที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 25 พฤษภาคม 2514 ทีมไทยเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มตามด้วยการชนะฟิลิปปินส์ในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–3 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับเวียดนามเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน แต่แพ้ด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–5
ทีมชาติไทยประเดิมการแข่งขันในปี 2568 ด้วยการเอาชนะอัฟกานิสถาน 2–0 ในนัดกระชับมิตรวันที่ 21 มีนาคม 2568 และลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 ในวันที่ 25 มีนาคม เอาชนะศรีลังกา 1–0 และลงแข่งสองนัดในเดือนมิถุนายน 2568 โดยเอาชนะอินเดียในนัดกระชับมิตร 2–0 แต่บุกไปแพ้เติร์กเมนิสถาน 1–3 ในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก
Remove ads
ภาพลักษณ์ทีม
สรุป
มุมมอง
ชุดแข่งขัน

แต่เดิมชุดแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดที่หนึ่งประกอบด้วย เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง และถุงเท้าสีแดง ส่วนชุดที่สองประกอบด้วย เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีน้ำเงิน และ ถุงเท้าสีน้ำเงิน เอฟบีทีเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันตั้งแต่ปี 2545–2550 ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ไนกี้ เข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันของทีมชาติไทย และในเดือนตุลาคม สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยัง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เป็นเสื้อสีเหลือง กางเกงสีเหลือง และถุงเท้าสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมกรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีมติให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยังฟีฟ่า กลับมาเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีแดงและถุงเท้าสีแดงอีกครั้ง
ทีมชาติไทยเซ็นสัญญากับแกรนด์สปอร์ตด้วยสัญญามูลค่า 96 ล้านบาทในการเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันตั้งแต่ปี 2555–2559[47] และในปี 2560 วอริกซ์ สปอร์ตเข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันรายล่าสุดจนถึงปัจจุบัน โดยในปีนั้น สมาคมฯ ได้ขอทางฟีฟ่าเปลี่ยนสีเสื้อทั้งเหย้าและเยือนเป็นสีดำและขาว เพื่อเป็นการถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 เป็นเวลา 1 ปี[48][49]
ถัดมาในปี 2561 ทีมชาติไทยทำการเปิดตัวชุดแข่งขันทีมเหย้าสีน้ำเงิน, ชุดทีมเยือนสีแดง รวมถึงชุดแข่งขันที่สามซึ่งเป็นสีขาว/ดำ เพื่อใช้ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 รวมถึงฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47[50] และในปีเดียวกันนั้น วอริกซ์ได้เปิดตัวชุดแข่งขันใหม่อีกครั้งเป็นเสื้อสีเหลืองและกางเกงสีขาว เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562.
สัญลักษณ์บนอกเสื้อของนักฟุตบอลทีมชาติอย่าง “โลโก้ช้างศึก” เป็นภาพลักษณ์สำคัญอีกประการหนึ่ง โดยสัญลักษณ์นี้ออกแบบมาด้วยความเรียบง่ายแต่ทันสมัย ตัวช้างศึกมีสัณฐานที่สง่างาม แข็งแรง และน่าเกรงขาม แต่ก่อนที่จะมีโลโก้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทีมชาติไทยเคยใช้ตราสัญลักษณ์แบบอื่นมาก่อน โลโก้แรกสุดคือ “ตราพระมหามงกุฎ” ที่ได้รับพระราชทานเมื่อปี พ.ศ. 2458 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “ธงไตรรงค์” ในปี พ.ศ. 2475 และก็ได้เปลี่ยนมาใช้สัญลักษณ์ “ช้างศึก (ช้างน้อย)” ในปี พ.ศ. 2545 เพื่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้นผนวกกับความต้องการให้สื่อถึงประเทศไทยและมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็มีการปรับปรุงโลโก้อยู่หลายครั้ง เช่น การเพิ่มงา การปรับแถบสีธงชาติ การปรับตัวอักษร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 ก็มีการออกแบบตราสัญลักษณ์ช้างศึกอันโดดเด่นขึ้นมาใหม่ และด้วยเหตุนี้เองที่นักเตะทุกคนได้รับฉายานามว่าเป็นช้างศึกหรือขุนพลของไทย
นอกจากนี้ทีมชาติไทยยังมีภาพลักษณ์ที่เป็นสีสีนท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดอย่าง “มาสคอตไทยลีก” ซึ่งล่าสุดในปี พ.ศ.[51] 2565 ได้ออกแบบให้มีรูปร่างเป็นช้างน้อยสุดน่ารักสอดคล้องกับฉายาขุนพลช้างศึกที่มีชื่อเล่นว่า “น้องจอมทัพ” โดยจะปรากฏตัวด้วยรอยยิ้มทุกครั้งก่อนนักกีฬาลงสนามเพื่อมอบความสุขให้กับบรรดาแฟน ๆ กีฬาทุกคน มาสคอตตัวนี้กลายเป็นลายเซ็นอันโดดเด่นของฟุตบอลทีมชาติไทยที่คอยมอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสร้างเสียงเชียร์อยู่เบื้องหลัง และจะกลายเป็นตัวแทนจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งและความสำเร็จของทีมไทยไม่ต่างจากมาสคอตฟุตบอลโลกที่เป็นตำนานมาแล้ว[52]
สนามเหย้า
ปัจจุบันทีมชาติไทยใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้า ความจุ 49,722 ที่นั่ง เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2541 เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 1998 โดยทีมชาติไทยลงแข่งขัน ณ สนามแห่งนี้เป็นครั้งแรกในนัดที่เสมอกับทีมชาติคาซัคสถาน 1–1 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งในยุคนั้นยังมีการใช้สนามเหย้าทั้งกรีฑาสถานแห่งชาติ และราชมังคลากีฬาสถานสำหรับเกมนานาชาติสลับหมุนเวียนไป ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้าของทีมชาติไทยในเกมระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการเพียงแห่งเดียว (อาจใช้สนามแห่งอื่นในบางโอกาส)
ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ
ในปี 2565 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เตรียมการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ[53]แบบครบวงจรแห่งใหม่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 300 ไร่ ในโครงการ FIFA Forward 3.0 ต่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ภายในจะพื้นที่ศูนย์ฝึกจะประกอบไปด้วยสนามฟุตบอลมาตรฐานระดับฟีฟ่าตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ อาคารที่พัก อาคารสำนักงาน อาคารสำหรับวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬา และพื้นที่สาธารณะให้กับชุมชน เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมความสามารถ สนับสนุนกิจกรรมทุกด้าน และเตรียมความพร้อมให้นักฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งชายและหญิง นักกีฬาเยาวชน ผู้ฝึกสอน กรรมการผู้ตัดสิน นักกายภาพบำบัด และการฝึกอบรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนากีฬาฟุตบอลในระดับภูมิภาค
Remove ads
คู่แข่งสำคัญ
สรุป
มุมมอง
ทีมชาติไทยมีคู่ปรับสำคัญในสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนหลายทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และพม่า
มาเลเซียเป็นชาติที่มีสถิติการพบกับทีมชาติไทยมากที่สุดจำนวน 106 ครั้ง โดยก่อนที่มาเลเซียจะประสบเหตุการณ์อื้อฉาวจากการติดสินบนการแข่งขันภายในประเทศในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้วงการฟุตบอลมาเลเซียตกต่ำลงนั้น พวกเขาถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่ทีมไทยเอาชนะได้ยากที่สุด และไทยไม่สามารถบุกไปชนะที่ประเทศมาเลเซียได้เลยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา และมาเลเซียยังมีสถิติการพบกันที่เหนือกว่าทีมชาติไทย โดยชนะ 41 ครั้ง, เสมอ 34 ครั้ง และแพ้ 32 ครั้ง
สิงคโปร์ถือเป็นชาติคู่แข่งของทีมชาติไทยมาหลายทศวรรษเช่นกัน โดยสิงคโปร์เป็นชาติที่ชนะเลิศรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนมากที่สุดเป็นอันดับสอง (4 สมัย) รองจากไทย (7 สมัย) และทั้งคู่ต่างก็เป็นหนึ่งในมหาอำนาจในภูมิภาคตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 ทีมไทยมีสถิติการพบกันที่เหนือกว่า โดยชนะ 40 ครั้ง, เสมอ 18 ครั้ง และแพ้ 11 ครั้ง[54] นโยบายการพัฒนาทีมฟุตบอลของทั้งสองชาตินั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง โดยทีมไทยอาศัยการพัฒนาผู้เล่นในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่สิงคโปร์เน้นนโยบายการพึ่งพานักเตะต่างชาติซึ่งโอนสัญชาติ
การแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทยกับเวียดนาม ได้ยกระดับความเข้มข้นขึ้นตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ในอดีตตั้งแต่ช่วงที่เวียดนามแยกประเทศ และมีทีมฟุตบอลสองทีมคือเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ไทยมีสถิติการพบกันที่เป็นรองเวียดนามใต้อย่างมาก โดยเอาชนะได้เพียง 4 ครั้งเท่านั้นจาก 27 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ทีมไทยมีสถิติที่เหนือกว่าเวียดนามมากนับตั้งแต่มีการรวมประเทศเวียดนาม โดยเอาชนะได้ 15 ครั้ง แพ้เพียง 3 ครั้ง แต่เวียดนามก็ถือเป็นชาติที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแย่งความสำเร็จจากทีมชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนได้ รวมทั้งแย่งการเป็นทีมอันดับหนึ่งในภูมิภาคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชัยชนะที่สำคัญที่เวียดนามมีต่อทีมชาติไทยคือรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2008 และ 2024
สงครามพม่า–สยาม ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยและพม่ามีความเข้มข้นมาถึงปัจจุบัน[55] พม่าเคยเป็นทีมมหาอำนาจในภูมิภาคในช่วงทศวรรษ 1960–70 ก่อนจะตกต่ำลงจากสถานการณ์ในประเทศในยุคของเนวี่น การพัฒนากีฬาฟุตบอลของพม่าก็ชะงักลง ทำให้ทีมไทยมีผลงานที่เหนือกว่ามากในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของความสำเร็จและผลการแข่งขันระหว่างสองทีม[56]
อินโดนีเซียพบกับทีมชาติไทยในรายการสำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2000, 2002, 2016 และ 2020 ซึ่งทีมชาติไทยสามารถเอาชนะและคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 4 ครั้ง และไทยมีสถิติที่เหนือกว่าในการพบกันทุกรายการ โดยชนะ 36 ครั้ง, เสมอ 18 ครั้ง และแพ้ 21 ครั้ง
จีนกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของทีมชาติไทยหลังหมดยุคทองของทีมชาติจีนในทศวรรษที่ 2000 และหลังจากที่ไทยลีกได้โควตาสัมประสิทธิ์อัตโนมัติในศึกเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกในระดับสโมสร จีนกลายเป็นคู่ปรับสำคัญในการแย่งชิงโควตาระดับสโมสรเอเชีย ประกอบกับปัญหาการจัดการภายในของสมาคมฟุตบอลจีน ทำให้ทั้งสองชาติร่นระดับกลายเป็นคู่แข่งที่สูสีกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีผลงานที่ดีกว่าในการแข่งขันระดับทางการ แต่ไทยก็สามารถเอาชนะจีนในการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องระดับทางการในวันฟีฟ่าเดย์ได้หลายครั้งเช่นกัน
Remove ads
บุคลากร
ทีมงานผู้ฝึกสอน
- ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568
ผู้เล่น
สรุป
มุมมอง
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
รายชื่อผู้เล่น 23 คน สำหรับการแข่งขันกระชับมิตรกับ อินเดีย และเอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือกกับ
เติร์กเมนิสถาน ระหว่างวันที่ 4 และ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568
จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568 หลังแข่งขันกับ เติร์กเมนิสถาน
ที่เคยถูกเรียกตัว
รายชื่อผู้เล่นที่เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยในรอบ 12 เดือนล่าสุด:
Remove ads
กัปตันทีม
สรุป
มุมมอง
Remove ads
ทำเนียบผู้ฝึกสอน
สรุป
มุมมอง
หัวหน้าผู้ฝึกสอนตั้งแต่ พ.ศ. 2499–ปัจจุบัน
Remove ads
การแข่งขัน
สรุป
มุมมอง

สถิติการแข่งขันแบบเฮดทูเฮด
ฟุตบอลโลก
โอลิมปิก
(ใช้ทีมชาติอายุไม่เกิน 23 ปีตั้งแต่ พ.ศ. 2535)
เอเชียนคัพ


เอเชียนเกมส์
(ใช้ทีมชาติอายุไม่เกิน 23 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2545)
อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ
การแข่งขันนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อไทเกอร์คัพ, เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ และ เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็กทริค คัพ
ซีเกมส์
ใช้ทีมชาติอายุไม่เกิน 23 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 - ค.ศ. 2015 ใช้ทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 21 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2017
เกียรติยศอื่น ๆ
- ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ (16 ครั้ง) : (พ.ศ. 2519, พ.ศ. 2522, พ.ศ. 2523, พ.ศ. 2524, พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2527, พ.ศ. 2532, พ.ศ. 2533, พ.ศ. 2535, พ.ศ. 2537, พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2550, พ.ศ. 2559, พ.ศ. 2560, พ.ศ. 2567)
- ฟุตบอลสามเส้าที่ไต้หวัน : (พ.ศ. 2514)
- ฟุตบอลสี่เส้าอินโดจีน (กรุงเทพ) : (พ.ศ. 2532)
- บรูไนเกมส์ : (พ.ศ. 2533)
- อินดีเพนเดนต์คัพ (อินโดนีเซีย) : (พ.ศ. 2537)
- T&T Cup : (พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2551)
- ภูเก็ตกะตะกรุ๊ปคัพ (การแข่งขันกระชับมิตรกับทีมสโมสร) : (พ.ศ. 2552)
Remove ads
สถิติ
ติดทีมชาติสูงสุด
- ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2567
ผู้ทำประตูสูงสุด
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads