Loading AI tools
นักฟุตบอลชายชาวโปรตุเกส จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กริชตียานู รอนัลดู ดุช ซังตุช อาไวรู (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro; เกิด 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985) หรือที่รู้จักกันในนาม คริสเตียโน โรนัลโด เป็นนักฟุตบอลชาวโปรตุเกสซึ่งเล่นในตำแหน่งกองหน้าให้แก่อันนัศร์ สโมสรในซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก และเป็นกัปตันทีมชาติโปรตุเกส ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[2][3][4][5] เขาได้รับรางวัลบาลงดอร์ 5 สมัย,[b] รางวัลรองเท้าทองคำยุโรป 4 สมัย และรางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมแห่งปีของสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป 3 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดทั้งสามรางวัลของผู้เล่นชาวยุโรป รวมทั้งรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี 5 ครั้ง โรนัลโดยังครองสถิติสำคัญได้แก่ เป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุด (183 นัด), ทำประตูมากที่สุด (140 ประตู), แอสซิสต์มากที่สุด (42 ครั้ง) และทำแฮตทริกมากที่สุด (8 ครั้ง) ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก,[6] เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 5 สมัย, เป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุด (30 นัด), ทำประตูมากที่สุด (14 ประตู) และ แอสซิสต์มากที่สุด (8 ครั้ง) ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป,[7] เป็นนักฟุตบอลชายที่ทำประตูในนามทีมชาติมากที่สุด (135 ประตู)[8] และลงสนามในนามทีมชาติมากที่สุดตลอดกาล (217 นัด) และเป็นผู้เล่นคนเดียวที่เป็นผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลในลีกสูงสุดของอังกฤษ สเปน และอิตาลี[c] เขายังเป็นหนึ่งในห้าผู้เล่นที่ลงแข่งขันทางการมากกว่า 1,200 นัด โดยเป็นผู้เล่นที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูที่ลงสนามในการแข่งขันทางการมากที่สุด[9] และเป็นนักฟุตบอลที่ทำประตูในการแข่งขันทางการมากที่สุด (915 ประตู) โรนัลโดชนะเลิศถ้วยรางวัล 33 รายการ[10] ซึ่งรวมถึงแชมป์ลีก 7 สมัย, แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 5 สมัย, แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และ แชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีก เขาได้รับการคัดเลือกใน ค.ศ. 2020 โดยฟร็องส์ฟุตโบลให้มีชื่อในบัลลงดอร์ดรีมทีมหรือ 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมตลอดกาล[11]
ข้อมูลส่วนตัว | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | กริชตียานู รอนัลดู ดุช ซังตุช อาไวรู | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วันเกิด | 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สถานที่เกิด | ฟุงชาล มาเดรา ประเทศโปรตุเกส | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.87 m (6 ft 2 in)[1][a] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลสโมสร | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สโมสรปัจจุบัน | อันนัศร์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
หมายเลข | 7 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1993–1995 | อังดูรีญา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1995–1997 | นาซียูนัล | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1997–2002 | สปอร์ติงลิสบอน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2002–2003 | สปอร์ติงลิสบอน | 25 | (3) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2003–2009 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 196 | (84) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2009–2018 | เรอัลมาดริด | 292 | (311) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2018–2021 | ยูเวนตุส | 98 | (81) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2021–2022 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 40 | (19) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2023– | อันนัศร์ | 58 | (58) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ทีมชาติ‡ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2001 | โปรตุเกส อายุไม่เกิน 15 ปี | 9 | (7) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2001–2002 | โปรตุเกส อายุไม่เกิน 17 ปี | 7 | (5) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2002–2003 | โปรตุเกส อายุไม่เกิน 21 ปี | 5 | (1) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2003 | โปรตุเกส อายุไม่เกิน 20 ปี | 10 | (3) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2004 | โปรตุเกส อายุไม่เกิน 23 ปี | 3 | (2) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2003– | โปรตุเกส | 217 | (135) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2024 ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 15 พศจิกายน 2024 |
โรนัลโดเริ่มต้นอาชีพกับสโมสรสปอร์ติงลิสบอน ก่อนจะย้ายไปแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใน ค.ศ. 2003 และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย รวมทั้งคว้าบาลงดอร์สมัยแรกใน ค.ศ. 2008 ด้วยวัย 23 ปี[12] ก่อนจะย้ายไปเรอัลมาดริดใน ค.ศ. 2009 ด้วยค่าตัว 94 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติโลกในขณะนั้น[13] เขาเป็นหนึ่งในสามประสานในแนวรุกร่วมกับการีม แบนเซมา และ แกเร็ท เบล ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ 4 สมัยระหว่าง ค.ศ. 2014–2018 ในช่วงเวลาดังกล่าว โรนัลโดคว้าบาลงดอร์เพิ่ม 4 สมัยใน ค.ศ. 2013, 2014, 2016 และ 2017 และคว้าอันดับสองได้อีกสามครั้ง เป็นรองเพียง ลิโอเนล เมสซิ คู่แข่งคนสำคัญในอาชีพ โรนัลโดคว้าถ้วยรางวัลกับเรอัลมาดริด 15 รายการ ได้แก่ แชมป์ลาลิกา 2 สมัย, โกปาเดลเรย์ 2 สมัย, ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2 สมัย, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 4 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 สมัย และ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 3 สมัย และกลายเป็นผู้ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลของสโมสร (450 ประตู) รวมทั้งเป็นผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[14] เขายังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลในรายการดังกล่าว 6 ฤดูกาลติดต่อกันตั้งแต่ ค.ศ. 2012–2018 โรนัลโดย้ายไปยูเวนตุสใน ค.ศ. 2018 ด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร ถือเป็นนักเตะที่มีค่าตัวสูงที่สุดสำหรับการย้ายทีมของสโมสรในอิตาลี[15] และเป็นนักเตะอายุเกิน 30 ปีที่มีค่าตัวสูงที่สุด[16] เขาคว้าแชมป์เซเรียอา 2 สมัย, ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา 2 สมัย และ โกปปาอีตาเลีย 1 สมัย รวมทั้งรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของเซเรียอา ก่อนจะย้ายกลับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใน ค.ศ. 2021 และเป็นผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลของสโมสร โรนัลโดถูกยกเลิกสัญญาในปีต่อมา และย้ายร่วมทีมอันนัศร์ใน ค.ศ. 2023 และชนะเลิศการแข่งขันอาหรับ แชมเปียนส์คัพ
โรนัลโดติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกใน ค.ศ. 2003 ในวัย 18 ปี และปัจจุบันเขาเป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดและทำประตูมากที่สุดตลอดกาลของโปรตุเกส[17] เขามีส่วนร่วมในการแข่งขันระดับเมเจอร์ของทีมชาติโปรตุเกสมากถึง 11 รายการ และทำประตูได้ถึง 10 รา่ยการ โดยทำประตูแรกได้ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ซึ่งโปรตุเกสผ่านเข้าชิงชนะเลิศ ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมใน ค.ศ. 2008[18] และใน ค.ศ. 2015 โรนัลโดได้รับการยกย่องโดยสหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกสให้เป็นนักฟุตบอลชาวโปรตุเกสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด[19][20] เขาพาโปรตุเกสคว้าถ้วยรางวัลแรกโดยชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลบาลงดอร์ 2016 ตามด้วยแชมป์ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2019 ซึ่งเขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในการแข่งขัน เช่นเดียวกับเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020[21] ซึ่งในรายการนี้เขายังกลายเป็นนักฟุตบอลชายที่ทำประตูในการแข่งขันทางการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และจากการลงสนามมากกว่า 200 นัด ส่งผลให้โรนัลโดเป็นนักฟุตบอลชายที่ลงสนามในนามทีมชาติมากที่สุดตลอดกาลตามบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ใน ค.ศ. 2023
เขาเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อเสียงโด่งดังและร่ำรวยที่สุดในโลก[22] ได้รับการจัดอันดับโดยฟอบส์ให้เป็นนักกีฬาที่ได้รับค่าจ้างสูงที่สุดใน ค.ศ. 2016[23], 2017[24] และ 2023 และการจัดอันดับจากอีเอสพีเอ็นให้เป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดสามปีติดต่อกันใน ค.ศ. 2016–2019 รวมทั้งการยกย่องจากไทม์ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกใน ค.ศ. 2014[25] เขาถือเป็นนักกีฬาคนที่สาม[d] และเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ทำรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์[26] โรนัลโดยังเป็นบุคคลที่มีผู้ติดตามบนสื่อสังคมมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้ติดตามมากกว่า 1,000 ล้านคนผ่านทางเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยูทูบ และ อินสตาแกรม[27]
คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 ที่เกาะมาเดรา เขตปกครองตนเองของประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรของนายฌูแซ ดีนิช อาไวรู (เสียชีวิต: ค.ศ. 2005, อายุ 52 ปี) กับนางมารีอา ดูโลรึช อาไวรู เป็นบุตรชายคนเล็กในพี่น้อง 4 คน ถึงแม้ตอนเกิดเขาจะคลอดก่อนกำหนดแต่ก็มีน้ำหนักสมบูรณ์ถึง 8 ปอนด์ ทวดฝ่ายแม่ของเขา อีซาแบล ดา ปีดาดึ มีพื้นเพมาจากประเทศกาบูเวร์ดี (เคปเวิร์ด)[28] โรนัลโดเกิดมาในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งศาสนาและไม่ได้มีฐานะร่ำรวย บิดาของเขาประกอบอาชีพคนสวนและติดสุราอย่างหนักถึงขั้นเป็นโรคพิษสุรา ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ย่านกิงตาดูฟัลเซา เมืองฟุงชาลซึ่งมีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โดยโรนัลโดต้องนอนรวมกับญาติทุกคนในห้องเล็ก ๆ ในบ้าน[29] โรนัลโดเริ่มเล่นฟุตบอลที่นี่ซึ่งเขาชอบเล่นตามถนน เขาเกือบจะไม่ได้ลืมตาดูโลกเนื่องจากมารดาของเขามีความคิดที่จะทำแท้งเนื่องจากไม่ต้องการเพิ่มภาระให้แก่ครอบครัว แต่ได้ตัดสินใจยอมลำบากเพื่อคลอดโรนัลโดและเจ้าตัวได้กล่าวว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต[30][31]
ที่มาของชื่อโรนัลโดนั้น บิดาของเขาเป็นผู้ตั้งให้ โดยได้แรงบันดาลใจจากชื่อของโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นบุคคลที่บิดาของโรนัลโดชื่นชอบตั้งแต่เรแกนยังเป็นนักแสดงอยู่[32] เมื่ออายุ 6 ขวบ เขาเริ่มเล่นฟุตบอลในทีมชุดใหญ่ของทีมอังดูรีญา โดยการชักชวนของญาติ พอถึงปี 1995 โรนัลโดย้ายไปอยู่กับทีมนาซียูนัลโดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล[33] หลังจากช่วยนาซิอองนาลคว้าแชมป์ระดับเยาวชนได้ โรนัลโด้ในวัย 12 ปี ก็ได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ ๆ ของโปรตุเกส แต่สุดท้ายโรนัลโดเลือกค้าแข้งกับสปอร์ติง ลิสบอนทีมโปรด
โรนัลโดเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานตั้งแต่อายุน้อย ทุกครั้งที่ฝึกซ้อมกับเด็กคนอื่น เขามักจะกล่าวอย่างมั่นใจว่าสักวันเขาจะเป็นผู้เล่นที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้ ซึ่งเพื่อน ๆ ต่างก็หัวเราะในความคิดของโรนัลโด กระนั้นเขาก็มุ่งมั่นฝึกฝนตัวเองอย่างหนักนับแต่นั้นเพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาไม่ใช่การเพ้อฝัน โรนัลโดเคยเป็นเด็กที่อารมณ์ร้อนโดยเขาเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียนในวัย 14 ปี จากการขว้างเก้าอี้ใส่อาจารย์โดยโรนัลโดให้เหตุผลว่าอาจารย์ได้ใช้คำพูดดูหมิ่นเขา โรนัลโดเกือบจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพเนื่องจากเขาตรวจพบภาวะหัวใจเต้นเร็ว[34] เมื่ออายุ 15 ปี แต่ได้รับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดโดยการยิงเลเซอร์ และกลับมาเล่นฟุตบอลได้ตามปกติ[35]
ในช่วงที่โรนัลโดอายุ 8 ขวบ โรนัลโดได้เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลอังดูรีญา ซึ่งบิดาของเขาเป็นผู้จัดการทีมของสโมสรแห่งนี้ ในปี 1995 โรนัลโดได้ทำสัญญากับสโมสรฟุตบอลท้องถิ่นคือ สโมสรฟุตบอลนาซียูนัล และได้เล่นให้กับสโมสรนี้เป็นเวลา 5 ปี แล้วได้ย้ายไปอยู่กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล (สปอร์ติงลิสบอน) ในช่วงปี 1997 และได้สำเร็จการเล่นฟุตบอลเยาวชนให้กับในประเทศของตน
ในปี 2002 โรนัลโดในวัย 17 ปี ได้ย้ายมาเล่นให้กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล เนื่องจากในช่วงนั้นสโมสรฟุตบอลชื่อดังในโปรตุเกสได้เห็นความสนใจของโรนัลโดมากมายแต่เขาเลือกที่จะมาอยู่กับสปอร์ติงลิสบอน โดยโรนัลโดได้ลงเล่นเป็นตำแหน่งกองหน้า โรนัลโดโชว์ฝีเท้าได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการหลบหลีกคู่ต่อสู้ การแย่งชิงบอล การยิงจากระยะไกล และการทำประตูอย่างแม่นยำ ทำให้โรนัลโดในช่วงนั้นโด่งดังไปทั่วในทวีปยุโรป และเขายังมีจุดเด่นที่มีทักษะในการครองบอลและมีความคล่องตัวสูง และได้รับการเลื่อนขั้นจากทีมเยาวชนมาสู่ทีมชุดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว เขาลงสนามในทีมชุดใหญ่นัดแรกในเกมปรีไมราลีกาที่สปอร์ติงพบกับบรากาในวันที่ 29 กันยายน 2002 ก่อนจะทำได้สองประตูในนัดทีมเอาชนะโมไรเรนเซ่ 3–0 ในวันที่ 7 ตุลาคม[37]
ด้วยการเล่นและทักษะอันโดดเด่นนี้เอง ทำให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมชื่อดังของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีก ได้สนใจที่จะนำโรนัลโดมาร่วมทีม[38] ซึ่งการเจรจาซื้อตัวโรนัลโดก็เป็นที่สำเร็จโดยดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในขณะนั้นมีผู้จัดการทีมชื่อดังหลายคนสนใจจะเซ็นสัญญากับโรนัลโด รวมถึง อาร์แซน แวงแกร์ และ เฌราร์ อูลีเย โดยก่อนที่เขาจะออกจากประเทศโปรตุเกส โรนัลโดเล่นให้กับสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล ไปทั้งสิ้น 31 นัด ทำไป 5 ประตู โดยทางสโมสรได้รวบรวมผลงานของโรนัลโดอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของทีมเพื่อเป็นเกียรติประวัติให้แก่เจ้าตัวอีกด้วย[39]
—จอร์จ เบสต์ ตำนานสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กล่าวยกย่องโรนัลโดจากการลงสนามนัดแรกใน ค.ศ. 2003[40]
โรนัลโดย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2003–04 และเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีค่าตัวสูงที่สุดในขณะนั้น เขาได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนั้น[41] รวมทั้งเป็นนักเตะโปรตุเกสคนแรกของสโมสร เขาได้รับเสื้อหมายเลข 7 ทันทีในฤดูกาลแรกซึ่งเป็นหมายเลขของตำนานหลายคน อาทิ จอร์จ เบสต์, เอริก ก็องโตนา และ เดวิด เบคแคม[42] โรนัลโดลงสนามนัดแรกในเกมพรีเมียร์ลีกที่พบกับโบลตันวอนเดอเรอส์ โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนนิกกี บัตต์ ซึ่งยูไนเต็ดชนะ 4–0 ก่อนจะทำประตูแรกได้จากลูกฟรีคิกในนัดที่ทีมชนะพอร์ตสมัท 3–0 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 เขาใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีก และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับมิลล์วอลล์ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์จากการชนะ 3–0[43] ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบีประจำฤดูกาล และได้รับการยกย่องจากแกรี เนวิลว่าจะเป็นผู้เล่นระดับโลกในอนาคตอันใกล้[44]
ในฤดูกาลที่สอง เขาทำผลงานได้ไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้เพียง 9 ประตู โดยโรนัลโดเป็นผู้ทำประตูที่ 1,000 ของยูไนเต็ดในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ทีมบุกแพ้มิดเดิลส์เบรอ 1–4[45] และยูไนเต็ดจบฤดูกาลโดยไม่ได้แชมป์รายการใด และแพ้จุดโทษอาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ[46]
ต่อมา ในฤดูกาล 2005–06 โรนัลโดก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด ยูไนเต็ดทำได้เพียงรองแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ยังได้แชมป์ลีกคัพ เอาชนะวีแกน 4–0 ซึ่งโรนัลโดทำได้หนึ่งประตู[47] และเขายังคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟน ๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์ที่สร้างความลำบากแก่โรนัลโด โดยเขาถูกยูฟ่าแบนจากการชูนิ้วกลางใส่แฟนบอลของสโมสรเบนฟิกาซึ่งเป็นอริของสโมสรสปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล[48] และได้รับใบแดงในเกมพรีเมียร์ลีกที่ทีมบุกไปแพ้แมนเชสเตอร์ซิตี 1–3 จากการเจตนาเตะใส่แอนดรูว์ โคล[49] รวมถึงการมีปัญหาขัดแย้งกับ รืด ฟัน นิสเติลโรย[50] เพื่อนร่วมทีมที่วิจารณ์รูปแบบการเล่นของโรนัลโด และยังกล่าวว่าโรนัลโดนั้น "ได้รับการปกป้องจากสโมสรและเซอร์ อเล็กซ์มากเกินไป" ซึ่งนั่นเป็นชนวนไปสู่การย้ายร่วมทีมเรอัลมาดริดของ ฟัน นิสเติลโรย ในฤดูกาลต่อมา
ในฟุตบอลโลก 2006 โรนัลโดถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีม ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส[51] โรนัลโดถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า โดยหนังสือพิมพ์ของประเทศอังกฤษ ได้ลงข่าวว่าโรนัลโดจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจากเหตุการณ์ดังกล่าว[52] เขาได้ถูกกล่าวลงในหนังสือกีฬาประจำวันของประเทศสเปนว่าจะย้ายไปร่วมทีมเรอัลมาดริด[53] และเมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมได้ทราบข่าวจึงได้ส่งผู้ช่วยผู้จัดการทีมการ์ลุช ไกรอชมาพูดคุยกับโรนัลโดและเปลี่ยนความคิดของเขาในการย้ายทีม[54][55] โรนัลโดตัดสินใจอยู่กับทีมต่อไป และต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปอีก 5 ปี ในเดือนเมษายน 2007
ในฤดูกาล 2006–07 ถือเป็นปีที่โรนัลโดยกระดับการเล่นและก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลก เขาทำไป 17 ประตูในลีกช่วยให้ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ และยังทำผงานโดดเด่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกช่วยให้ทีมเอาชนะโรมาด้วยผลประตูรวมสองนัด 8–3[56] แต่ยูไนเต็ดแพ้เอซีมิลานในรอบรองชนะเลิศ[57] โรนัลโดยังพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้ แต่แพ้เชลซี 0–1 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก รวมถึงนักฟุตบอลยอดเยี่ยมโดยผู้ชื่นชอบของพีเอฟเอ และ นักฟุตบอลดาวรุ่งแห่งปีของพีเอฟเอ โดยเป็นผู้เล่นรายที่สองในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครองในฤดูกาลเดียวกัน ต่อจาก แอนดี เกรย์ เมื่อปี 1977 และยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล รวมถึงรางวัลผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบีและมีชื่ออยู่ในอันดับสองการประกาศรางวัลบาลงดอร์ รวมถึงอันดับสามในการประกาศรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ในปีนี้โรนัลโดได้พัฒนาการเล่นขึ้นมาอย่างมากเนื่องจากเขาได้รับการฝึกสอนโดย เรเน่ เมอเลินสเตน หนึ่งในทีมผู้ฝึกสอนชุดใหญ่ที่เซอร์ อเล็กซ์ให้ความไว้วางใจ
ในฤดูกาล 2007–08 โรนัลโดทำประตูในลีกไปถึง 31 ประตูได้รับรางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก[58] และทำ 42 ประตูรวมทุกรายการ รวมถึงการทำแฮตทริกในนัดที่ยูไนเต็ดชนะนิวคาสเซิล 6–0[59] และได้ลงเล่นในฐานะกัปตันทีมเป็นครั้งแรกในนัดที่ยูไนเต็ดเปิดโอล์ดแทรฟฟอร์ดชนะโบลตัน 2–0 และประตูที่สองที่โรนัลโดทำได้ในเกมนั้น ถือเป็นประตูที่ 33 ทุกรายการในขณะนั้น ทำสถิติแซงหน้าจอร์จ เบสต์ ทีทำไว้ 32 ประตูในฤดูกาล 1967–68 และเป็นสถิติใหม่สำหรับผู้เล่นตำแหน่งปีกในลีกอังกฤษที่ทำประตูสูงสุดต่อหนึ่งฤดูกาล[60]
ยูไนเต็ดป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้[61] และยังคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้โดยชนะเชลซีจากการดวลจุดโทษหลังเสมอกัน 1–1 แม้โรนัลโดจะยิงจุดโทษไม่เข้า[62] โรนัลโดได้รางวัลดาวซัลโวยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบี สมัยที่ 3 และคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่สองติดต่อกัน และยังได้รางวัลบาลงดอร์ครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ถือเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคนแรกตั้งแต่ปี 1968 ที่ได้รับรางวัล[63] และยังคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ ซึ่งถือเป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกหรือตัวริมเส้นคนแรกที่ได้รับรางวัล[64] ในช่วงเวลานั้น เริ่มมีกระแสว่าโรนัลโดต้องการไปหาความท้าทายใหม่โดยย้ายร่วมทีมเรอัลมาดริด[65] โดยเซพพ์ บลัทเทอร์ ประธานฟีฟ่าในขณะนั้นได้ออกมากระตุ้นให้ยูไนเต็ดทำการขายโรนัลโดเพื่ออนาคตของนักเตะเอง แต่โรนัลโดก็ตัดสินใจอยู่ช่วยทีมอีกหนึ่งฤดูกาล[66]
ในฤดูกาล 2008–09 ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้ 3 รายการ โดยคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน[67] ซึ่งโรนัลโดทำไป 18 ประตูในลีก และ 27 ประตูทุกรายการ และยังคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกได้ในเดือนธันวาคม ชนะ แอลดียู ควิโต 1–0 ตามด้วยแชมป์ลีกคัพจากการชนะจุดโทษสเปอร์ และทำประตูสุดสวยจากการยิงไกลระยะ 40 หลาในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายช่วยให้ยูไนเต็ดเอาชนะโปร์ตูซึ่งประตูนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA Puskás Award)[68] แต่ยูไนเต็ดแพ้บาร์เซโลนาในรอบชิงชนะเลิศ 0–2[69] ซึ่งนั่นเป็นการลงสนามนัดสุดท้ายของโรนัลโดในฐานะผู้เล่นยูไนเต็ด ต่อมา เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ยอมรับข้อเสนอการซื้อตัวเขาจากสโมสรเรอัลมาดริดด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ โดยการซื้อตัวครั้งนี้ถือเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก[70] ผลงานรวมของโรนัลโดคือลงเล่นทุกรายการ 299 นัด ทำได้ 118 ประตู คว้าถ้วยรางวัล 9 รายการ
ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2009 โรนัลโดได้เปิดตัวกับสโมสร และเขาได้รับเสื้อหมายเลข 9 โดยในฤดูกาลแรกนี้ โรนัลโดทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยได้ลงเล่นเป็นตังจริงทั้งหมด 35 นัด ทำประตูไปได้ 33 ประตู และครองดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกา โดยโรนัลโดได้เล่นในตำแหน่งกองหน้า และบางครั้งก็สลับไปยืนในตำแหน่งปีกขวา โรนัลโดทำประตูแรกในนัดที่พบกับ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา โดยเรอัลมาดริดชนะไป 3–2 ต่อมาโรนัลโดทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสรที่ทำประตูในการแข่งขัน 4 นัดแรกในบ้านได้ในฤดูกาลแรกที่อยู่กับทีม
โรนัลโดทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับเรอัลมาดริดได้จากการยิงฟรีคิกในนัดที่ทีมเอาชนะซือริชไป 2–0 สำหรับผลงานในฤดูกาลแรก แม้เรอัลมาดริดจะไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลรายการใดได้ในปีนี้ แต่โรนัลโดก็ทำประตูในลีกไปได้ 26 ประตูจากจำนวน 29 นัด และทำแฮตทริกในลาลิกาได้เป็นครั้งแรกในนัดที่ทีมเอาชนะ เอร์เรเซเด มายอร์กา 4–1 ในเดือนพฤษภาคม 2010
โรนัลโดได้รับเสื้อหมายเลข 7[71] ซึ่งเคยเป็นของราอุล กอนซาเลซตำนานกองหน้าของทีม และทีมได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมมาเป็นโชเซ มูรีนโย ในวันที่ 23 ตุลาคม 2010 ในนัดที่เรอัลมาดริดพบกับราซินเดซันตันเดร์ โรนัลโดทำถึง 4 ประตู ช่วยทีมเอาชนะไป 4–0 แต่ในนัดที่พบกับบาร์เซโลนา ซึ่งเรอัลมาดริดไปเยือนที่กัมนอว์ พวกเขาแพ้ไปถึง 0–5 หลังจากในนัดนั้น เรอัลมาดริดได้เปิดบ้านพบกับอัตเลติกเดบิลบาโอ โดยโรนัลโดยิงไปถึง 5 ประตู ช่วยให้ทีมชนะไป 6–1 เรอัลมาดริดจบฤดูกาลด้วยการคว้ารองแชมป์ลาลิกา แม้จะทำไปถึง 92 คะแนน[72] และตกรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้ให้กับบาร์เซโลนาด้วยผลประตูรวมสองนัด 1–3 แต่พวกเขายังได้แชมป์โกปาเดลเรย์ จากการเอาชนะบาร์เซโลนา 1–0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษซึ่งโรนัลโดเป็นผู้ทำประตูชัย[73] โรนัลโดทำประตูในลีกไปถึง 40 ประตู จากการลงสนาม 34 นัดคว้ารางวัลดาวซัลโวลีกไปครอง[74] และทำประตูรวมทุกรายการ 53 ประตูจาก 54 นัด
ความสำเร็จของโรนัลโดกับสโมสรได้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยโรนัลโดทำประตูรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ไปถึง 60 ประตู และทีมยังผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่แพ้ไบเอิร์นมิวนิกในการดวลจุดโทษ[75] แต่โรนัลโดก็นำทีมได้แชมป์ลาลิกาครั้งที่ 32 โดยในช่วงปลายฤดูกาล เรอัลมาดริดกับบาร์เซโลนาได้แข่งขันกันที่กัมนอว์ ซึ่งโรนัลโดก็เป็นผู้ทำประตูชัยพาทีมบุกไปชนะ 2–1 และยังทำสถิติเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปนที่ได้ 100 คะแนน[76][77] โรนัลโดทำประตูรวมทุกรายการได้ถึง 60 ประตูจากการลงสนาม 55 นัด และทำประตูในลาลิกาไป 46 ประตู
ในฤดูกาลต่อมา เรอัลมาดริดไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยทำได้เพียงคว้าแชมป์ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ได้ในเดือนสิงหาคม เอาชนะ บาร์เซโลนา ไปได้ด้วยกฎประตูทีมเยือนหลังจากรวมผลสองนัดเสมอกัน 4–4 โดยโรนัลโดทำประตูได้ทั้งสองนัด ทีมจบฤดูกาลด้วยการคว้ารองแชมป์ลาลิกา เสียแชมป์ให้กับบาร์เซโลนาที่ทำไป 100 คะแนน[78] และทำได้เพียงรองแชมป์โกปาเดลเรย์ พ่ายอัตเลติโกเดมาดริดในรอบชิงชนะเลิศ 1–2 ในส่วนของการแข่งขันรายการยุโรป เรอัลมาดริด พ่ายโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 3–4 โดยโรนัลโดคว้าตำแหน่งดาวซัลโวประจำการแข่งขันไปได้ด้วยจำนวน 12 ประตู[79] ในภาพรวมของฤดูกาลนี้ โรนัลโดทำประตูในลีกไป 34 ประตู และ 55 ประตูรวมทุกรายการ
วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2013 โรนัลโด ลงสนามครบ 200 เกมให้กับเรอัลมาดริดในนัดเปิดบ้านชนะเรอัลเบติส 2–1 แต่โรนัลโดทำประตูไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาทำประตูแรกในฤดูกาลได้ เมื่อวันที่ 1 กันยายน ในนัดที่ชนะอัตเลติกเดบิลบาโอ 3–1 จากนั้น โรนัลโดได้ต่อสัญญากับสโมสรถึงปี 2018 พร้อมค่าเหนื่อยสูงถึง 17 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 765 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุด โรนัลโดลงสนามนัดที่ 100 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในการพบกับโคเปนเฮเกน เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม และเรอัลมาดริดชนะไปได้ 4–0 และในวันที่ 23 ตุลาคม โรนัลโดทำสองประตูในนัดที่เอาชนะยูเวนตุส 2–1 เท่ากับว่าเขาทำประตูในรายการดังกล่าวไปทั้งสิ้น 57 ลูก มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ตลอดกาล[80]
ในการลงสนามเกมเยือนนัดที่ 106 ให้กับเรอัลมาดริด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน เขาทำสถิติยิงประตูได้ถึง 100 ลูกในการเล่นเกมเยือนได้สำเร็จ ในนัดที่บุกเอาชนะ ราโย บาเยกาโน่ 3–2 และทำให้เขามีค่าเฉลี่ยทำประตูสูงถึง 0.94 ลูกต่อหนึ่งนัด โดยในวันที่ 9 พฤศจิกายน โรนัลโดทำแฮตทริกครั้งที่ 19 ในลาลิกา ในเกมที่เอาชนะเรอัลโซซิอิดัด 5–1 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2014 โรนัลโด คว้ารางวัลบาลงดอร์เป็นสมัยที่สอง[81] ด้วยการเอาชนะคู่แข่งตลอดกาลอย่างลิโอเนล เมสซิที่คว้ารางวัลมาสี่สมัยก่อนหน้านี้
ในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2014 หลังจากที่เขาทำประตูได้ในเกมที่พบกับ มาลาก้า ทำให้ โรนัลโด เป็นคนแรกที่ทำ 25 ประตูติดต่อกัน 5 ฤดูกาล โดยหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2014 เขาก็ทำประตูที่ 100 ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมที่พบกับโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ โรนัลโดจบฤดูกาลด้วยการทำไป 31 ประตูจากการลงสนาม 30 นัดในลีก คว้ารางวัลดาวซัลโวลิลากิไปครอง และยังคว้ารางวัลรองเท้าทองคำยุโรปร่วมกับ ลุยส์ ซัวเรซ รวมถึงรางวัลดาวซัลโวยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยการทำไป 17 ประตู[82] นอกจากนี้สามประสานตัวรุกของทีมหรือที่เรียกว่า BBC (เบล, เบนเซม่า และคริสเตียโน่) ยังยิงประตูรวมกันถึง 97 ลูก[83] และแม้เรอัลมาดริดจะจบฤดูกาลเพียงอันดับสามในลีก แต่พวกเขาคว้าแชมป์สำคัญสองรายการคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เอาชนะอัตเลติโกเดมาดริด 4–0 และโกปาเดลเรย์ได้ และในฤดูกาลนี้โรนัลโดยังได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของลาลิกา[84]
ในช่วงต้นฤดูกาล เขายิงประตูได้ทันทีในเกมชนะกอร์โดบา 2–0 โดยหลังจากนั้นในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2014 โรนัลโดได้รับรางวัลนักเตะยุโรปยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2013–14 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2014 เขาทำแฮตทริกครั้งที่ 20 ในลีกได้สำเร็จจากเกมที่ถล่ม ลา กอรุนญ่า 8–2 โดยในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2014 โรนัลโดกลายเป็นนักเตะที่ยิง 200 ประตูในลาลิกาเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์จากการลงสนามเพียงแค่ 178 นัด[85] และยังยิงแฮตทริกได้เป็นหนที่ 23 ในเกมที่พบกับเซลตาเดบิโก
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2015 เขาคว้ารางวัลบาลงดอร์มาครองเป็นครั้งที่ 3 และหลังจากนั้น ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 โรนัลโดยิงประตูให้ทีมชนะชัลเคอ 04 2–0 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดแรกและยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตูในนัดที่สอง ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูมากที่สุดในรายการนี้จำนวน 78 ประตู จากนั้นในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2015 โรนัลโด ทำ 5 ประตูได้อีกครั้ง[86] และใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการทำแฮตทริกจากเกมที่ถล่มเอาชนะกรานาดา 9–1 ในลาลิกา[87] โดยหลังจากนั้นเพียง 3 วัน เขาก็ยิงประตูที่ 300 ในทุกรายการให้กับเรอัลมาดริดได้สำเร็จในเกมที่เอาชนะราโย บาเยกาโน่ 2–0 ซึ่งต่อมาอีก 10 วัน เขาก็ได้กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยิงรวมกัน 50 ประตูในทุกรายการติดต่อกัน 5 ฤดูกาล หลังจากทำแฮตทริกได้ในเกมที่ทีมเอาชนะมาลากา 3–1
โรนัลโดทำประตูทุกรายการรวม 61 ประตู เป็นสถิติที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เล่นอาชีพมา รวมทั้งทำประตูในลีกไป 48 ประตู คว้ารางวัลดาวซัลโวลาลิกามาครองอีกครั้ง และยังเป็นดาวซัลโวยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกร่วมกับ เนย์มาร์ และ ลิโอเนล เมสซิ จำนวน 10 ประตู เรอัลมาดริดคว้าถ้วยรางวัลได้สองรายการคือ ชนะเซบิยาในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2–0 ซึ่งโรนัลโดทำสองประตู และแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก แต่พวกเขาล้มเหลวในสองรายการใหญ่คือลาลิกาซึ่งทำได้เพียงรองแชมป์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกซึ่งแพ้ยูเวนตุสในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 2–3
หลังการเข้ามาคุมทีมของราฟาเอล เบนิเตซ เขายิงประตูไม่ได้ในสองเกมแรกของฤดูกาล แต่เขาก็กลับมายิงทีเดียว 5 ประตูในนัดที่เอาชนะเอสปันญอล 6–0 ซึ่งทำให้โรนัลโดยิงไปแล้ว 230 ลูกจากการลงสนามเพียง 203 นัด ทำสถิติเป็นผู้เล่นเรอัลมาดริดที่ทำประตูในลาลิกาได้มากที่สุดตลอดกาล แซงหน้าสถิติที่ราอุล กอนซาเลซ ทำไว้ที่ 228 ประตู ต่อมา โรนัลโดทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้มากที่สุดตลอดกาล จากการทำแฮตทริกในนัดที่ทีมชนะ ชัคตาร์ดอแนตสก์ แซงหน้าเมสซิที่ทำไว้ 77 ประตู และเขาทำประตูที่ 500 ในการเล่นอาชีพได้ในนัดที่ทีมบุกไปเอาชนะมัลเมอ เอฟเอฟ 2–0 วันที่ 30 กันยายน 2015
ต่อมา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 โรนัลโดมีชื่อเข้าชิงบาลงดอร์ 2015 ร่วมกับ เนย์มาร์ และเมสซิ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 8 ธันวาคม เขาทำคนเดียว 4 ประตูให้ทีมเอาชนะ มัลโม่ไปได้ 8–0 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม ต่อมาเบนิเตซได้ถูกปลดในเดือนมกราคม ค.ศ. 2016[88] และซีเนดีน ซีดาน ได้เข้ามารับตำแหน่งต่อซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของสโมสรในรอบหลายปี พวกเขาได้รองแชมป์ลาลกิกาโดยมีคะแนนตามหลังบาร์เซโลนาเพียงคะแนนเดียว และคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้จากการชนะจุดโทษอัตเลติโกเดมาดริด และโรนัลโดยังเป็นดาวซัลโวประจำการแข่งขันจำนวน 16 ประตู[89] และถือเป็นฤดูกาลที่ 6 ติดต่อกันที่โรนัลโดทำประตูทุกรายการได้เกินกว่า 50 ประตู โดยทำไป 51 ประตูในฤดูกาลนี้ และยังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำประตูรวมให้กับสโมสรเรอัลมาดริดมากที่สุดตลอดกาลได้ในปีนี้[90]
ในฤดูกาลนี้เรอัลมาดริดยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เริ่มด้วยการชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพ เอาชนะเซบิยาในเดือนสิงหาคม 3–2 แต่โรนัลโดไม่ได้ลงเล่นเนื่องจากบาดเจ็บหัวเข่า และคว้าฟุตบอลชิงแชมป์สโมรสรโลกได้ในเดือนธันวาคม 2016 ณ ประเทศญี่ปุ่น เอาชนะ คาชิมะ แอนต์เลอส์ 4–2 ซึ่งโรนัลโดทำแฮตทริกได้และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันไปครอง และคว้ารางวัลบาลงดอร์ 2016 รวมทั้งรางวัลผู้เล่นชายยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าจากผลงานพาโปรตุเกสคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2016
โรนัลโดจบฤดูกาลโดยการพาทีมเป็นแชมป์ลาลิกาได้ในรอบ 5 ปี ด้วยการทำไป 25 ประตูในลีก และเรอัลมาดริดไม่แพ้ทีมใดเลยในการแข่งขัน 16 นัดแรก โรนัลโดยังทำสถิติเป็นคนแรกที่ยิงครบ 100 ประตูในการแข่งขันรายการของยูฟ่าได้ ในนัดที่ทีมบุกไปเอาชนะไบเอิร์นมิวนิก 2–1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และยังยิงอีกสองประตูในนัดชิงชนะเลิศพาทีมชนะยูเวนตุส 4–1 ป้องกันแชมป์ได้อีกครั้ง และทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ 3 ครั้ง และเขายังคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปไปครองเป็นการคว้ารางวัล 2 สมัยติดต่อกัน และถือเป็นครั้งที่ 3 ในอาชีพ[91] นอกจากนี้เรอัลมาดริดยังเป็นสโมสรแรกที่ป้องกันแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาจากยูโรเปียนคัพ โรนัลทำประตูทุกรายการในฤดูกาลนี้ 42 ประตู
โรนัลโดเริ่มต้นฤดูกาลด้วยแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพซึ่งเรอัลมาดริดชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2–1 ต่อมา เรอัลมาดริดเอาชนะบาร์เซโลนาในซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาด้วยผลประตูรวมสองนัด 5–1 ซึ่งโรนัลโดทำประตูได้ในนัดแรกก่อนจะถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเนื่องจากพยายามเรียกจุดโทษจากผู้ตัดสินแต่กลับถูกมองว่าพุ่งล้ม[92] ในช่วงปลายปี 2017 เขาได้รับรางวัลบาลงดอร์เป็นครั้งที่ 5 และคว้ารางวัลผู้เล่นชายยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าเป็นปีที่สองติดต่อกัน และเป็นผู้ทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศที่เรอัลมาดริดเอาชนะเกรมิโอ ในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ต่อมา ในเดือนมีนาคม 2018 โรนัลโดทำประตูที่ 300 ในลาลิกาได้ในนัดที่ทีมเอาชนะเฆตาเฟ 3–1 ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการทำครบ 300 ประตูในลาลิกา[93][94] ทำสถิติแซงเมสซิ และตามด้วยการทำแฮตทริกครั้งที่ 50 ในอาชีพ[95] จากการทำ 4 ประตูในนัดที่ทีมชนะฌิโรนา 6–3[96]
แม้ว่าเรอัลมาดริดจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ลาลิกาได้ แต่โรนัลโดพาทีมป้องกันแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน โดยในรอบก่อนรองชนะเลิศในนัดที่สองที่เรอัลมาดริดพบยูเวนตุส โรนัลโดทำได้สองประตู และประตูที่สองของเขาเป็นการยิงจักรยานอากาศเข้าไปอย่างสวยงาม ท่ามกลางเสียงปรบมือยกย่องจากแฟนบอลยูเวนตุสในสนาม[97] โดยอันเดรอา บาร์ซัลยี กองหลังยูเวนตุสกล่าวยกย่องว่าเปรียบเสมือนการยิงในเกมส์เพลย์สเตชัน โดยเท้าของโรนัลโดนั้นอยู่สูงกว่าพื้นถึง 2.31 เมตร เรอัลมาดริดผ่านไบเอิร์นมิวนิกในรอบรองชนะเลิศ และเข้าไปชนะลิเวอร์พูล 3–1 ในนัดชิงชนะเลิศ โรนัลโดทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกที่คว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 5 สมัย (ไม่นับยูโรเปียนคัพ)[98] และยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในรายการนี้เป็นปีที่ 6 ติดต่อกันจำนวน 15 ประตู[99] ต่อมา สื่อทั่วโลกได้เสนอข่าวว่าเขามีความต้องการย้ายออกจากเรอัลมาดริดเนื่องจากหมดความท้าทายและมีความขัดแย้งกับโฟลเรนติโน เปเรซประธานสโมสร[100][101]
โรนัลโดเดินทางมาถึงตูรินในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2018 เพื่อรับการตรวจร่างกายย้ายร่วมทีมยูเวนตุส[102] หลังจบฟุตบอลโลก 2018 โดยยูเวนตุสได้มอบเสื้อเบอร์ 7 ให้แก่เขา โรนัลโดกล่าวว่าการย้ายมาอิตาลีในครั้งนี้เพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ และชื่นชมในความยิ่งใหญ่ของยูเวนตุส โรนัลโดย้ายมาด้วยราคา 112 ล้านยูโร หรือประมาณ 99 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญา 4 ปี รับค่าเหนื่อย 500,000 ปอนด์/สัปดาห์ ถือเป็นสถิติการซื้อขายนักเตะที่ราคาสูงที่สุดของสโมสรในอิตาลี และเป็นนักเตะที่อายุเกิน 30 ปีที่มีค่าตัวสูงที่สุด ทั้งนี้ โรนัลโดกล่าวว่าต้องการพาทีมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูเวนตุสเปิดขายเสื้อแข่งฤดูกาลใหม่ของโรนัลโดได้วันเดียวสูงถึง 520,000 ตัว ซึ่งสูงกว่าที่เนย์มาร์ เคยทำไว้ในวันแรกของสโมสรปารีแซ็ง-แฌร์แม็งที่ขายไปเพียง 10,000 ตัวเท่านั้น
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2018 โรนัลโดลงเล่นนัดแรกให้ยูเวนตุสในเกมบุกชนะคิเอโว 3–2[103] ต่อมา เมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2018 โรนัลโดทำสองประตูเป็นครั้งแรกให้กับยูเวนตุสในการลงสนามนัดที่ 4 ในเกมที่ชนะซัสซูโอโล 2–1 ในเซเรีย อา ซึ่งประตูที่สองของเขาในเกมนี้คือประตูที่ 400 ในลีกของเขา โรนัลโดกลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะครบ 100 นัดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในนัดที่ทีมเปิดบ้านชนะบาเลนเซีย ทำให้ยูเวนตุสผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ของการแข่งขัน ต่อมา ในเดือนธันวาคม เขายิงประตูที่ 10 ในลีกจากจุดโทษในเกมที่ชนะฟีออเรนตีนา 3–0[104] และโรนัลโดคว้าถ้วยรางวัลแรกกับสโมสรเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2019 ในซูเปอร์โกปปาอีตาเลียนา โดยเขาทำประตูชัยได้จากการโหม่งพาทีมชนะเอซี มิลาน 1–0[105]
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 โรนัลโดทำประตูได้ในนัดพบกับซาสซูโอโลซึ่งเป็นการทำประตูในเกมเยือนได้ 9 นัดติดต่อกันในลีกของสโมสร[106] เท่ากับสถิติของจูเซปเป้ ซินญอรี ต่อมา วันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2019 โรนัลโดทำแฮตทริกในเกมชนะอัตเลติโกเดมาดริด 3–0 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายช่วยให้ยูเวนตุสผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 3–2 หนึ่งเดือนต่อมา โรนัลโดทำประตูที่ 125 ในรายการนี้ในนัดแรกของรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับอาแจ็กซ์และจบด้วยผลเสมอ 1–1 ต่อมา ในนัดที่สองที่เมืองตูรินเมื่อวันที่ 16 เมษายน เขาทำประตูได้แต่ยูเวนตุสแพ้ 1–2 และตกรอบด้วยผลประตูรวม 2–3[107] ในวันที่ 20 เมษายน โรนัลโดลงเล่นในเซเรียอาพบกับฟีออเรนตีนาโดยยูเวนตุสได้แชมป์เป็นสมัยที่ 8 ติดต่อกันหลังเปิดบ้านชนะ 2–1 ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในอังกฤษ สเปน และอิตาลีได้[108] และในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2019 เขาทำประตูที่ 600 ในระดับสโมสรในนัดที่บุกไปเสมออินเตอร์ มิลาน 1–1[109] โรนัลโดจบฤดูกาลแรกด้วยการทำ 21 ประตู และ 8 แอสซิสต์ และได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของเซเรียอา
ในฤดูกาลต่อมา โรนัลโดทำประตูแรกในเกมที่ชนะนาโปลี 4–3 ในเซเรียอาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2019[110] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เขาได้สร้างสถิติสำคัญในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดชนะไบเออร์ เลเวอร์คูเซน 3–0 ในรอบแบ่งกลุ่มโดยทำประตูในรายการนี้เป็นฤดูกาลที่ 14 ติดต่อกัน[111] เทียบเท่ากับสถิติของราอูลและเมสซิ และทำลายสถิติของอิเคร์ กาซิยาสในการพาทีมชนะในการแข่งขันมากที่สุดตลอดกาล และเทียบสถิติของราอูลในการยิงประตูฝ่ายตรงข้ามในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครบ 33 ทีม และในวันที่ 6 พฤศจิกายน ในนัดชนะโลโคโมติฟมอสโก 2–1 เขาทาบสถิติของเปาโล มัลดินี่ในการเป็นผู้เล่นที่ลงเล่นมากเป็นอันดับสองในการแข่งขันระดับสโมสรในการแข่งขันทุกรายการยูฟ่า จำนวน 174 นัด[112]
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2019 โรนัลโดทำประตูมหัศจรรย์จากการกระโดดสูงถึง 8 ฟุต 5 นิ้ว (2.57 ม.)[113] ซึ่งสูงกว่าคานประตูในนัดที่เขาโหม่งพาทีมชนะซามพ์โดเรีย 2–1 ต่อมา โรนัลโดทำแฮตทริกแรกในเซเรียอาเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2020 ในเกมที่ยูเวนตุสชนะกายารี 4–0 ถือเป็นแฮตทริกในอาชีพครั้งที่ 56 ของเขา[114] และเขากลายเป็นผู้เล่นคนที่สองต่อจากอาเลกซิส ซานเชซที่ทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีก ลาลีกา และเซเรียอา ต่อมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เขาทำสองประตูจากจุดโทษในเกมที่ชนะฟิออเรนติน่า 3–0 เทียบเท่าสถิติของสโมสรของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ที่ทำประตูในเกมลีก 9 นัดติดต่อกัน[115] และทำลายสถิติดังกล่าวในอีกหกวันต่อมาด้วยการทำประตูในเกมที่ยูเวนตุสบุกไปแพ้เฮลลาส เวโรนา 1–2 ต่อมาวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 โรนัลโด้ทำประตูในเกมลีกนัดที่ 11 ติดต่อกันเป็นสถิติตลอดกาลร่วมกับกาเบรียล บาติสตูตา และฟาบิโอ กวายาเรลลา ในการลงสนามนัดที่ 1,000 ของเขาที่ยูเวนตุสบุกไปชนะสปาล 2–1[116]
วันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2020 เขาทำประตูจากจุดโทษในเกมที่ชนะโบโลญญา 2–0 ทำสถิติแซงหน้ารุย กอสตาในการเป็นผู้เล่นโปรตุเกสที่ทำประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์เซเรียอา ต่อมา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เขายิงประตูที่ 25 ในลีกในฤดูกาลจากการยิงฟรีคิกในนัดที่ชนะโตริโน 4–1[117] และยังเป็นประตูแรกของเขาจากลูกฟรีคิกกับสโมสรหลังจากความพยายาม 43 ครั้ง ต่อมา วันที่ 20 กรกฎาคม โรนัลโดทำสองประตูในเกมที่ชนะลาซิโอ 2–1 ประตูแรกของเขาถือเป็นประตูที่ 50 ของเขาในเซเรียอา และกลายเป็นผู้เล่นที่ใช้เวลาน้อยที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก กุนนาร์ นอร์ดาห์ล ที่ทำ 50 ประตูในลีกอิตาลี และเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำได้ 50 ประตูทั้งในพรีเมียร์ลีก ลาลีกา และเซเรียอา[118] และยังเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุด ด้วยวัย 35 ปี 166 วัน ที่ยิงได้มากกว่า 30 ประตูในหนึ่งในห้าลีกชั้นนำของยุโรป นับตั้งแต่รอนนี่ รูค ผู้เล่นอาร์เซนอลทำได้ในปี 1948
ต่อมา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 โรนัลโดทำประตูแรกในเกมที่ทีมเปิดบ้านชนะซามพ์โดเรีย 2–0 ซึ่งยูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียอาเป็นครั้งที่ 9 ติดต่อกัน[119] เขาจบฤดูกาลที่สองในลีกด้วยจำนวน 31 ประตู และเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม โรนัลโดทำสองประตูในนัดชนะลียง 2–1 ในบ้านนัดที่สองของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายซึ่งทำให้เขาจบฤดูกาลด้วยผลงาน 37 ประตูในทุกรายการ แต่ยูเวนตุสตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน
ฤดูกาล 2020–21 สโมสรแต่งตั้งอันเดรอา ปีร์โลเข้ามาทำหน้าที่แทนเมารีซีโอ ซาร์รี่ และคว้าแชมป์ ซูเปอร์โกปปาอิตาเลียโดยชนะนาโปลี 2–0 ซึ่งโรนัลโดเป็นผู้ทำประตูแรก และชนะเลิศ โกปปาอิตาเลียโดยชนะอตาลันตา แต่ทีมประสบความล้มเหลวในการป้องกันแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี โดยเสียแชมป์ให้อินเตอร์ มิลาน[120] อีกทั้งยังตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยพ่ายโปร์ตู[121] ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยกฎประตูทีมเยือน โรนัลโดทำไป 35 ประตู จาก 42 นัดในทุกรายการ และคว้ารางวัลดาวซัลโวเซเรียอาด้วยจำนวน 29 ประตู
นอกจากนี้ โรนัลโดได้สร้างสถิติใหม่มากมายในฤดูกาลนี้ โดยทำประตูครบ 600 ลูกในฟุตบอลลีกในวันที่ 2 มีนาคม 2021 ในนัดที่ยูเวนตุสชนะสเปเซีย 3–0 ต่อมา ในวันที่ 14 มีนาคม โรนัลโดทำแฮตทริกครั้งที่ 57 ในอาชีพในนัดที่ยูเวนตุสบุกไปชนะกายารี 3–1 ในลีก และสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้เล่นทีทำประตูในการแข่งขันระดับทางการทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติมากที่สุดตลอดกาลจำนวน 770 ประตู แซงหน้าสถิติเดิมของเปเล่ตำนานทีมชาติบราซิลที่ทำไว้ 767 ประตู[122][123] และในวันที่ 12 พฤษภาคม โรนัลโดทำประตูได้ในนัดที่ยูเวนตุสบุกชนะซาซูโอโล 3–1 เป็นประตูที่ 100 ของเขากับยูเวนตุส และทำสถิติเป็นผู้เล่นยูเวนตุสที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการทำครบ 100 ประตู[124] ต่อมา ในวันที่ 19 พฤษภาคมหลังจากชนะเลิศโกปปาอิตาเลีย โรนัลโดถือเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการหลักครบทุกถ้วยในลีกอังกฤษ สเปน และอิตาลี[125][e] และยังเป็นผู้เล่นคนแรกที่เป็นดาวซัลโวประจำฤดูกาลในลีกอังกฤษ สเปน และอิตาลี[126]
โรนัลโดลงสนามนัดสุดท้ายให้ยูเวนตุสในเกมลีกนัดเปิดฤดูกาลวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 2021 นัดที่บุกไปเสมออูดิเนเซ่ 2–2 ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเจ้าตัวต้องการย้ายทีม ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ออกแถลงการณ์ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญานำโรนัลโดกลับมายังสโมสรด้วยค่าตัว 12.85 ล้านปอนด์ภายใต้สัญญา 2 ปี โดยก่อนหน้านั้น แมนเชสเตอร์ซิตีได้พยายามเซ็นสัญญากับโรนัลโดแต่การเจรจราได้ยุติลง[127][128]
โรนัลโดได้รับเสื้อหมายเลข 7[129] ซึ่งเป็นหมายเลขของเอดินซอน กาบานิในฤดูกาลที่แล้ว[130] ซึ่งเสื้อของเขาทำสถิติยอดขายสูงที่สุดในโลกภายใน 24 ชั่วโมง[131] ทำลายสถิติของลิโอเนล เมสซิในการย้ายไปปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โรนัลโดลงสนามนัดแรกในฤดูกาล 2021–22 วันที่ 11 กันยายน และทำได้สองประตูในนัดที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเปิดโอลด์แทรฟฟอร์ดชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด 4–1 ถัดมาอีกสามวัน โรนัลโดทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ แต่ยูไนเต็ดบุกไปแพ้เบเอ็สเซ ยังบอยส์ 1–2 ต่อมา โรนัลโดลงสนามนัดที่ 900 ในระดับสโมสรและทำได้หนึ่งประตูในนัดที่ทีมบุกไปชนะเวสต์แฮม 2–1
ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2021 โรนัลโดทำประตูชัยให้ยูไนเต็ดชนะบิยาร์เรอัล 2–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำสถิติเป็นนักเตะที่ลงเล่นในรายการนี้มากที่สุด[132] (178 นัด) แซงหน้า อิเกร์ กาซิยัส ต่อมา ในวันที่ 2 พฤศจิกายน โรนัลโดทำได้อีกสองประตูในนัดที่ยูไนเต็ดบุกไปเสมออตาลันตา 2–2 และในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2021 โรนัลโดทำได้สองประตูในนัดที่ยูไนเต็ดเปิดบ้านชนะอาร์เซนอล 3–2 ในพรีเมียร์ลีกซึ่งถือเป็นประตูที่ 800 และ 801 ในอาชีพ ทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูในการแข่งขันทางการครบ 800 ลูก[133] อย่างไรก็ตาม ภายหลังการมาถึงของผู้จัดการทีมชั่วคราวอย่าง รัล์ฟ รังนิค โรนัลโดมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยนอกเหนือจากผลงานของทีมที่ตกต่ำลง ตัวเขายังทำประตูไม่ได้ติดต่อกันถึงสองเดือนซึ่งเป็นสถิติที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เล่นให้เรอัล มาดริด ใน ค.ศ. 2010[134] ก่อนจะกลับมาทำประตูแรกในปี 2022 ได้ในนัดที่ยูไนเต็ดชนะไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 2–0[135]
การบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาส่งผลให้เขาพลาดเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี แต่โรนัลโดกลับมาลงสนามและทำแฮตทริกได้ในพรีเมียร์ลีกวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2022 นัดที่ชนะสเปอร์ 3–2[136] และทำได้อีกครั้งในวันที่ 16 เมษายน ในนัดที่ยูไนเต็ดชนะนอริชซิตี 3–2 ถือเป็นแฮตทริกที่ 50 ในระดับสโมสร และครั้งที่ 60 ในอาชีพ[137][138] ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2022 เขาทำครบ 100 ประตูในพรีเมียร์ลีกในนัดที่ยูไนเต็ดบุกไปแพ้อาร์เซนอล 1–3[139] และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือนเมษายน[140] ยูไนเต็ดจบฤดูกาลอย่างน่าผิดหวังด้วยการพลาดแชมป์ทุกรายการ และจบเพียงอันดับ 6 ส่งผลให้ในฤดูกาล 2022–23 จะเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่โรนัลโดไม่ได้ลงเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเป็นฤดูกาลแรกในรอบ 10 ปีที่เขาไม่ชนะเลิศถ้วยรางวัลใดเลย โรนัลโดได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบี เป็นสมัยที่ 4 ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2022 โดยเป็นผู้เล่นคนที่สองที่ได้รับรางวัลสมัยที่ 4 ต่อจาก ดาบิด เด เฆอา[141] ผลงานในฤดูกาลแรกของโรนัลโดคือทำไป 24 ประตูจาก 38 นัด นอกจากนี้จากผลงาน 18 ประตูในลีก ส่งผลให้เขาคว้าอันดับสามในตำแหน่งผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลในลีก เป็นรองมุฮัมมัด เศาะลาห์ และ ซน ฮึง-มิน และยังมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก[142][143]
เข้าสู่ฤดูกาล 2022–23 โรนัลโดตกเป็นข่าวว่าต้องการย้ายออกจากสโมสรเพื่อลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์รายการใหญ่[144] ทว่าก็ไม่มีทีมใดยื่นข้อเสนอเพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในขณะนั้น[145] เขาไม่ได้ร่วมฝึกซ้อมและลงเล่นกระชับมิตรกับทีมในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลที่ออสเตรเลียและไทย โดยอ้างเหตุผลทางด้านครอบครัว[146] ฌอร์ฌึ เม็งดึช พยายามผลักดันการย้ายทีมด้วยการเสนอเขาให้กับสโมสรใหญ่ทั้งในรูปแบบการยืมตัวและซื้อขาด เช่น เชลซี ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง และ ไบเอิร์นมิวนิก แต่ก็ไม่มีทีมใดเซ็นสัญญาเนื่องจากค่าเหนื่อยที่สูง รวมถึงผู้จัดการทีมอย่าง โทมัส ทุคเคิล ที่ปฏิเสธการซื้อขายด้วยตัวเอง[147]
โรนัลโดลงแข่งขันนัดแรกของฤดูกาลโดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนัดที่ยูไนเต็ดเปิดบ้านแพ้ไบรตัน 1–2 ในพรีเมียร์ลีกวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2022 และทำประตูแรกของฤดูกาลได้จากลูกจุดโทษในนัดที่ยูไนเต็ดบุกไปเอาชนะเชริฟฟ์ตีรัสปอล 2–0 ในยูฟ่ายูโรปาลีกวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2022 ต่อมา โรนัลโดทำประตูที่ 700 ในการเล่นระดับสโมสรได้ ในนัดที่ยูไนเต็ดบุกไปชนะเอฟเวอร์ตัน 2–1 วันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2022 และยังเป็นการลงแข่งขันในลีกในระดับสโมสรเป็นนัดที่ 650[148] ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ซึ่งยูไนเต็ดชนะสเปอร์ 2–0 โรนัลโดซึ่งมีชื่อเป็นผู้เล่นสำรองปฏิเสธการถูกเปลี่ยนตัวลงมาในช่วงท้ายเกม และเขาเดินทางออกจากสนามทั้งที่ยังไม่หมดเวลาการแข่งขัน[149][150] เขาถูกลงโทษด้วยการถูกตัดออกจากทีมในเกมที่ยูไนเต็ดไปเยือนเชลซี และถูกแยกให้ซ้อมคนเดียว[151][152] อย่างไรก็ตาม โรนัลโดได้กลับมาลงเล่นในยูโรปาลีกซึ่งเขาทำประตูได้ในนัดที่ทีมเอาชนะเชริฟฟ์ตีรัสปอล 3–0 และได้ลงเล่นในฐานะกัปตันทีมในนัดที่พบแอสตันวิลลา[153] ก่อนจะไม่มีชื่อในการแข่งขันลีกคัพกับวิลลา และในเกมพรีเมียร์ลีกนัดเยือนฟูลัมโดย เอริก เติน ฮัค ผู้จัดการทีมให้เหตุผลว่าโรนัลโดมีอาการป่วย[154]
ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 โรนัลโดให้สัมภาษณ์กับ เพียรส์ มอร์แกน นักข่าวชื่อดังชาวอังกฤษถึงสาเหตุที่ตนต้องการย้ายออกจากสโมสร โดยเขารู้สึกว่าตนเองถูกทรยศโดยผู้จัดการทีมและผู้เล่นบางคนที่ต้องการให้เขาออกจากสโมสร และยังกล่าวว่าเขาไม่เคารพเติน ฮัค เนื่องจาก เติน ฮัค ก็ไม่เคยให้ความเคารพเขาเช่นกัน[155] โรนัลโดยังวิจารณ์สโมสรในกรณีแต่งตั้งรังนิคเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว ซึ่งเขารู้สึกว่ารังนิคไม่มีศักยภาพเพียงพอ[156] นอกจากนี้ โรนัลโดยังกล่าวว่าสโมสรไม่มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เกษียณตนเอง ทั้งในแง่โครงสร้างสโมสร เทคโนโลยี และบุคลากร จากบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ส่งผลให้สโมสรประกาศยุติสัญญากับโรนัลโดในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022[157]
ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2022 สโมสรอันนัศร์ในซาอุดีอาระเบีย บรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญากับโรนัลโด โดยมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 2023 โรนัลโดเซ็นสัญญาสองปีไปจนถึงฤดูกาล 2025[158] ฟาบรีซีโอ โรมาโน รายงานว่าโรนัลโดได้กลายเป็นนักฟุตบอลที่ได้รับค่าจ้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 200 ล้านยูโรต่อปี[159] รวมถึงเงินโบนัสจากการเซ็นสัญญากว่า 100 ล้านยูโร[160]
โรนัลโดลงสนามครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ. 2023 ในการแข่งขันเกมกระชับมิตรพบปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โรนัลโดทำได้สองประตูแต่ทีมแพ้ไปด้วยผลประตู 4–5[161] และลงสนามในเกมทางการครั้งแรกในฐานะกัปตันทีมวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2023 ลงเล่นครบ 90 นาทีในนัดที่ทีมเอาชนะสโมสรอัลอิตติฟากด้วยผลประตู 1–0[162] เขาทำประตูแรกได้จากการยิงลูกโทษในนาทีสุดท้าย ในนัดที่ทีมเสมอสโมสรอัล ฟาเตห์ ด้วยผลประตู 2–2[163] ต่อมา ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 โรนัลโดยิงสี่ประตูในนัดที่ทีมเอาชนะ อัล-เวห์ด้า เมกกะ ประตูแรกในนัดนี้ถือเป็นการทำประตูในลีกครบ 500 ลูกของเขา[164] ถัดมาอีกสองสัปดาห์ โรนัลทำทำแฮตทริกช่วยให้อันนัศร์บุกไปเอาชนะสโมสรดามัค[165] ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกประจำเดือนกุมภาพันธ์ หลังมีผลงานทำห้าประตูและแอสซิสต์ไปอีกสองครั้ง[166] อย่างไรก็ตาม โรนัลโดจบฤดูกาลโดยไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ โดยอันนัศร์ทำได้เพียงรองแชมป์
บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษวิเคราะห์ว่า การย้ายทีมครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในการปฏิวัติวงการฟุตบอลเอเชีย ซึ่งเป็นการปลุกกระแสให้ผู้เล่นจากลีกต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรปย้ายไปเล่นอาชีพที่ซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก[167] ซึ่งตามมาด้วยการย้ายทีมของนักฟุตบอลื่อดังหลายคนมาสู่ซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก เช่น การีม แบนเซมา, ซาดีโย มาเน, อึงโกโล ก็องเต, รูแบน แนวึช, ริยาฎ มะห์รัซ, โรแบร์ตู ฟีร์มีนู และเนย์มาร์ เข้าสู่ฤดูกาล 2023–24 โรนัลโดทำประตูแรกในฤดูกาลช่วยให้อันนัศร์เอาชนะสหภาพกีฬาโมนาสตีร์ ในรายการอาหรับแชมเปียนส์คัพ[168] ต่อมา ในวันที่ 3 สิงหาคม โรนัลโดทำประตูช่วยทีมตีเสมอสโมสรกีฬาซะมาลิก เกมจบลงด้วยผลประตู 1–1 ช่วยทีมผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศในฐานะทีมอันดับสองของกลุ่ม[169] ต่อมา วันที่ 9 กันยายน ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ โรนัลโดทำประตูชัยจากลูกจุดโทษ พาทีมชนะ สโมสรกีฬาอัล ชอร์ต้า แบกแดด ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก[170] และโรนัลโดทำสองประตูในรอบชิงชนะเลิศพาอันนัศร์เอาชนะทีมคู่ปรับอย่าง อัลฮิลาล ในช่วงต่อเวลาไปด้วยผลประตู 2–1 คว้าแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โรนัลโดยังได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดประจำการแข่งขันด้วยผลงานหกประตู[171]
โรนัลโดลงสนามในเกมลีกครั้งแรกในฤดูกาลใหม่ แต่อันนัศร์แพ้อัล ทาวอน ด้วยผลประตู 0–2 วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2023[172] ก่อนจะทำแฮตทริกในสัปดาห์ต่อมา พาทีมเอาชนะอัล ฟาเตห์ด้วยผลประตู 5–0[173] ต่อมา วันที่ 29 สิงหาคม โรนัลโดทำสองประตูและหนึ่งแอสซิสต์ พาทีมเอาชนะคู่ปรับอย่าง อัล ชาบับ ด้วยผลประตู 4–0[174] โรนัลได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกในเดือนนี้อีกครั้ง จากผลงานทำห้าประตูและสองแอสซิสต์[175] ต่อมา วันที่ 2 กันยายน โรนัลโดมำประตูช่วยอันนัศร์ชนะอัล ฮาซึม ถือเป็นประตูที่ 850 ในการแข่งขันระดับทางการนับรวมทีมชาติและสโมสร[176] ถัดมา วันที่ 19 กันยายน โรนัลโดลงแข่งขันรายการ เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2023–24 เป็นครั้งแรก ในนัดที่ทีมชนะสโมสรเปอร์เซโปลิสจากอิหร่านด้วยผลประตู 2–0 ทำสถิติเป็นนักฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ลงแข่งขันทางการโดยไม่แพ้ครบ 1,000 นัด[177] โรนัลโดทำประตูแรกในรายการนี้ได้ ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2023 ช่วยอันนัศร์เปิดบ้านชนะ สโมสรฟุตบอลอิสติกลอล ด้วยผลประตู 3–1[178] ในวันต่อมา โรนัลโดคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกเป็นครั้งที่สาม ด้วยผลงานทำห้าประตูและอีกสามแอสซิสต์ในสี่เกม[179]
โรนัลโดลงสนามครบ 1,200 นัดในอาชีพในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2023 ในนัดที่บุกไปชนะสโมสรอัล ริยาดห์ ด้วยผลประตู 4–1 โดยโรนัลโดเป็นผู้ทำประตูแรกของเกม[180] ต่อมา ในการแข่งขันนัดส่งท้ายปี โรนัลโดทำอีกหนึ่งประตูช่วยให้อันนัศร์เอาชนะอัล ทาวอน 4–1 โรนัลโดมีผลงานทำ 54 ประตูให้แก่สโมสรและทีมชาติในปีนี้ จำนวน 54 ประตูดังกล่าวถือเป็นสถิติที่มากที่สุดที่เขาทำได้นับตั้งแต่ ค.ศ. 2016[181] ต่อมา ในการแข่งขันรอบแพ้คัดออกในรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก อันนัศร์ต้องพบกับอัล ไฟฮา ซึ่งถือเป็นการลงสนามครบ 1,000 นัดในระดับสโมสรของโรนัลโด เขาทำประตูช่วยให้ทีมบุกไปเอาชนะ 1–0 และในการแข่งขันที่ที่สองอันนัศร์ก็สามารถเปิดบ้านเอาชนะไปอีกครั้งด้วยผลประตู 2–0 โดยโรนัลโดทำประตูปิดท้าย ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ[182] ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 โรนัลโดแสดงท่าดีใจในเชิงอนาจารต่อหน้าแฟนบอลสโมสรอัลซาบับ ในนัดที่อันนัศร์เอาชนะไปด้วยผลประตู 3–2 ส่งผลให้เขาถูกสอบสวนโดยสหพันธ์ฟุตบอลซาอุดีอาระเบียสอบสวน และได้รับโทษห้ามแข่งจำนวน 1 นัด[183]
ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2024 โรนัลโดสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันทางการครบ 800 นัด ในนัดที่สองของรอบก่อนรองชนะเลิศเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกซึ่งอันนัศร์เอาชนะสโมสรอัล ไอน์[184] สี่วันถัดมา โรนัลโดทำประตูที่ 50 ในการลงเล่นให้อันนัศร์ จากการยิงลูกจุดโทษช่วยให้ทีมเอาชนะคู่ปรับอย่างอัลอะฮ์ลีอัสซะอูดี 1–0[185] ในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2024 ในรอบรองชนะเลิศการแข่งขันซาอุดีอาระเบียซูเปอร์คัพซึ่งอันนัศร์พบคู่ปรับอย่างอัลฮิลาล โรนัลโดได้รับใบแดงเป็นครั้งแรกในการเล่นอาชีพที่ซาอุดีอาระเบียภายหลังประท้วงผู้ตัดสินในนาทีที่ 86[186] การแข่งขันจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอันนัศร์ 1–2 ต่อมา ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 โรนัลโดทำแฮตทริกเป็นครั้งที่ 66 ในอาชีพช่วยให้อันนัศร์เอาชนะสโมสรอัล-เวห์ดา เมกกะ 6–0 ถือเป็นการทำครบ 890 ประตูในการเล่นอาชีพ[187] ในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 โรนัลโดทำสองประตูในนัดที่ทีมเอาชนะอัลอิตติฮาด (ญิดดะฮ์) ซึ่งเป็นประตูที่ 34 และ 35 ในฤดูกาลของเขา ทำลายสถิติของอับเดอร์ราซัค ฮัมดัลลาห์ ในการทำประตูมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลในการแข่งขันซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก โรนัลโดยังกลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่เป็นผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลในลีกสูงสุดของ 4 ประเทศ (อังกฤษ, สเปน, อิตาลี และ ซาอุดีอาระเบีย)[188] ต่อมา วันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 อันนัศร์แพ้ต่ออัลฮิลาลในการดวลจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศคิงส์คัพซาอุดีอาระเบีย ภายหลังเสมอกันด้วยผลประตู 1–1[189]
โรนัลโดเคยลงเล่นทั้งในทีมชุดอายุต่ำกว่า 15 ปี, 20 ปี, 21 ปี และ 23 ปี โดยลงเล่นให้กับทีมเยาวชนของโปรตุเกสรวม 34 นัด ทำไป 18 ประตู ต่อมา โรนัลโดได้ลงเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกในวัย 18 ปี ในนัดที่โปรตุเกสเอาชนะคาซัคสถาน ไป 1–0 ในนัดกระชับมิตร วันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2003[190]
จากผลงานอันโดดเด่นกับสโมสร ส่งผลให้โรนัลโดได้ถูกเรียกตัวไปไปเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[191] ซึ่งโปรตุเกสเป็นเจ้าภาพ และประตูแรกในนามทีมชาติของเขาคือนัดที่โปรตุเกสแพ้กรีซ 1–2 ในรอบแบ่งกลุ่ม[192] และทำประตูที่สองได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งโปรตุเกสชนะไป 2–1[193] โปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะแพ้กรีซ 0–1 แต่โรนัลโดยังมีชื่อติดทีมนักฟุตบอลยอดประจำการแข่งขัน[194]นอกจากนี้เขายังเป็นตัวแทนของทีมชาติในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 และทำได้ 1 ประตูในนัดที่เอาชนะโมร็อกโก 2–1 แต่โปรตุเกสตกรอบแบ่งกลุ่ม จากการแพ้อิรักและคอสตาริกา 2–4 ทั้งสองนัด[195][196]
โรนัลโดได้เป็นรองดาวซัลโวในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกด้วยการทำไป 7 ประตู[194] และประตูแรกของเขาในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายคือนัดที่พบกับอิหร่านด้วยการยิงจุดโทษ[197] โปรตุเกสผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะชนะเนเธอร์แลนด์ 1–0 และเมื่อมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย โปรตุเกสได้พบกับอังกฤษ โดยโรนัลโดต้องแข่งขันกับเพื่อนร่วมทีมจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซึ่งก็คือ เวย์น รูนีย์ และรูนีย์ได้ไปทำฟาวล์ใส่กองหลังโปรตุเกส รีการ์ดู การ์วัลยู จนได้รับใบแดง สื่ออังกฤษได้สันนิษฐานว่าโรนัลโดมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ตัดสินโอราซีโอ เอลีซอนโด ในการให้ใบแดงแก่รูนีย์ ภายหลังจากการแข่งขัน โรนัลโดยืนยันว่ารูนีย์เป็นเพื่อนของเขาและเขาไม่ได้มีเจตนากดดันผู้ตัดสิน[198] วันที่ 4 กรกฎาคม อริซอนโดผู้ตัดสินในนัดดังกล่าวได้บอกกับสื่อว่าการที่เขาแจกใบแดงให้รูนีย์เพราะเป็นการทำผิดของกฎฟุตบอล ไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรนัลโดแต่อย่างใด[199]
โรนัลโดถูกโห่ในระหว่างการแข่งขันระหว่างโปรตุเกสและฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศซึ่งโปรตุเกสแพ้ไป 0–1 และยังแพ้เยอรมนีในนัดชิงอันสาม 1–3 คว้าอันดับ 4 ไปครอง[200]
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก โรนัลโดได้สวมเสื้อหมายเลข 7 เป็นครั้งแรก และสามารถทำประตูได้ 8 ประตู และในการแข่งขันรอบสุดท้ายเขาพาโปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้เยอรมนี 2–3[201] ต่อมา การ์ลุช ไกรอช ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน หลุยส์ ฟิลิปเป สโคลารี และเป็นผู้มอบตำแหน่งกัปตันทีมให้แก่โรนัลโด[202]
โรนัลโดไม่สามารถทำประตูได้เลยในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก แต่เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในการแข่งขันรอบสุดท้ายโดยได้รับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน (Man of the Match) ตลอดทั้งสามนัดในรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับ เกาหลีเหนือ[203] โกตติวัวร์ และ บราซิล[204] แต่โปรตุเกสทำได้เพียงผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายและแพ้สเปน 0–1
ต่อมา ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบคัดเลือก โรนัลโดทำได้ 7 ประตู และในการแข่งขันรอบสุดท้าย โปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้สเปนในการดวลจุดโทษ[205] โรนัลโดทำประตูได้ 3 ประตูตลอดการแข่งขันและมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของการแข่งขัน
โรนัลโดทำได้ 8 ประตูในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก และลงเล่นให้กับทีมชาติครบ 100 นัด ในนัดที่พบกับไอร์แลนด์เหนือในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งเขาทำแฮตทริกได้ ต่อมา โรนัลโดทำสถิติเป็นผู้ทำประตูมากที่สุดของทีมชาติโปรตุเกสในเกมกระชับมิตรกับแคเมอรูนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014[206] อย่างไรก็ตาม โปรตุเกสต้องตกรอบแรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เมื่อพวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับเยอรมนี กานา และ สหรัฐ ตกรอบไปด้วยผลต่างประตูได้เสีย[207]
ในรอบคัดเลือก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 โรนัลโดทำได้ 5 ประตู และในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เขาทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมากที่สุด (นับรวมทั้งรอบคัดเลือกและรอบสุดท้าย)[208] ในการแข่งขันรอบสุดท้าย โรนัลโดทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้ทีมชาติโปรตุเกสมากที่สุด (128 นัด) แซงหน้า ลูอิช ฟีกู ในนัดที่พบกับออสเตรียในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งเสมอกัน 0–0 โดยโรนัลโดยิงจุดโทษไม่เข้า ต่อมา ในนัดสุดท้ายที่โปรตุเกสเสมอฮังการี 3–3 โรนัลโดทำได้ 2 ประตู ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูในการแข่งขันรอบสุดท้ายได้ 4 สมัย และแม้ว่าโปรตุเกสจะจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยอันดับ 3 โดยไม่ชนะทีมใด แต่พวกเขายังผ่านเข้าสู่รอบต่อไปตามกติกาใหม่ของยูฟ่า[209]
โปรตุเกสเอาชนะโครเอเชียและโปแลนด์ได้ในสองรอบถัดมาผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ส่งผลให้โรนัลโดเป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้ลงแข่งขันรอบรองชนะเลิศรายการนี้ครบ 3 สมัย[210] ก่อนจะเอาชนะเวลส์ 2–0 โดยโรนัลโดทำได้ 1 ประตูและทำสถิติร่วมกับ มีแชล ปลาตีนี ในการทำประตูมากที่สุดในการแข่งขันรอบสุดท้าย 9 ประตู โปรตุเกสเข้าชิงชนะเลิศพบกับฝรั่งเศสและสามารถคว้าแชมป์ระดับทางการได้เป็นครั้งแรกจากชัยชนะ 1–0 แม้ว่าโรนัลโดจะได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งแรก[211] โรนัลโดมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันเป็นครั้งที่ 3 และทำไป 3 ประตูตลอดการแข่งขัน[212]
โรนัลโดทำประตูที่ 71 ในนามที่มชาติ ในเกมกระชับมิตรที่โปรตุเกสแพ้สวีเดน 2–3 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2017 ส่งผลให้เขาครองสถิติร่วมกับ มีโรสลัฟ โคลเซอ ในฐานะนักเตะยุโรปที่ทำประตูให้กับทีมชาติได้มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ต่อมา ในการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 โปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้จุดโทษชิลี โดยโรนัลโดได้ถอนตัวจากการแข่งขันเนื่องจากต้องไปเฝ้าภรรยาที่คลอดบุตร แต่โปรตุเกสเอาชนะเม็กซิโกได้ 2–1 ในนัดชิงอันดับ 3[213]
ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2017 โรนัลโดยิงคนเดียว 3 ประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกนัดที่เอาชนะหมู่เกาะแฟโร 5–1 ส่งผลให้เขาทำประตูในนามทีมชาติครบ 78 ประตู สูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ตลอดกาล ต่อมา ในการแข่งขันรอบสุดท้าย โรนัลโดทำสถิติเป็นผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดที่ทำแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลกในนัดที่โปรตุเกสเสมอสเปน 3–3 ในรอบแบ่งกลุ่ม และยังเป็นผู้เล่นโปรตุเกสคนแรกที่ทำประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ครบ 4 สมัย ต่อมา เขาทำสถิติแซงหน้า แฟแร็นตส์ ปุชกาช ตำนานชาวฮังการีในการทำประตูครบ 85 ลูกให้กับทีมชาติในนัดที่โปรตุเกสชนะโมร็อกโก 1–0 แต่โปรตุเกสจบเพียงอันดับ 2 ของกลุ่มหลังจากทำได้แค่เสมอกับอิหร่าน 1–1 ในนัดสุดท้ายซึ่งโรนัลโดยิงจุดโทษไม่เข้า[214] และเข้าไปแพ้อุรุกวัยในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 1–2[215] แต่โรนัลโดยังมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน
โปรตุเกสคว้าแชมป์ระดับทางการรายการที่สองได้จากการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก 2019 เอาชนะเนเธอร์แลนด์ 1–0 โดยก่อนหน้านั้น ในรอบรองชนะเลิศที่โปรตุเกสเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ โรนัลโดทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูในการแข่งขันระดับทางการของทีมชาติได้ 10 รายการติดต่อกัน
ต่อมา ในเดือนกันยายน 2019 ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก นัดที่โปรตุเกสเอาชนะลิทัวเนีย 5–1 โรนัลโดซึ่งทำคนเดียว 4 ประตู ทำสถิติแซงหน้า ร็อบบี คีน ของไอร์แลนด์ (23 ประตู) ในฐานะผู้เล่นที่ทำประตูในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบคัดเลือกมากที่สุดจำนวน 25 ประตู และยังเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำแฮตทริกให้กับทีมชาติได้ 8 ครั้ง ต่อมาในวันที่ 14 ตุลาคม โรนัลโดทำประตูที่ 700 ตลอดการเล่นอาชีพ (นับรวมทั้งสโมสรและทีมชาติ) จากลูกจุดโทษในนัดที่โปรตุเกสบุกไปแพ้ยูเครน 1–2 ต่อมา เขาทำประตูที่ 99 ในนามทีมชาติได้ในนัดที่โปรตุเกสเอาชนะลักเซมเบิร์ก 2–0
ต่อมา ในวันที่ 8 กันยายน 2020 โรนัลโดทำประตูที่ 100 และ 101 ได้ในการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก 2020-21 นัดที่โปรตุเกสบุกไปเอาชนะสวีเดน 2–0 ส่งผลให้โรนัลโดเป็นผู้เล่นคนที่สองในประวัติศาสตร์ ต่อจาก อาลี ดาอี ตำนานทีมชาติอิหร่านที่ทำประตูได้ครบ 100 ลูกให้กับทีมชาติ รวมทั้งเป็นผู้เล่นชาวยุโรปคนแรกที่ทำสถิติดังกล่าวได้[216][217]
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบสุดท้าย นัดที่โปรตุเกสเอาชนะฮังการี 2–0 ในรอบแบ่งกลุ่ม โรนัลโดทำสองประตู ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีทำประตูในการแข่งขันรอบสุดท้ายได้มากที่สุด[218] แซงหน้า มีแชล ปลาตีนี รวมทั้งเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูในการแข่งขันรอบสุดท้ายได้ครบห้าสมัย และยังถือเป็นผู้เล่นโปรตุเกสที่มีอายุมากที่สุดที่ทำประตูให้กับทีมชาติได้ แต่โปรตุเกสไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้โดยแพ้เบลเยียม 0–1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่โรนัลโดยังเป็นผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุด (5 ประตู) ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ[219]
ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2021 โรนัลโดได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้เล่นชายที่ทำประตูในการแข่งขันทีมชาติได้มากที่สุดตลอดกาล เมื่อเขาทำสองประตูซึ่งเป็นประตูที่ 110 และ 111[220] ได้ในนัดที่โปรตุเกสเอาชนะไอร์แลนด์ 2–1 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ทำสถิติแซงหน้า อาลี ดาอี ที่ทำไว้ 109 ประตู[221] ต่อมา ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2021 โรนัลโดทำได้หนึ่งประตูในนัดกระชับมิตรที่โปรตุเกสชนะกาตาร์ 3–0 และทำสถิติเป็นผู้เล่นชายจากยุโรปที่ลงสนามให้ทีมชาติมากที่สุดจำนวน 181 นัด แซงหน้าเซร์ฆิโอ ราโมสที่ลงสนามให้สเปน 180 นัด[222] และในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2021 โรนัลโดทำแฮตทริกได้อีกครั้งในนัดที่โปรตุเกสเปิดบ้านชนะลักเซมเบิร์ก 5–0 ในฟุตบอลบอลโลกรอบคัดเลือก ทำสถิติเป็นผู้เล่นชายที่ทำแฮตทริกในนามทีมชาติได้มากที่สุดจำนวน 10 ครั้ง
โปรตุเกสผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โดยถือเป็นฟุตบอลโลกสมัยที่ห้าของโรนัลโด และในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 ในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มซึ่งโปรตุเกสเอาชนะกานา 3–2 โรนัลโดทำประตูได้จากลูกจุดโทษ ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ห้าสมัย[223] โรนัลโดถูกวิจารณ์หลังแสดงความไม่พอใจที่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในนัดที่พบเกาหลีใต้[224] เขามีชื่อเป็นเพียงผู้เล่นสำรองในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่โปรตุเกสชนะสวิตเซอร์แลนด์ 6–1 ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008[225] ที่เขาไม่ได้ลงเล่นเป็น 11 คนแรกในการแข่งขันรายการใหญ่ของทีมชาติ และโปรตุเกสต้องยุติเส้นทางไว้ที่รอบก่อนรองชนะเลิศ โดยแพ้โมร็อกโก 0–1
อนาคตในทีมชาติของโรนัลโดหลังจบฟุตบอลโลก 2022 ในช่วงแรกไม่แน่นอนนัก มีกระแสข่าวว่าภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างโรเบร์โต มาร์ติเนซ โรนัลโดอาจะตัดสินใจเลิกเล่นทีมชาติ อย่างไรก็ตาม เขามีชื่ออยู่ทีมชุดที่ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก พบกับลีชเทินชไตน์ และ ลักเซมเบิร์ก[226] โดยโรนัลโดทำได้สองประตูในนัดที่โปรตุเกสชนะลีชเทินชไตน์ด้วยผลประตู 4–0 ในวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2023 และทำสถิติเป็นผู้เล่นชายที่ลงสนามในนามทีมชาติชุดใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 197 นัด[227] ต่อมา ในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2023 โรนัลโดลงสนามให้ทีมชาติโปรตุเกสครบ 200 นัด และทำได้หนึ่งประตูช่วยให้โปรตุเกสเอาชนะไอซ์แลนด์ และสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลชายคนแรกที่ลงเล่นในนามทีมชาติครบ 200 นัด[228] ในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2023 โรนัลโดทำสองประตูช่วยให้โปรตุเกสเปิดบ้านเอาชนะสโลวาเกียด้วยผลประตู 3–2 ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024[229] ต่อมา โรนัลโดทำอีกสองประตูช่วยให้โปรตุเกสบุกไปเอาชนะบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
ในนัดเปิดสนามฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ที่โปรตุเกสพบเช็กเกีย โรนัลโดกลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครบ 6 สมัย โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ลงแข่งขันในรายการดังกล่าว 5 สมัย โปรตุเกสไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ หลังจากแพ้จุดโทษฝรั่งเศสในรอบก่อนรองชนะเลิศ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2024 โรนัลโดทำหนึ่งประตูในนัดที่โปรตุเกสชนะโครเอเชียด้วยผลประตู 2–1 ในยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2024–25[230] สามวันถัดมา เขาทำประตูให้โปรตุเกสชนะสกอตแลนด์ 2–1 และโปรตุเกสขึ้นเป็นทีมนำของกลุ่มเอ และทำอีกหนึ่งประตูช่วยให้โปรตุเกสบุกไปชนะโปแลนด์วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2024
โรนัลโดมีรูปแบบการเล่นที่แทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ[231] เขาสามารถทำประตูได้อย่างเฉียบคมทั้งในระยะใกล้และระยะไกลจากทั้งสองฝั่งของสนาม และเล่นได้หลายตำแหน่ง โดยจะถนัดการยืนเป็นกองหน้ากึ่งปีก (Inside Forward) และ กองหน้าตัวเป้า (Striker) มากที่สุด แต่สามารถเล่นเป็นตัวริมเส้นหรือแม้แต่กองหน้าตัวต่ำได้เช่นกัน เขามีจุดเด่นคือการลากบอลตัดเข้าด้านในและยิงประตูอย่างหนักหน่วงด้วยเท้าทั้งสองข้างและการกระชากลากเลื้อยอย่างว่องไว[232] อีกทั้งยังมีจุดเด่นในเรื่องลูกกลางอากาศ เขาสามารถกระโดดได้สูงถึง 71 เซนติเมตร โดยเขาแสดงศักยภาพดังกล่าวให้แฟนบอลได้เห็นในนัดที่ ยูเวนตุสเอาชนะซามพ์โดเรียไปได้ 2–1 ในเดือนธันวาคม 2019 ด้วยความสูง 1.87 เมตร ทำให้เขาได้เปรียบในการแย่งลูกกลางอากาศกับฝ่ายตรงข้าม โดยโรนัลโดสามารถทำประตูจากลูกกลางอากาศได้มากขึ้นเมื่อเขาขยับมาเล่นกองหน้าตัวเป้า จากที่เคยเล่นในตำแหน่งปีกในช่วงแรกที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
เขายังเป็นผู้เล่นที่เล่นลูกตั้งเตะได้ดีโดยสามารถทำประตูจากฟรีคิกและลูกจุดโทษได้มากมาย และเป็นผู้เล่นที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดคนหนึ่งของโลก ด้วยมวลกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถเคลื่อนที่ไปกับลูกบอลได้อย่างว่องไวและยากต่อการประกบตัว[233]
ด้วยความสามารถและความโด่งดังจึงมีเอเย่นต์สนใจเขามาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่หลายชิ้น ภาพลักษณ์ของโรนัลโดสร้างความสำเร็จให้กับการตลาดมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอเกมต่าง ๆ ไปจนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ความหล่อเหลาของเขาก็ยังทำให้เขาได้รับการติดต่อจากนิตยสารแฟชั่นอีกด้วย นิตยสารโวกของอเมริกา นำเสนอเขาไปเป็นแบบปก และเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รองเท้ากีฬาอย่าง ไนกี้ โดยทางไนกี้เล็งเห็นว่าโรนัลโดมีฝีเท้าที่เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงได้คุยกับโรนัลโดเพื่อผลิตรองเท้าที่เบา พัฒนารองเท้า รองเท้ารุ่น Mercurial Vapor ออกมา[234][33]
ในปี 2016 นายกเทศมนตรีของเกาะมาเดราบ้านเกิดของโรนัลโดยืนยันว่าได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อสนามบินฟุงชาลเป็นสนามบิน คริสเตียโน โรนัลโด หลังจากพาทีมชาติคว้าแชมป์ยูโร 2016 ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีมฟุตบอลของโปรตุเกส
บิดาของโรนัลโดเคยประกอบอาชีพคนสวน ก่อนจะได้มาเป็นผู้อำนวยการสโมสรฟุตบอลเล็ก ๆ ที่ชื่ออังดูรีญา และบิดาเขาร้องขอให้กัปตันทีมที่ชื่อฟือร์เนา โซซา (Fernão de Sousa) เป็นพ่อทูนหัว ส่วนมารดาของเขามีอาชีพเป็นแม่ครัว โรนัลโดช่วยเหลือครอบครัวเป็นอย่างดีโดยช่วยพี่สาวคนโตเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่เกาะมาเดรา ส่วนพี่สาวอีกคน กาเตีย เป็นนักร้อง มีวงดนตรีชื่อ "Ronalda" โฮเซ่ บิดาของโรนัลโด เสียชีวิตด้วยโรคตับและโรคพิษสุราเรื้อรังเมื่ออายุได้ 52 ปี ในเดือนกันยายน 2005 เมื่อโรนัลโดอายุ 20 ปี และนั่นเป็นสาเหตุให้โรนัลโดไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเขาได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการหมิ่นประมาทจากบทความ Daily Mirror ที่รายงานว่าเขาดื่มหนักในไนท์คลับขณะพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บในเดือนกรกฎาคม 2008[235] โรนัลโดไม่มีรอยสักใด ๆ เนื่องจากเขาบริจาคเลือดและไขกระดูกเป็นประจำ[236] โดโลเรส มารดาของโรนัลโดเคยเป็นมะเร็งเต้านมในปี 2007 แต่ในปัจจุบันรักษาหายแล้ว[237]
โรนัลมีบุตรทั้งหมด 4 คน บุตรชายคนแรกชื่อว่า คริสเตียโน จูเนียร์ เกิดที่สหรัฐอเมริกาในปี 2010[238] โดยโรนัลโดไม่เปิดเผยว่าแม่ของเด็กคือใครซึ่งในปัจจุบันเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว[239] ต่อมา โรนัลโดคบหากับ ไอริน่า ชาอิค นางแบบชาวรัสเซียก่อนจะยุติความสัมพันธ์ในปี 2015[240] และโรนัลโดได้เป็นพ่อของเด็กอีกสองคนคือ อีวา และ มัตเตโอซึ่งเกิดจากการอุ้มบุญในสหรัฐ[241] ต่อมา โรนัลโดได้คบหากับ จอร์จินา โรดริเกซ นางแบบชาวสเปนซึ่งให้กำเนิดลูกสาวอีกหนึ่งคนคือ อลานา มาร์ตินา[242] และในเดือนตุลาคม 2021 โรนัลโดได้ประกาศว่าเขาและโรดริเกซกำลังจะมีลูกแฝดเพิ่มอีกหนึ่งคู่โดยเป็นชาย 1 คนและหญิง 1 คน แต่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2022 โรนัลโดได้ประกาศว่าบุตรชายของเขาในคู่แฝดได้เสียชีวิตลงระหว่างคลอด[243]
โรนัลโดได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบและแข็งแรงที่สุดคนหนึ่ง โดยได้รับคำชื่นชมจากอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ นักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ของฮอลลีวูดซึ่งเป็นอดีตสุดยอดนักเพาะกายโลก 7 สมัย ว่า เป็นนักฟุตบอลที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบที่สุด[244] เขาให้ความสำคัญกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย โรนัลโดกล่าวว่า “การออกกำลังที่ดีย่อมควบคู่กับการรับประทานอาหารที่ดี ผมชอบกินอาหารที่มีโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตเพียงพอ ทานผักและผลไม้เยอะๆ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก ๆ” อ้างอิงจากรายงานของ Business Insider โรนัลโดมีแนวทางการรับประทานอาหารที่มีวินัยอย่างมาก เริ่มจากมื้อเช้า เจ้าตัวต้องกินอย่างเพียงพอให้มีพละกำลังในการฝึกซ้อม อาหารที่โรนัลโดเลือกมักคล้ายกับนักฟุตบอลอาชีพในยุโรปส่วนใหญ่ เช่น แฮม ชีส ขนมปังปิ้ง ครัวซองต์ ควบคู่ไปกับอะโวคาโด โยเกิร์ต และ ผลไม้ สำหรับมื้อกลางวัน โรนัลโดชื่นชอบ ‘อาหารจานปลา’ โดยเฉพาะเมนู Bacalhau à Bras ที่มีส่วนผสมจากปลาค็อด หัวหอม ไข่คน (Scrambled Eggs) และมันฝรั่งชิ้นบาง ๆ หากต้องไปร้านอาหารโรนัลโดก็มักจะสั่งสเต็กทานคู่กับสลัดผัก นอกจากนี้โรนัลโดยังบอกว่าเขาดื่มน้ำเยอะมากในแต่ละวันเนื่องจากต้องรับมือกับการฝึกซ้อมและการแข่งขัน
อีกสิ่งหนึ่งที่เขาทำคือ การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเลือกที่จะดื่มนมแทน[245] เจ้าตัวให้คำแนะนำอีกว่า เมื่อออกกำลังในยิมต้องทำการออกกำลังกายให้น่าสนใจเสมอ โดยแนวทางของโรนัลโดคือผสมการเล่นทุกอย่างให้พอเหมาะเพื่อให้ทั้งกล้ามเนื้อกับระบบหลอดและเลือดหัวใจดีขึ้น โรนัลโดทำทั้งคาดิโอ เล่นเวตพร้อมการใช้เครื่องวิ่งหรือเครื่องปั่นต่าง ๆ สำคัญคือต้องตั้งเป้าหมายในการเล่นให้ทุกส่วนของร่างกายแกร่งขึ้นและให้มีความฟิตมากขึ้นด้วย แม้โรนัลโดจะมีการฝึกซ้อมที่หนัก เขาก็ยังไม่ลืมรักษาร่างกายให้ผ่อนคลายเช่นกัน ตามรายงานของ ไนกี้ โรนัลโดชอบดื่มชากับน้ำผึ้ง หรือนมสักแก้ว ต่อด้วยการอาบน้ำร้อนประมาณ 20 นาทีในคืนก่อนวันแข่งขัน พร้อมว่ายน้ำและวารีบำบัดหลังการแข่งขันหรือการซ้อม เจ้าตัวเชื่อว่ารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะทำให้เขาได้เปรียบผู้เล่นคนอื่น “เลือกกิน ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ นี่คือสิ่งที่ผมตั้งใจทำตั้งแต่เริ่มต้นเป็นนักฟุตบอลอาชีพ “การนอนหลับอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสู่การฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ผมมักจะนอนเร็วและตื่นเช้า[246] โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนก่อนเกมการแข่งขัน การนอนช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ”
อย่างไรก็ตาม โรนัลโดยังให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจของตัวเองพอ ๆ กับร่างกายเพื่อรับมือกับความกดดันทั้งในและนอกสนาม โรนัลโดแนะนำว่า การพักผ่อนโดยใช้เวลากับครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายจะสร้างสุขภาพจิตที่ดี “การฝึกและการออกกำลังกายมีความสำคัญมาก แต่การดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายจะช่วยให้คุณเป็นคุณที่ดีที่สุดได้ทั้งร่างกายและจิตใจ” โรนัลโดอธิบาย “ผมมักใช้เวลาว่างกับครอบครัวและเพื่อนฝูงซึ่งทำให้ผมผ่อนคลายและมองโลกในแง่บวก”ส่วนการฝึกซ้อมในสนาม โรนัลโดบอกว่าต้องตั้งใจในการฝึกที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อจะได้สะท้อนในสถานการณ์จริงได้
ปี 2011 โรนัลโดได้นำรางวัลรองเท้าทองคำออกมาประมูลได้เงิน 1.2 ล้านยูโร เพื่อนำไปช่วยโรงเรียนในฉนวนกาซา ปี 2013 เขาได้รางวัลบัลลงดอร์เป็นสมัยที่ 3 และเขานำรางวัลดังกล่าวออกมาประมูลอีกครั้งได้เงินไป 530,000 ปอนด์ เพื่อมอบให้มูลนิธิ เมก-อะ-วิช เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ต่อมา ปี 2014 โรนัลโดรับบทบาทเป็นทูตให้กับโครงการเพื่อการกุศลถึง 3 โครงการคือ Save the children, UNICEF และ World Vision เพื่อร่วมเป็นกระบอกเสียงให้กับการทำงานขององค์กรเหล่านี้ นอกจากนี้เขายังมีชื่อติดทีมยูฟ่าแห่งปี ได้รับเงินรางวัล 100,000 ยูโร เขาส่งต่อให้สภากาชาดในสเปนทันทีและบริจาคเงิน 45,000 ปอนด์จากโบนัสที่ได้จากแชมป์ยุโรป มอบให้กับ 3 หน่วยงานคือ Save the children, UNICEF และ World Vision ในปี 2018 โรนัลโด ตกลงเซ็นสัญญาเป็นทูตให้กับ Associazione Volontari Italiani Sangue (AVIS) องค์กรการกุศลของอิตาลี เพื่อสนับสนุนการบริจาคเลือด บ่อยครั้งที่โรนัลโดจะให้ความสำคัญกับเด็กโดยเฉพาะเด็กกำพร้า ครั้งหนึ่งที่เขารู้เรื่องเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่จากเหตุระเบิดพลีชีพในกรุงเบรุต เลบานอน จากนักข่าวคนหนึ่ง โรนัลโดเชิญ ไฮดาร์ เด็กคนดังกล่าวมาที่สเปนเพื่อชมการแข่งขันของเรอัล มาดริด
เว็บไซต์ "โกลดอตคอม" จัดอันดับนักฟุตบอลที่รวยที่สุดในโลกประจำปี 2014 ปรากฏว่า โรนัลโดรั้งอันดับ 1 โดยมีทรัพย์สิน 122 ล้านปอนด์ (ราว 6,100 ล้านบาท)[247] โดยมี ลิโอเนล เมสซิ กองหน้าคู่แข่งตามมาในอันดับ 2 นอกจากนี้ โรนัลโดยังกลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ทำเงินรางวัลรวม 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเปิดเผยโดยฟอร์บส์ โรนัลโดทำรายรับก่อนหักภาษี 105 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3,150 ล้านบาทในรอบปีล่าสุดยึดอันดับ 4 ในหมวดผู้มีชื่อเสียงของโลก เป็นรองแค่โรเจอร์ เฟเดอเรอร์นักเทนนิสสวิตเซอร์แลนด์, คานเย เวสต์ แรปเปอร์อเมริกัน และไคลี เจนเนอร์ นางแบบสาวชาวอเมริกัน และเขาเป็นนักกีฬาคนที่ 3 ต่อจาก ไทเกอร์ วูดส์ โปรกอล์ฟอดีตมือ 1 ของโลกชาวอเมริกัน และฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อดีตแชมป์มวยโลกผู้ไร้พ่ายชาวอเมริกันที่ทำเงินรางวัลรวม 1,000 ล้านเหรียญ โดยคาดว่าโรนัลโดมีรายรับจากค่าจ้างในฐานะนักฟุตบอล 650 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 19,500 ล้านบาท) ที่เหลือมาจากรายรับสปอนเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงธุรกิจส่วนตัวทั้งโรงแรมและสินค้าแฟชั่น
ด้วยความที่โรนัลโดนั้นเป็นนักกีฬาที่ไม่ได้มีดีแค่ฝีเท้าแต่ยังมีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกภาพที่ดีอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายจึงสนใจทาบทามเขาให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น ไนกี้, เคเอฟซี, โตโยต้า, เอมิเรต หรือแม้กระทั่ง Shopee โรนัลโดมีรสนิยมการแต่งตัวที่ไม่ธรรมดาโดยถือว่าการแต่งตัวของเขาเป็นแนวสปอร์โนเซ็กชวล (Spornosexual) ที่ต้องดูดีทุกส่วนตั้งแต่ทรงผมจรดเท้า[248] เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่โรนัลโดใส่เป็นประจำได้แก่ แว่นกันแดด โครม เฮิร์ต ราคา 552 ปอนด์ (27,600 บาท), กระเป๋าถือ กุชชี่ ราคา 265 ปอนด์ (13,250 บาท), เข็มขัดโดลเช่ แอนด์ กาบบาน่า ราคา 450 ปอนด์ (22,500 บาท), นาฬิกา จาค็อบ แอนด์ โค ราคา 10,600 ปอนด์ (530,000 บาท), กางเกงยีนส์ ดีสแควร์ ราคา 325 ปอนด์ (16,250 บาท) และเสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังอีกมากมาย[249] โดยมูลค่าของเสื้อผ้า–เครื่องประดับของโรนัลโดต่อการช้อปปิ้งหนึ่งครั้งจะมีราคารวมกันประมาณ 12,192 ปอนด์ (ประมาณ 600,00 บาท) การแต่งกายของโรนัลโดแม้จะเน้นแบรนด์หรูหราและแฟชั่นนำสมัย แต่ยังคงเน้นความสุภาพและความเป็นสุภาพบุรุษมากเช่นกัน โรนัลโดยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับหนึ่งของนักฟุตบอลที่แต่งกายดูดีที่สุดนอกสนามอีกด้วย
โรนัลโดเป็นบุคคลแรกของโลกที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียทุกช่องทางเกิน 500 ล้านราย[250] โรนัลโดได้รับความนิยมทั้งในและนอกสนาม เนื่องจากเจ้าตัวรับหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์สินค้ามากมาย รวมถึงมีแบรนด์ชุดชั้นในของตัวเองอย่าง “ซีอาร์ เซเว่น” ส่งผลให้ดาวเตะวัย 36 ปีมีผู้ติดตามในโลกโซเชียลจำนวนมาก กระทั่งล่าสุดในปี 2020 โรนัลโด เป็นบุคคลแรกที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง ประกอบด้วย เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, ทวิตเตอร์ และยูทูบเกิน 500 ล้านราย[251] ช่องยูทูบยูอาร์ คริสเตียโน ของเขาได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ติดตามทะลุ 1 ล้านคนภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงหลังจากประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2024[252]
โรนัลโดตกเป็นข่าวใหญ่ในเดือนกรกฎาคม 2017 จากการถูกสรรพากรสเปนกล่าวหาเขาว่าหลีกเลี่ยงภาษีเป็นจำนวน 14.7 ล้านยูโร[253] ซึ่งเกี่ยวพันกับรายรับจากลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ ระหว่างปี 2011-14 ในสมัยที่ยังเล่นกับเรอัลมาดริด แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธในช่วงแรก แต่อัยการสเปนมีหลักฐานเพียงพอและดำเนินการฟ้องร้องเป็นจำนวน 4 ข้อหา โรนัลโดได้รับทราบข้อกล่าวหาและเดินทางมาขึ้นศาลในเดือนมกราคม 2019 และได้ยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหา ศาลสเปนได้ตัดสินให้เขาได้รับโทษจำคุก 23 เดือนและปรับเงิน 18.8 ล้านยูโร แต่ไม่ได้รับการจำคุกเนื่องจากกฎหมายสเปนระบุว่าโทษจำคุกจะไม่มีผลบังคับใช้สำหรับผู้กระทำผิดครั้งแรกและได้รับโทษจำคุกน้อยกว่า 2 ปี
สโมสร | ฤดูกาล | ฟุตบอลลีก | ฟุตบอลถ้วย | ลีกคัพ | ระดับทวีป | รายการอื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชั่น | จำนวนนัด | ประตู | จำนวนนัด | ประตู | จำนวนนัด | ประตู | จำนวนนัด | ประตู | จำนวนนัด | ประตู | จำนวนนัด | ประตู | ||
สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล บี[257][258] | 2002–03 | ลีกาปรอ | 2 | 0 | — | — | — | — | 2 | 0 | ||||
สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล | 2002–03 | ปรีไมราลีกา | 25 | 3 | 3 | 2 | — | 3 | 0 | 0 | 0 | 31 | 5 | |
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 2003–04 | พรีเมียร์ลีก | 29 | 4 | 5 | 2 | 1 | 0 | 5 | 0 | 0 | 0 | 40 | 6 |
2004–05 | พรีเมียร์ลีก | 33 | 5 | 7 | 4 | 2 | 0 | 8 | 0 | 0 | 0 | 50 | 9 | |
2005–06 | พรีเมียร์ลีก | 33 | 9 | 2 | 0 | 4 | 2 | 8 | 1 | — | 47 | 12 | ||
2006–07 | พรีเมียร์ลีก | 34 | 17 | 7 | 3 | 1 | 0 | 11 | 3 | — | 53 | 23 | ||
2007–08 | พรีเมียร์ลีก | 34 | 31 | 3 | 3 | 0 | 0 | 11 | 8 | 1 | 0 | 49 | 42 | |
2008–09 | พรีเมียร์ลีก | 33 | 18 | 2 | 1 | 4 | 2 | 12 | 4 | 2 | 1 | 53 | 26 | |
รวม | 196 | 84 | 26 | 13 | 12 | 4 | 55 | 16 | 3 | 1 | 292 | 118 | ||
เรอัลมาดริด | 2009–10 | ลาลิกา | 29 | 26 | 0 | 0 | — | 6 | 7 | — | 35 | 33 | ||
2010–11 | ลาลิกา | 34 | 40 | 8 | 7 | — | 12 | 6 | — | 54 | 53 | |||
2011–12 | ลาลิกา | 38 | 46 | 5 | 3 | — | 10 | 10 | 2 | 1 | 55 | 60 | ||
2012–13 | ลาลิกา | 34 | 34 | 7 | 7 | — | 12 | 12 | 2 | 2 | 55 | 55 | ||
2013–14 | ลาลิกา | 30 | 31 | 6 | 3 | — | 11 | 17 | — | 47 | 51 | |||
2014–15 | ลาลิกา | 35 | 48 | 2 | 1 | — | 12 | 10 | 5 | 2 | 54 | 61 | ||
2015–16 | ลาลิกา | 36 | 35 | 0 | 0 | — | 12 | 16 | — | 48 | 51 | |||
2016–17 | ลาลิกา | 29 | 25 | 2 | 1 | — | 13 | 12 | 2 | 4 | 46 | 42 | ||
2017–18 | ลาลิกา | 27 | 26 | 0 | 0 | — | 13 | 15 | 4 | 3 | 44 | 44 | ||
รวม | 292 | 311 | 30 | 22 | — | 101 | 105 | 15 | 12 | 438 | 450 | |||
ยูเวนตุส | 2018–19 | เซเรียอา | 31 | 21 | 2 | 0 | — | 9 | 6 | 1 | 1 | 43 | 28 | |
2019–20 | เซเรียอา | 33 | 31 | 4 | 2 | — | 8 | 4 | 1 | 0 | 46 | 37 | ||
2020–21 | เซเรียอา | 33 | 29 | 4 | 2 | — | 6 | 4 | 1 | 1 | 44 | 36 | ||
2021–22 | เซเรียอา | 1 | 0 | 0 | 0 | — | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | ||
รวม | 98 | 81 | 10 | 4 | — | 23 | 14 | 3 | 2 | 134 | 101 | |||
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 2021–22 | พรีเมียร์ลีก | 30 | 18 | 1 | 0 | 0 | 0 | 7 | 6 | 0 | 0 | 38 | 24 |
2022–23 | พรีเมียร์ลีก | 10 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | 6 | 2 | 0 | 0 | 16 | 3 | |
อันนัศร์ | 2022-23 | ซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก | 16 | 14 | 6 | 3 | - | - | - | - | 1 | 0 | 19 | 14 |
2023–24 | ซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก | 31 | 35 | 4 | 3 | - | - | 9 | 6 | 7 | 6 | 51 | 50 | |
ตลอดอาชีพ | 653 | 498 | 70 | 41 | 12 | 4 | 194 | 143 | 21 | 15 | 948 | 701 |
ทีมชาติ | ปี | จำนวนนัด | ประตู |
---|---|---|---|
โปรตุเกส | 2003 | 2 | 0 |
2004 | 16 | 7 | |
2005 | 11 | 2 | |
2006 | 14 | 6 | |
2007 | 10 | 5 | |
2008 | 8 | 1 | |
2009 | 7 | 1 | |
2010 | 11 | 3 | |
2011 | 8 | 7 | |
2012 | 13 | 5 | |
2013 | 9 | 10 | |
2014 | 9 | 5 | |
2015 | 5 | 3 | |
2016 | 13 | 13 | |
2017 | 11 | 11 | |
2018 | 7 | 6 | |
2019 | 10 | 14 | |
2020 | 6 | 3 | |
2021 | 14 | 13 | |
2022 | 12 | 3 | |
2023 | 9 | 10 | |
2024 | 9 | 4 | |
รวม | 214 | 132 |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.