คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ขอม

ศัพท์ภาษาไทยใช้เรียกชนชาติและอารยธรรมเขมรโบราณ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอม
Remove ads

ขอม (Khom) ตามนิยามของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 คือ เขมรโบราณ[1] กลุ่มชาวขอมกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาดินแดนสุวรรณภูมิ นับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน เช่น แคว้นโยนก แคว้นสุโขทัย แคว้นอโยธยาเดิม (อู่ทอง ลวปุระ อโยชชะปุระ นครปฐม) และลุ่มแม่น้ำมูล (ดินแดนอีสาน) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่าง ๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่าขอมคือพวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนา(ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย) พวกนี้ตัดผมเกรียน และนุ่งโจงกระเบน กินข้าวเจ้า ฯลฯ แคว้นละโว้นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน อาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่า ขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด ขอมไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เพราะไม่มีเชื้อชาติขอม แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ สยาม

Thumb
"ขอม" คำไทดั้งเดิม ในตระกูล ไทกะได

นักวิชาการประวัติศาสตร์หลายคน เช่น ชาญวิทย์ เกษตรสิริ, ประเสริฐ ณ นคร, ไมเคิล ไรท์ และ สุจิตต์ วงษ์เทศ เห็นว่าขอมกับละโว้คือคนกลุ่มเดียวกัน[2][3]

Remove ads

ศัพทมูลวิทยา

สรุป
มุมมอง

รากศัพท์

อภิธานศัพท์มอญทวารวดีและญัฮกุร โดยเจราด ดีฟโฟลท์ (Gérard Diffloth [en]) บัญญัติรากศัพท์เดิมของคำ ขอม (khom) ในภาษาไทยมาจากคำว่า *krɔɔm[4] (มอญ: ကြေ၁ံ, /กฺรอม/)[5] ในภาษามอญโบราณสมัยทวารวดีและภาษาญัฮกุร[4] หมายถึง ทางใต้ ล่าง ต่ำ ส่วนใต้ของ...(บ้าน ถิ่นฐาน ฯลฯ)[4] แผลงเป็นคำ *krɔɔm*kǝrɔɔm, *kǝnrɔɔm, *k-n-rɔɔm ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกแล้วกระจายสู่ตระกูลภาษาอื่นโดยเป็นทั้งคำนาม คำกริยา และคำบุพบท ดังนี้[4]

คำขอมในภาษาไทย

Thumb
คำ "ขอม" เก่าที่สุด พบในจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 อายุราว พ.ศ. 1912 สมัยสุโขทัย (ภาพวาดจำลองจากภาพจริง)

คำ ขอม (Khom) เป็นคำไทใต้[17][18] คำไทลื้อ[19] หรือคำไทเดิม คำ "ขอม" ไม่ใช่ภาษาเขมร[20] และไม่ได้แปลว่าเขมร[21] เพราะไม่ปรากฏคำว่า "ขอม" ในจารึกเขมรโบราณ[22] ดังนั้น ขอมและชาวเขมรในปัจจุบันเป็นคนละกลุ่มกัน ไม่ได้มีความเชื่อมต่อกัน

ความหมายเดิมของคําว่า ขอม เดิมพวกไทใช้เรียกพวกละว้า (ลัวะ) ดังปรากฏใน พงศาวดารโยนก ว่า พวกกล่อม หรือขอมดํา ต่อมาพวกเขมรเมืองนครธมได้ขยายอาณาเขตเข้ามาปกครองในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยารวมทั้งได้ปกครองพวกกล่อม (ขอมดํา) ด้วย จึงทําให้คนไทยเรียกสับสนกล่าวคือ เรียกพวกเขมรว่าเป็นพวกขอมไปด้วยจึงมีปัญหาแยกกันไม่ออกระหว่างขอมกับเขมร[23]

ดังนั้น คำ "ขอม" คนไทยและคนลาวใช้เรียก ผู้คน ชาติ ปราสาท ตัวอักษร ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่มีอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิที่พบในพื้นที่ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน คำ "ขอม" จึงไม่ใช่ชื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่ง[24]

คำขอมในภาษาอื่น

คำขอมในภาษาอื่นที่มีความหมายเดียวกัน มีดังนี้

  • ภาษามอญโบราณเรียกชาวขอมว่า กรอม (Krom)[25] พบในจารึกมนูหะ คริสต์ศวรรษที่ 11 และจารึกมอญโบราณบริเวณพระเจดีย์ชเวซายันสมัยอาณาจักรสุธรรมวดี หมายถึง ชนชาติเลือดผสมระหว่างมอญ-ขอมอินเดียที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างระหว่างคริสตศักราชที่ 1000 ถึงครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13 ต่อมาตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1[26]
  • ภาษาพม่าเก่าเรียกชาวขอมว่า คฺยวม (Gywam, Krwam, kurwaṁ)[27] พบใน มหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว ฉบับแปลโดยหม่องทินอ่อง และลูซ และจารึกสักกาลัมปะเจดีย์[5] หมายถึง ชาวขอมดินแดน "อรอซะ" หรือ "อโยชะ" ในภาษาบาลีแปลว่า อยุธยา ซึ่งเป็นกลุ่มขอมสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยา นักวิชาการพม่าสมัยใหม่ยังใช้คำว่า คฺยวม กับชาวสยาม[5]
  • ภาษากรีกโบราณเรียกชาวขอมว่า ขอมเทศ[28] (กรีกโบราณ: Κωμήδαι, อักษรโรมัน: Komedes) บันทึกโดยปโตเลมี และทหารชาวโรมันชื่อ Ammianus Marcellinus หมายถึง ชนชาติที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูง
  • ภาษาไทลื้อและภาษาไทใหญ่เรียกชาวขอมว่า กรอม[29] (กะหลอม) หมายถึง ชนชาติไทยทั้งไทยภาคเหนือ และไทยสยามภาคกลางลงมา ในภาษาไทใหญ่นับรวมถึงชนชาติลาวด้วย
  • ภาษาล่าหู่ (มูเซอ) และภาษาจีนยูนนาน เรียกชาวขอมว่า กรอม[29] (กะเลาะ, เกอหลอ,โกโล) หมายถึง ชนชาติไทยพายัพ (ไทยวนในพื้นที่เชียงราย เชียงใหม่ ลําพูน และลําปาง)
  • ภาษาลาว เรียกชาวขอมว่า กะหล่อม หมายถึง ชาวไทยวน ที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว รวมไปถึงชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ร่วมกับไทยวนอีกด้วย ทั้งนี้ การเรียกว่า “ยวน” ก็เรียกเช่นกัน ชาวลาวยังเรียกชนเผ่าอาลักในแขวงจำปาศักดิ์ ว่า "ขอม"[30] บุนมี เทบสีเมืองกล่าวว่า ขอม ในภาษาลาวเพี้ยนมาจากคำว่า กรอม ในภาษาขมุโบราณ[30]

ที่มา

ที่มาของคำ ขอม มีดังนี้

  • ถ่ายทอดมาจากภาษาฮินดีว่า Kom[31] (ฮินดี: कोम) แผลงจากคำว่า Komala[32] (ฮินดี: कोमल) หมายถึง ความนุ่ม พื้นที่นุ่ม ที่ ๆ มีน้ำ ชนชาติ Kom (Kom peoples) ที่อาศัยอยู่ในรัฐมณีปุระทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย สอดคล้องกับบันทึกเปอร์เซียชื่อ The Ship of Sulaiman เรียกอาณาจักรอยุธยาว่า ชะฮฺริ เนาว์ หมายถึง เมืองใหม่อันเป็นเมืองแห่งนาวา มีเรือ และแม่น้ำลำคลองมากมาย[33]
  • อาจมาจากคำว่า อัญขยม, อํญขยุม เป็นคำสยามโบราณ[34][21]:89–90 เกิดจากการผสมระหว่างคำภาษาบาลีว่า "อญฺญ" (อ่านว่า อัน-ยะ) แปลว่า อื่น คนที่ต่างจากผู้นั้น หรือคำสันสกฤตว่า "อนฺย" (สันสกฤต: अन्य, อักษรโรมัน: Anya) ส่วนคำ "ขยม" มาจากคำภาษาเขมรเก่าว่า "ขฺญุํ" หรือ "กฺญุม" (เขมร: ខ្ញុំ, อักษรโรมัน: khñuṃ)[35] แปลว่า ข้ารับใช้ ทาส (Slave, bondsman)
  • มาจากคำว่า "กโรม"[22]:68–69 (Karom) ในภาษาเขมรเก่ายุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 8 แล้วเพี้ยนมาเป็น "กรอม" แล้วเป็น "ขอม"

พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) อธิบายที่มาของคำ "ขอม" ว่า โดยอาคตฐานที่มาของคำว่าขอมนั้น คงจะหมายเอาหนังสือ เรียกชื่อหนังสือ หรือตรงคำว่า "อาคม" ซึ่งเป็นภาษาบาลี เมื่อคำนี้แพร่หลายในชาวเหนือ คำว่า "อา" หายไป เหลือแต่คำว่า "คม" นานเข้าเลยเป็น "ค็อม" แล้วจึงแปลงสำเนียงเป็น "ขอม" ไปเท่านั้น "ขอมดำดิน" ถ้าไม่ใช่พวกวิชาอาคมแล้วก็ดำไปไม่ได้ และคำ "ขอม" นั้น คือพวกขอมที่มาตั้งอยู่ที่เรียกว่าเมืองขอมในเวลานั้นเป็นพวกใช้คำบาลี หรือพราหมณ์[36]

ถ้าจะถือเอาคำว่า "ขอม" เป็นเขมรแล้ว ให้พิจารณา พงศาวดารเหนือ ย้อนหลังขึ้นไปตั้งแต่สมัยพระร่วงเจ้าครองเมืองล่วงแล้วพันปี พร้อมกับหยิบแผนที่สยามดูขึ้นไปทางข้างเหนือจะพบว่าน้ำทะเลขึ้นเกือบถึงเมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย จะเห็นแผนที่ข้างเหนือเป็นเมืองจีน ส่วนด้านใต้เมืองศรีสัชนาลัยจะเห็นได้แต่แหลม และเกาะกับน้ำทะเล เมื่อล่วงมาอีกเกือบพันปีจึงจะได้เห็นแผ่นดินและเมืองด้านทิศตะวันออก และด้านใต้ รวมทั้งพระเจ้าปัณฑราช เมืองพิทยานคร พึ่งจะจับจอง เมืองหงสาวดีเพิ่งจะผุดจากน้ำเมื่อล่วงได้ 1,000 ปี เท่านั้น ไม่เต็มใจที่จะสมมุติคำว่า "ขอม" เป็นชาติของคนเขมรได้เลย[36]

ความแตกต่าง ขอม–เขมร

เขมร

ชาวเขมรในกัมพูชา เรียกว่า ขะแมร์กร็อม หรือ ขะแมร์กรอม (Khmer Krom) หมายถึง ขอมกัมพูชาแท้เริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 1400[37] อาศัยอยู่ในเขตฝั่งใต้ของลำน้ำมูล (ตามภูมิประเทศ เรียกว่า เขมรต่ำ หากอยู่เหนือลำน้ำมูลเรียกว่า เขมรสูง หรือขะแมร์ลือในภาษาเขมร)[38] คำว่า "กร็อม" หรือ "กรอม" (Krom) (เขมร: ក្រោម, อักษรโรมัน: karoṃ, karomm)[39] ในภาษาเขมรเมืองสุรินทร์ และภาษาเขมรกัมพูชา แปลว่า ใต้ ล่าง หรือต่ำ[40]

คำ "ขะแมร์, คแมร์, แขฺมร และ เขมร" เป็นคำเก่าที่ชาวกัมพูชาใช้เรียกตนเองตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7[41] (พ.ศ. 1724–61) มาจากคำว่า "เกฺมร" (เขมร: ខ្មែរ, อักษรโรมัน: kmer, แปลตรงตัว'ชาวขะแมร์ (Khmer), ชื่อข้ารับใช้ (Slavename)')[42] พบในศิลาจารึก Ka. 64 ที่บ้านเมลบ (เมลุบ) จังหวัดไพรแวง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 คำจารึกว่า "(๑๓) กฺญุม เกฺมร โฆ โต ๒๐. ๒๐. ๗. เทร สิ ๒..." แปลว่า ข้ารับใช้ (ที่เป็น) ชาวเขมร[43]

ส่วนจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 (ด้านที่ 1 บรรทัด 29) แม้มีคำจารึกว่า ขอม ในจารึกเดียวกันนี้แต่กลับเรียกชาวเขมรว่า นักเกมรเทศ ปรากฏคำจารึกว่า "นักกกเมรเทส"[44]:19 หมายถึง ชาวเขมร[44]:44 แสดงว่าจารึกวัดศรีชุมใช้คำเรียกชาวเขมรว่า เกฺมร เช่นเดียวกับจารึก Ka. 64

ขอม

หนังสือ ประชุมจารึกภาคที่ ๔ อธิบายว่าจารึกนครวัด หลักที่ 126 อายุ พ.ศ. 2106 เป็นจารึกเป็นภาษาขอมตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 22 มีเชื้อสายกษัตริย์ขอมไปตั้งตัวอยู่ในเมืองละแวกและถ้อยคำในจารึกเป็นภาษาขอมแตกต่างจากภาษาเขมร[45] เช่น

  • เปฺร ขอมออกเสียงว่า /เปฺร/ ส่วนเขมรเขียนว่า เปฺรี ออกเสียงว่า /เปฺรอ/[45]
  • เถฺว ขอมออกเสียงว่า /เถฺว/ ส่วนเขมรเขียนว่า เธฺวี ออกเสียงว่า /เธฺวอ/[45]

จารึกนครวัด หลักที่ 126 ชี้ให้เห็นว่า "ขอม" ไม่ใช่ "เขมร" มีประโยชน์ช่วยให้นักศึกษาโบราณคดีรุ่นหลังจะได้ไม่เข้าใจว่าเขมรเป็นขอมและยังมีจารึกอีกมากที่เป็นคำขอมโบราณซึ่งเป็นภาษาที่เขมรรับเอาภาษาขอมมาใช้ต่อในปัจจุบัน[45]

เอกสาร แถลงงานประวัติศาสตร์เอกสารโบราณคดี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2510 ระบุว่า ชนชาติขอมไม่ใช่ชนชาติเขมรแต่เป็นคนอินเดียผู้ขอเดินทางผ่านอาณาจักรไทยไปตั้งรกรากอยู่ที่กัมพูชา และเป็นผู้คลั่งศาสนาพราหมณ์นับถือลัทธิไศวเวท และวิษณุเวท นิยมการสร้างปราสาทหินถวายพระนารายณ์ และสร้างศิวลึงค์ถวายพระอิศวรปรากฏตามประวัติศาสตร์[46]

หนังสือ พระแสงราชศัสตรา[47] โดยกระทรวงมหาดไทย ชี้ให้เห็นความแตกต่างไว้ว่า ขอม คือ ราชวงค์ขอมที่ปกครองแคว้นกำพูชาซึ่งได้สูญสิ้นให้แก่กรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1974[47]:18 (ดูเพิ่ม พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า 21 กล่าวว่า สักราช 793 กุนสก (พ.ส. 1974) สมเด็ดพระบรมราชาเจ้าสเด็ดไปเอาเมือง(นครหลวง)ได้ แลท่านจึงไห้พระราชกุมารท่านพระนครอินทร์เจ้าเสวยราชสมบัตินะเมืองนครหลวงนั้น[48] หมายถึง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เสด็จการศึกมีชัยเหนือเมืองพระนครแล้วโปรดให้พระอินทราชา (พระนครอินทร์) พระราชโอรสทรงปกครองเสวยราชสมบัติ ณ เมืองพระนคร) ส่วน เขมร คือ ชาวเขมรพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแคว้นกำพูชาซึ่งสยามเป็นผู้สนับสนุนให้เขมรพื้นเมืองมีอำนาจควบคุมกำจัดราชวงค์ขอม ทั้งยังสนับสนุนให้เขมรพื้นเมืองขึ้นครองบัลลังก์แทนราชวงค์ขอมแต่อยู่ภายในความปกครองควบคุมของสยาม[47]:18

หลักฐานทางโบราณคดี

หลักฐานคำ ขอม เก่าที่สุดปรากฏในจารึกกเบื้องจาร (แผ่นหินทราย) ที่ขุดค้นพบจากถ้ำฤๅษีเขางูและ เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี ถ้ำเขาหลวง จังหวัดเพชรบุรี และอื่น ๆ[49] ค้นคว้าและปริวรรรตโดยพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต ป.ธ.๖) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร[50] คำว่า ขอม ในสมัยเมืองแมน ปีอิน 1 (5,340 ปีก่อนพุทธกาล) เป็นตําแหน่งสําหรับบุคคลที่มีความรู้ มีศิลปวิทยาการเป็นที่ยอมรับเป็นทางการ มีเครื่องแต่งกายที่แสดงสถานภาพชัดเจนซึ่งต้องสอบให้ได้มาเช่นเดียวกับตําแหน่งจอหงวนของจีน[51] ปรากฏคำจารึกว่า:–

(แผ่นที่ 126/2): ตวันธิราช ตั้งคนชายให้เป็นขอมชาย ๓๕๐ ญิงเป็นขอมญิง ๕๓ คน มีครุย หมวกยอด เมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑๖ ค่ำ ปี ๓๐…[52]

(แผนที่ 127/1): เดือนแด่นฟ้า แทน ตวัน คุมชายหญิงให้เรียนสือจบ สอบได้เปนขอมนํามาเปนเสมียน[52]

จารึกกเบื้องจาร

เรื่อง ลายสือขอม[53]:276 สมัยสุวัณณภูมิ แต่เดิมขอมฟ้าไทยกับขุนสือไทยร่วมกันจารกเบื้องลายสือขอมเมื่อปีอิน 1245 มื้อวันเพ็ญเดือนห้า (4,095 ปีก่อนพุทธกาล) ลายสือขอมนี้เรียกว่า หนังสือไทย[53]:277 ใช้เป็นตัวจารึก (จาร) พระไตรปิฏก อรรถกถา ฎีกา โปฏฐปาทสูตร คันถธุระ คัมภีร์ ปกรณ์ หนังสือเทศน์ต่าง ๆ และคำว่า ออมขอม[54] (แปลว่า แปลงตัวเป็นขอม ซึ่งขอมเป็นชื่อตำแหน่งครูอาจารย์ ช่าง นักวิชาการ นักหนังสือ) พบในจารึกกเบื้องจารคูบัว (แผ่นที่ 2 แผ่นลำดับอ่านที่ 93 หน้า 1) จังหวัดราชบุรี

สมัยสุโขทัยพบในศิลาจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 สมัยสุโขทัย คำจารึกว่า:- "พ่อขุนบางกลางหาวแลขอมสบาดโขลญลำพงรบกนน"[22]:69 จารึกล้านนาพบคำ "ขอม" ครั้งแรกในจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย (พะเยา) พ.ศ. 1945 สมัยสุโขทัย คำจารึกว่า "ในปีเต่าสง้า คำจวา ปีขอมไซร้ ปีมะแม"[55]:16 และภาษาขอมที่เก่าแก่ที่สุดพบที่จารึกเขาน้อย จังหวัดปราจีนบุรี และจารึกเขารัง รัชสมัยพระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 อาณาจักรเจนละ เป็นจารึกอักษรปัลลวะเขียนด้วยภาษาสันสกฤตและขอม[56] พบที่จังหวัดศรีสะเกษ[57]

ความหมาย

คำ "ขอม" ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถานทุกฉบับ[58] พ.ศ. 2493, พ.ศ. 2525, พ.ศ.2542 ให้คำนิยามว่า ขอม แปลว่า เขมร

ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำว่า ขอม แปลว่า เขมรโบราณ

นอกจากนี้ได้มีผู้ให้ความหมายแตกต่างไป ดังนี้

  1. ขอม แปลว่า ใหญ่ หรือผู้เป็นใหญ่[59]
  2. ขอม แปลว่า ผู้มีภูมิรู้ประเสริฐสุด นระผู้บรรชาญ นระผู้คงแก่เรียน นระผู้รู้ เป็นคนชั้นหัวก๊ก ปู่ครูผู้บรรชาญในสาขาความรู้ต่าง ๆ[17]
  3. ขอม แปลว่า ใต้ ถิ่นใต้ สิ่งของทางใต้ คนใต้ หรือกลุ่มชนชาติไทยสยามที่ชาวไทลื้อเรียกว่าไทใต้[60] ชาวไทลื้อยังเรียกคนไทยวน หรือไทยภาคเหนือว่า กะหลอม อีกด้วย
  4. ขอม (กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทเรียกว่า ขรอม) แปลว่า คนที่พูดภาษาไตอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทะเล หรือทางใต้ของภูเขา (โดยนาย มิกกี้ ฮาร์ท นักวิชาการชาวเมียนมาร์ สันนิษฐานจากการอ่านศิลาจารึกภาษาขอมไทย พิพิธภัณฑ์โบราณคดีพุกาม และการสอบถามกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไท)[61]
  5. ขอม ในภาษาไทยละว้าเดิม แปลว่า รัด ครอบ สวม[62][20] พบการใช้คำนี้เรียกปากชะลอมที่จังหวัดราชบุรี
  6. ขอม ในตำนานไท เขียนว่า กรอม กล๋อม กะหล๋อม หรือ ก๋าหลอม แปลว่า คนที่อยู่ทางใต้[22]
  7. ขอม ในจารึกวัดศรีชุม แปลว่า กลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างมากกว่าจะหมายถึงเขมรเมืองพระนคร[22]
  8. ขอม ความหมายตามหลักฐานสมัยสุโขทัย แปลว่า คนทางใต้ หรือ คนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วน "ขอม" ความหมายตามหลักฐานสมัยอยุธยา แปลว่า คนเขมรในประเทศกัมพูชา (โดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เขมร)[22]:86
  9. ขอม (คำสันกฤต, ฮินดี) คือคำว่า Kom แผลงมาจากคำว่า Komala แปลว่า ความนุ่ม พื้นที่นุ่ม ที่ ๆ มีน้ำ ชนชาติ Kom (Kom peoples) ที่อาศัยอยู่ในรัฐมณีปุระ[32]
  10. ขอม แปลว่า กษัตริย์ไศเลนทรพวกที่มีมารดาเป็นเจ้าหญิงเขมร[63]
  11. ขอม ใน ศัพทานุกรมโบราณคดี กรมศิลปากร แปลไว้ 3 ความหมายว่า 1. ชื่อที่คนไทยใช้เรียก "ชาวเขมรโบราณ"[64] ในจารึกเขมรโบราณไม่มีคำว่า ขอม แต่เรียกอาณาจักรเขมรโบราณว่า "กัมพุชเทศ" (อังกฤษ: Kambuja-desa, แปลตรงตัว: "ดินแดนแห่งสายเลือดกัมพูสวยัมภูวะ")[65] และเรียกกลุ่มคนว่า "อนักเกมร" (คนเขมร)[64] 2. คําที่คนในกลุ่มไท ลาว และเขมร ใช้เรียกกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางใต้ของตนว่า "กร๋อม" ต่อมาเพี้ยนเป็น "ขอม"[64] 3. คําที่คนไทยเรียกภาษาและอักษรเขมรโบราณ มีต้นกําเนิดในอาณาจักรเขมรโบราณ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 14 วิวัฒนาการจากอักษรปัลลวะ มี 2 กลุ่มรูปอักษรขอมในพุทธศตวรรษที่ 14–17 เรียกว่า อักษรขอมโบราณ[64] และกลุ่มรูปอักษรขอมนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา เรียกว่า อักษรขอม[64]
  12. กรอม (ล้านนาออกเสียงว่า ขอม ส่วนไทยพวนและล้านช้างว่า กอม)[66] แปลว่า คลุมลงมายาว[67] ปก คลุม คร่อม[68] เช่น ใน ตํานานไทยพวน[69] และ พงศาวดารล้านช้าง กล่าวถึงช้างขุนบรมราชาธิราชชื่อ ช้างเขียวงากอม (กรอม)[70] คำว่า งากอม ในที่นี้หมายถึง งายาวลงไปเกือบจรดดิน[71][72] เช่นเดียวกับ ตำนานเรื่องท้าวสักกะ (มฆวะ) กล่าวถึงภรรยาของมฆมาณพ (อดีตชาติของพระอินทร์) นุ่งผ้ากรอมเท้า โดยคำว่า กรอมเท้า ในที่นี้หมายถึง ลักษณะการนุ่งผ้ายาวลงมาเกือบจรดเท้า[72] ส่วน กรอม คำภาษาปาก (ภาษาพูด) แปลว่า ตรอม เจ็บช้ำอยู่ในใจ[67]


การใช้คำ "ขอม" พบว่าเป็นคํานามประสมหรือสำนวนในหนังสือวิชาการหลากหลาย เช่น

  • อักษรขอมได้รับอิทธิพลจากอักษรปัลลวะ[73] (อักษรราชวงศ์ปัลลวะ หรือคฤษถ์ราชวงศ์ปัลลวะ) เป็นรูปอักษรแบบอินเดียใต้ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 8–13[74] ที่มีศกหรือมีผมบนตัวอักษร[55]:25 ใช้เขียนทั้งภาษาไทย บาลี สันสกฤต และเขมร (พึงระวังด้วยอักษรขอมไม่ใช่อักษรเขมร[75]) เช่น อักษรขอมสยาม หรืออักษรธรรมไทใต้ (พ.ศ. 1100) อักษรขอมไทย[76] (ขอมเมือง หรือขอมเสียบ) คือ อักษรที่ได้รวมเอาอักษรหลายแบบมาไว้ด้วยกัน คือ อักษรขอม อักษรพ่อขุนรามคำแหง และอักษรธรรมล้านนา พบในวรรณกรรมเรื่อง โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงนิราศดอยเกิ้ง โคลงพรหมทัต เป็นต้น[77] อักษรขอมบาลี (หรืออักษรขอมมคธ) พบในจารึกวัดป่ามะม่วง หลักที่ 6 จารึกวัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม (วัดตาเถรขึงหนัง) หลักที่ 8ค จังหวัดสุโขทัย ใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-รัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 5[22]:130[78]:18–19 อักษรขอมเกย[79] คือ อักษรขอมบาลีคล้ายอักษรขอมไทยแต่มีสระน้อยกว่า อักษรขอมสันสกฤต[80] เช่น วรรณกรรมเรื่อง วยาการศตกะหรือสุภาษิตร้อยบท แม่อักษรขอมขุดปรอท[55]:21 คือ อักษรสำหรับพระพุทธศาสนา อักษรขอมสุโขทัย[81] (จารึกวัดป่ามะม่วง พ.ศ. 1904) อักษรขอมอยุธยา[82] อักษรขอมธนบุรี-รัตนโกสินทร์[82] อักษรขอมเฉียง[83] พบในตำราพระเพลาวัดบางแก้ว แปลเป็นอักษรไทยโดยพระครูมณฑลกิจปาฏิกรณ์ (เอียด) อักษรขอมอินเดียใต้[84] พบในประเทศลาว อักษรขอมลาว[85] สันฐานคล้ายอักษรพม่าแต่ไม่ใช่อักษรพม่า พบที่วัดศีสะเกดเมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาว ฯลฯ อักษรที่ใช้เขียนหนังสือสวดด้วยปากกาเพื่อความสวยงาม (จารไม่ได้) เช่น อักษรขอมย่อ อักษรที่ใช้จารแผ่นหิน แผ่นไม้ ใบลาน สมุดไทย เช่น อักษรขอมหวัด อักษรขอมบรรจง เป็นต้น
  • ผู้คน เช่น ชาวขอม[55]:20 คือ ชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับชนกลุ่มชาวไทตามหลักฐานจารึกสมัยสุโขทัย ขอมสยาม (ทหารคฺยวม)[86] คือ กองทัพสยามที่ยกไปตีเมืองสะเทิมของมอญสมัยพระเจ้าอุทินนะตามพงศาวดารกรุงสุธรรมวดี (สะเทิม) ขอมสันสกฤต[87] คือ ชาวขอมพูดภาษาพราหมณ์ (ฮินดู) ขอมสบาดโขลญลำพง[78]:27 คือแม่ทัพฝ่ายขอมซึ่งปกครองเมืองสุโขทัยอยู่ในฐานะเมืองหน้าด่านของขอม พ.ศ. 1781 ขอมดำดิน ในพงศาวดารเหนือ ขอมละว้า[88] (คือชนชาติละว้าพื้นราบผสมกับชนชาตินาคาจากอินเดียและตอนเหนือของพม่า วิวัฒนาการมาเป็นชาติ ขอมแท้) ชาวขอมเสลานคร[89]:23 คือชนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองอุโมงค์คเสลานคร (พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน) ชาวขอมดำ คือชนกลุ่มชาวกูยที่อาศัยริมแม่น้ำโขง ขอมแปรพักตร์ ในพระราชนิพนธ์เรื่อง แผ่นดินเขมรเป็น ๔ ภาค คือ หัวเมืองเขมรที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ เช่น เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ ขอมกับพูชา[37]:30 (ขอมกำพูชาแท้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1400) ชาวขอมดำกำโพชพิสัย[55]:24 คือ ชาวขอมดำในถิ่นกัมพูชา ขอมเลือดผสมไทยน่านเจ้า[37]:30 ขอมแท้[90] คือ กลุ่มพวกพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ยโสธรปุระ ผู้สร้างสร้างพระนครวัดนครธม ขอมดำ[91] คือ ชาวขอมอินเดียเผ่าหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ต่อมาได้อพยพมาอยู่ทางภาคเหนือของดินแดนสุวรรณภูมิ พิริยะแขกขอม[92] คือ ครูผู้รู้ลายสือขอมไท
  • กษัตริย์ เช่น พระยาขอมดำ[89]:22–23 คือ กษัตริย์โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น เจ้าเมืองขอม[93]:21 เช่น พระยากาฬวรรณดิศ ราชบุตรของพระยากากะภัทรกรุงตักศิลาสร้างเมืองละโว้
  • ภาษา เช่น ขอมดำดิน (สำนวนไทย) แปลว่า คนที่ปรากฏตัวขึ้นทันทีอย่างไม่คาดฝัน หรือหายไปอย่างรวดเร็วไม่ทันได้สังเกต[94]
  • วัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมขอมลพบุรี[95] วัฒนธรรมขอมสยาม[86]:348 วัฒนธรรมขอมกัมพูชา[96] วัฒนธรรมขอมฮินดู-พุทธมหายาน (แนวคิดของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช)
  • สถานที่ เช่น แม่น้ำขอม[93]:22 คือชื่อเดิมของแม่น้ำโขง
  • กาลเวลา ปฏิทิน เช่น ขอมเดือน[97] คือ การนับเดือนแบบจันทรคติด้วยภาษาบาลีสันสกฤต เช่น เดือนกิตติกาเพ็ง หมายถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบสอง (พบในจารึกฐานพระพุทธรูป วัดพระธาตุศรีดอนคํา ว.ศ.ด.ค. ๐๒๑) ขอมปี[98] คือ การนับปีแบบนักกษัตร 12 ราศี เช่น ปีวอก


ส่วนคำ ขอม ที่มีนัยหมายถึงเขมรในประเทศกัมพูชานับว่าเป็นทัศนะของผู้ชำระประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์[22] ปรากฏในหลักฐานดังนี้[22]

  • ประชุมพงศาวดาร เรื่อง พงศาวดารตอนไทยมาจากเมืองเดิม ว่าด้วยต้นเหตุการณ์เกณฑ์ทหารไทยแต่โบราณ กล่าวว่า :-

แดนดินที่เป็นสยามประเทศนี้ เดิมทีเดียวได้เป็นที่อยู่ของชน ๓ ชาติ ซึ่งพูดภาษาคล้ายคลึงกัน คือพวกขอม (ซึ่งเรียกกันบัดนี้ว่าเขมร) อยู่ข้างใต้ตอนแผ่นดินต่ำในลุ่มแม่น้ำโขงที่เป็นแดนกรุงกำพูชาเดี๋ยวนี้ ชาติ ๑ พวกลาว (คือชนชาติที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่าละว้า) อยู่ตอนกลางคือในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ ตลอดไปทางตะวันออกจนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนแผ่นดินสูง (คือมณฑลนครราชสีมาและมณฑลอุดรร้อยเอ็ดอุบลบัดนี้) ชาติ ๑ พวกมอญอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือตอนลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตลอดไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเอราวดีข้างตอนใต้ ที่เป็นแดนประเทศพม่าบัดนี้ชาติ ๑ แดนดินที่กล่าวมานี้ชาวอินเดียแต่โบราณเรียกกันว่า "สุวรรณภูมิ" เพราะเหตุเป็นบ่อที่มีบ่อทอง[99]

  • พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน
  • พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก หมายเลข ๒/ก ๑๐๔ (ต้นฉบับของหอพระสมุดวชิรญาณ)
  • พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
  • พงศาวดารเขมรฉบับออกญาวงศสารเพชญ (นง) ฉบับแปลภาษาไทย พ.ศ. 2398[22]:87
  • พระราชนิพนธ์เรื่อง แผ่นดินเขมรเป็น ๔ ภาค ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ริเริ่มกำหนดว่า ขอมแปรพักตร์ หมายถึง หัวเมืองเขมรที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ เช่น เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ[22]:87
  • กำสรวลสมุทร (โคลงบทที่ 20 และ 67)
  • กฏหมายตราสามดวงว่าด้วยกฏมณเฑียรบาล มาตรา ๒๐ ตราขึ้นปี จ.ศ. ๗๒๐ (พ.ศ. 1901)
  • คำฉันท์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงประสาททอง (ฉบับพระมหาราชครู)
  • จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ
  • เสภาพระราชพงศาวดาร ของสุนทรภู่
Remove ads

นิรุกติศาสตร์

สรุป
มุมมอง

เดิม ขอม ไม่ได้หมายถึงเขมรกลุ่มเดียว เพราะ เขมร นั้น เป็นคำไทย ซึ่ง หมายถึง ขะแมร์ ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ขอม และไม่รู้จัก ขอม โดยคำว่า เขมร ได้ปรากฏขึ้นอย่างน้อย ๆ เมื่อ พ.ศ. 1069 จากจารึกคำว่า เขมร ในจารึกซับบาก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา[100] ต่อมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893 แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ? ยังหาคำอธิบายไม่ได้ชัดเจน แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง

คำว่า ขอม ปรากฏในจารึกวัดศรีชุม สุโขทัย 2 แห่ง ระบุชื่อ ขอมสบาดโขลญลำพง จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักวิชาการคนแรก ๆ พยายามศึกษาและอธิบายคำคำนี้ใหม่ ได้เสนอว่า ขอม ไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติ แต่หมายถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป) ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอโยธยาศรีรามเทพนครด้วย คำว่า "ขอม" ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า "แขก" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง จิตร ยังอธิบายว่า คำว่าขอม ถูกนำมาใช้ในงานเขียนสมัยใหม่ (ขณะนั้น)โดยมีความรู้สึกชาตินิยมเป็นพื้นมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่นการถือว่าขอมเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เคยแผ่อำนาจมาครอบครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงสุโขทัย มีอิทธิพลต่อชาวไทยโบราณ ต่อมาชาวไทยที่สุโขทัยรุ่งเรืองในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา อิทธิพลของขอมได้หายไปจากแผ่นดินไทย[101]

สุจิตต์ วงษ์เทศ นักวิชาการแห่งสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม ก็เสนอว่า ขอม ในที่นี้น่าจะหมายถึงคนในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่กับคนทางเหนือ คำว่าขอม ใช้เรียกคนเมืองละโว้หรือลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เก่าแก่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และต่อมาจึงเรียกรวมไปถึงเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอยุธยา จากนั้นในหลักฐานประวัติศาสตร์ของอยุธยา ได้ใช้คำนี้เรียกคนในดินแดนเขมรแถบเมืองพระนครหรือนครธม ในข้อความที่ว่า "ขอมแปรพักตร์"และในกฎมณเฑียรบาล น่าจะหมายถึงคนในเขมรหรือกัมพูชา[102] โดยสรุป คำว่า ขอม เป็นคำเรียกคน มีความหมายทางวัฒนธรรมและมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา

Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads