คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ

พระยุพราชแห่งญี่ปุ่น จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ
Remove ads

สมเด็จเจ้าฟ้าชายฟูมิฮิโตะ เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร[1][2] (ญี่ปุ่น: 秋篠宮皇嗣殿下[3]; โรมาจิ: Akishino-no-Miya Kōshi Denka; อังกฤษ: His Imperial Highness Crown Prince Akishino[4]) ทรงดำรงฐานันดรศักดิ์ "ชินโน" หรือ เจ้าชายชั้นเอกแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น และดำรงพระอิสริยยศ "โคชิ" หรือ มกุฎราชกุมารของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563[5]

ข้อมูลเบื้องต้น เจ้าชายฟูมิฮิโตะ, พระราชสมภพ ...

ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะกับสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะ และทรงเป็นพระราชอนุชาในจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน (สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ)

เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร ทรงมีพระนามจริงว่า "ฟูมิฮิโตะ" (ญี่ปุ่น: 文仁; โรมาจิ: Fumihito)[6] โดยหลังจากที่พระองค์อภิเษกสมรส พระองค์ได้ก่อตั้งมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์เองขึ้น และได้รับพระราชทานมิยาโง ว่า "อากิชิโนะ" จากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ[5] ซึ่งสำนักพระราชวังญี่ปุ่นได้มีการระบุพระนามของพระองค์ในภาษาอังกฤษว่าเป็น "Prince Akishino"[4] รวมถึงในภาษาไทยก็มีการระบุพระนามของพระองค์ว่า "เจ้าชายอากิชิโนะ" เช่นเดียวกัน[7][8][9]

สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ต้นสึกะ (栂)[6]

ที่ประทับหลัก วังอากิชิโนะ เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตโมโตะ-อากาซากะ กรุงโตเกียว[10]

Remove ads

พระราชประวัติ

สรุป
มุมมอง

เจ้าชายอายะ (ฟูมิฮิโตะ)

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 (ปีโชวะที่ 40) เวลา 00:22 นาที เจ้าหญิงมิจิโกะ มกุฎราชกุมารีทรงประสูติพระราชโอรส ณ โรงพยาบาลสำนักพระราชวัง (宮内庁病院) พระราชวังหลวงโตเกียว กรุงโตเกียว[11]

เนื่องจากทรงเป็นพระราชโอรสในมกุฎราชกุมาร พระองค์ทรงได้รับพระราชทานพระนามจากสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (พระอัยกา) ว่า "ฟูมิฮิโตะ" (ญี่ปุ่น: 文仁; โรมาจิ: Fumihito) อีกทั้งทรงได้รับพระราชทานพระนามโกโชโง ว่า "อายะ" (ญี่ปุ่น: 礼宮; โรมาจิ: Aya-no-miya)[6]

ณ วันประสูติ พระองค์ทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ดังนั้นพระองค์จึงดำรงฐานันดร "ชินโน" หรือเจ้าชายชั้นเอกแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น ฉบับ พ.ศ. 2492 มาตรา 6[12]

ดังนั้นพระนามเต็มหลังจากประสูติ คือ 礼宮文仁親王殿下[13] (Aya-no-Miya Fumihito Shinnō Denka)

สื่อญี่ปุ่นจะระบุพระนามพระองค์ในวัยพระเยาว์ว่า "礼宮さま" (โรมาจิ: Aya-no-Miya Sama)[14] ส่วนสำนักพระราชวังรวมถึงสื่อต่างประเทศมีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Prince Aya"[5][15][16] (เจ้าชายอายะ)

เจ้าชายอายะทรงเป็นพระโอรสพระองค์ที่สองในเจ้าชายอากิฮิโตะ มกุฎราชกุมารกับเจ้าหญิงมิจิโกะ มกุฎราชกุมารี ทรงมีพระเชษฐา 1 พระองค์ คือ เจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) และพระขณิษฐา 1 พระองค์ คือ เจ้าหญิงโนริ (ซายาโกะ)

พ.ศ. 2513 - 2514 ทรงศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลกากูชูอิน (学習院幼稚園)[17][18]

วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2513 เมื่อพระชนมายุเข้า 5 ชัณษา ทรงประกอบพิธีสวมฮากามะ (着袴の儀)[19] และ พิธีฟุกาโซกิ (深曽木の儀)[20]

พ.ศ. 2515 - 2520 ทรงศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนประถมศึกษากากูชูอิน (学習院初等科)[21]

พ.ศ. 2521 - 2526 ทรงศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายที่โรงเรียนมัธยมชายกากูชูอิน (学習院中・高等科)[22][23][24]

พ.ศ. 2527 ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยากากูชูอิน (学習院大学)[25]

ทรงเป็นผู้ก่อตั้ง และเป็นประธานชมรมวิจัยด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม (自然文化研究会)[26][27]

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 เมื่อพระชนมายุ 20 ชัณษา ทรงประกอบพิธีบรรลุนิติภาวะ (加冠の儀)[28] และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์ หลังจากประกอบพิธีแล้ว พระองค์จะทรงเริ่มมีส่วนร่วมในกิจกรรมของราชวงศ์อย่างเต็มพระองค์

ช่วง พ.ศ. 2530 ทรงเริ่มไว้พระมัสสุ (หนวด) แต่ค่อนข้างเป็นที่กังวลใจของทางสำนักพระราชวังในช่วงแรก เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีแค่จักรพรรดิยุคสงครามเท่านั้นที่จะทรงไว้พระมัสสุ เช่น จักรพรรดิเมจิ, จักรพรรดิไทโช, จักรพรรดิโชวะ แต่พอถึงช่วงยุคหลังสงคราม บทบาทของจักรพรรดิและราชวงศ์ถูกเปลี่ยนจากผู้นำทางด้านทหาร ให้เป็นสัญลักษณ์ประเทศทางด้านวัฒนธรรมและวรรณกรรมแทน ส่งผลให้ในยุคหลังราชวงศ์ชายค่อนข้างระมัดระวังในการไว้พระมัสสุ[29][30]

Thumb
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ต้นสึกะ (栂)
Thumb
เจ้าชายอายะ ในพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ

พ.ศ. 2531 ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยากากูชูอิน (学習院大学) [31]

พ.ศ. 2531 - 2533 ทรงทำวิจัยทางด้านสัตววิทยา ที่วิทยาลัยเซนต์จอห์น มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (St John's College, Oxford) เป็นเวลา 2 ปี[31] แต่พระองค์ทรงเดินทางไปกลับประเทศญี่ปุ่นบ่อยครั้งเนื่องจากการประชวรของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (พระอัยกา)[32]

พ.ศ. 2539 ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาขั้นสูง (โซเก็นได)[31]

เจ้าชายอากิชิโนะ

เจ้าชายอายะทรงพบนางสาวคิโกะ คาวาชิมะครั้งแรก ที่ร้านหนังสือในมหาวิทยาลัย ซึ่งเธอทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นั่น และทรงเชิญเธอเข้าชมรมวิจัยด้านธรรมชาติและวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยที่พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้ง[26][33]

ต่อมาทั้งสองพระองค์ทรงสร้างความสัมพันธ์และเริ่มสนิทกันมากขึ้นผ่านกิจกรรมของชมรม[26][33]

หลังจากที่เจ้าชายและเธอเริ่มสนิทกันมากขึ้น พระองค์ก็ได้มีการชวนเธอไปที่พระราชวังตั้งแต่ช่วงแรกๆที่สนิทกัน ทั้งมีการชวนเล่นเทนนิสประเภทคู่กับเจ้าชายอากิฮิโตะ มกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงมิจิโกะ มกุฎราชกุมารี และชวนรับประทานของว่างด้วยกัน เพื่อให้เธอสามารถปรับตัวเข้ากับราชวงศ์ได้อย่างราบรื่น[34]

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 เจ้าชายทรงขอนางสาวคิโกะ คาวะชิมะแต่งงาน ซึ่งขณะนั้นเจ้าชายทรงมีพระชนมายุ 20 ชัณษา ส่วนเธอมีอายุ 19 ปี[26][33]

วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2532 เจ้าชายและนางสาวคิโกะ คาวาชิมะทำการแถลงข่าว และให้สัมภาษณ์สื่อว่าทรงทำการหมั้นอย่างไม่เป็นทางการเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำพิธีตามธรรมเนียมราชวงศ์ได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงไว้อาลัยของจักรพรรดิโชวะ[32][35] การหมั้นหมายของทั้ง 2 พระองค์ ได้รับการตั้งคำถามมากมายจากสื่อ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย และทรงจะอภิเษกสมรสก่อนพระเชษฐา เจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) (ว่าที่มกุฎราชกุมาร ณ ขณะนั้น)

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2533 มีการจัดพิธีสู่ขอและพิธีหมั้น (納采の儀) อย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมราชวงศ์ ระหว่างเจ้าชายอายะกับนางสาวคิโกะ คาวาชิมะ[36] ซึ่งจัดขึ้นหลังการไว้อาลัยของจักรพรรดิโชวะ

วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เจ้าชายอายะทรงประกอบพิธีอภิเษกสมรสกับนางสาวคิโกะ คาวาชิมะ[32][37] ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเสด็จไปร่วมพิธีการในครั้งนี้ด้วย

ในปีเดียวกันทั้งสองพระองค์ได้ไปสักการะศาลเจ้าอิเซะ เพื่อรายงานการแต่งงานต่อเทพเจ้าอามาเตราซุ[38]

Thumb
ราชวงศ์สาขาอากิชิโนะ เมื่อ พ.ศ. 2563

หลังจากทรงอภิเษกสมรส พระองค์ทรงก่อตั้งมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์เองขึ้น และได้รับพระราชทานมิยาโง ว่า "อากิชิโนะ" จากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ[5] ซึ่งมีที่มาจากชื่อเมืองในจังหวัดนาระ ดังนั้นพระนามเต็มของพระองค์จึงเปลี่ยนเป็น 秋篠宮文仁親王殿下[39] (Akishino-no-Miya Fumihito Shinnō Denka) โดยสำนักพระราชวังระบุพระนามในภาษาอังกฤษเป็น "His Imperial Highness Prince Akishino"[40] หรือ "เจ้าชายอากิชิโนะ"[8][9]

สำนักพระราชวังระบุพระนามของพระชายาฯ (คิโกะ คาวาชิมะ) ในภาษาอังฤษว่า "Princess Akishino"[41] หรือ "เจ้าหญิงอากิชิโนะ" หลังพระสวามีก่อตั้งราชวงศ์สาขาเช่นกัน

ทรงมีพระโอรส-พระธิดา 3 พระองค์ ได้แก่

  1. เจ้าหญิงมาโกะ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2534)
  2. เจ้าหญิงคาโกะ (29 ธันวาคม พ.ศ. 2537)
  3. เจ้าชายฮิซาฮิโตะ (6 กันยายน พ.ศ. 2549)

ณ ปัจจุบัน สมาชิกราชวงศ์สาขาอากิชิโนะ ประกอบด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม รุ่น, พระนาม ...

ตราประจำราชวงศ์สาขาอากิชิโนะ ประกอบด้วยดอกเบญจมาศกลีบเดี่ยว 14 กลีบอยู่ตรงกลาง ซึ่งสื่อถึงพระบรมวงศานุวงศ์ราชวงศ์ญี่ปุ่น และล้อมรอบด้วยต้นสึกะ (栂) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายอากิชิโนะ

เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น

หลังจากที่พระองค์ประสูติ เจ้าชายอายะทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 3 ต่อจากพระชนก และพระเชษฐา ตามลำดับ ตามกฎหมายของราชวงศ์ญี่ปุ่น พ.ศ. 2492 มาตราที่ 2 ข้อที่ 3[12]

วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 จักพรรดิโชวะสวรรคต สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์ เจ้าชายทรงขึ้นเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ต่อจากพระเชษฐาของพระองค์ ตามกฎหมายของราชวงศ์ญี่ปุ่น พ.ศ. 2492 มาตราที่ 2 ข้อที่ 4[12]

อย่างไรก็ตามหลังจากการประสูติของพระองค์เมื่อ พ.ศ. 2508 (ปีโชวะที่ 40) ราชวงศ์ญี่ปุ่นมีการประสูติของราชวงศ์หญิงติดต่อกัน 9 พระองค์ โดยไม่มีราชวงศ์ชายประสูติอีกเลย รวมทั้งเจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมาร ก็ทรงมีพระราชธิดา (เจ้าหญิงไอโกะ) เพียงพระองค์เดียว

ด้วยสาเหตุนี้จึงมีการถกเถียงกันในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับตัวกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นว่าควรจะแก้ไขให้ราชวงศ์หญิงสามารถขึ้นครองราชย์ได้ด้วยหรือไม่ เนื่องจากราชวงศ์ญี่ปุ่นในอดีตเคยมีบันทึกถึงการครองราชย์ของจักรรพรรดินีถึง 8 พระองค์ แต่ก็มีข้อโต้แย้งเช่นกันว่าเป็นแค่การครองราชย์เพียงชั่วคราวเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเท่านั้น (เช่น รัชทายาทชายตัวจริงยังไม่บรรลุนิติภาวะ) อีกทั้งจักรพรรดินีไม่เคยอภิเษกระหว่างครองราชย์ จึงไม่ได้ให้กำเนิดรัชทายาทเพื่อสืบบัลลังก์ต่อ [42][43]

จากข้อถกเถียงต่างๆ รวมทั้งสภาที่ปรึกษาได้ให้คำแนะนำแก่นายกรัฐมนตรีจุนอิจิโร โคอิซูมิ จึงทำให้ทางนายกรัฐมนตรีก็มีความตั้งใจในการแก้ไขกฎหมายนี้เช่นกัน และเริ่มมีการเตรียมร่างแก้ไขกฎหมายเพื่อนำเข้าสู่สภานิติบัญญัติ[43][44]

Thumb
พระราชพิธี "立皇嗣の礼" (Rik Kōshi no Rei) เมื่อ พ.ศ. 2563

แต่พอเจ้าหญิงอากิชิโนะตั้งพระครรภ์ และให้กำเนิดพระโอรส (เจ้าชายฮิซาฮิโตะ) ทำให้นายกรัฐมนตรีระงับการส่งเรื่องขอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เข้าไปในสภานิติบัญญัติ จึงทำให้เจ้าชายอากิชิโนะยังคงสถานะเป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 ของราชวงศ์ญี่ปุ่น [43][44]

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงประกาศสละราชสมบัติ

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์

ตามกฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562[45] ได้ระบุในมาตรา 5 ว่า สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีสถานะเป็น "โคชิ" (รัชทายาท) ตามลำดับการสืบสันตติวงศ์ในมาตรา 2 ของกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น ให้ปฏิบัติตามแบบอย่างของอิสริยยศ "โคไตชิ" (มกุฎราชกุมาร)

ตามมาตรา 2 ของกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น เจ้าชายอากิชิโนะทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 หรือมีสถานะเป็น "โคชิ" (รัชทายาท) ดังนั้นจากการประกาศใช้ของกฎหมายพิเศษ จึงทำให้พระองค์ดำรงอิสริยยศเทียบเท่า "โคไตชิ" (มกุฎราชกุมาร)

อีกทั้งในงานพิธีบรมราชาภิเษก (即位礼正殿の儀) ของสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ เจ้าชายอากิชิโนะทรงสวมชุด "โอนิ โนะ โฮ" (黄丹袍) ซึ่งเป็นชุดคลุมสีส้มอมแดง สำหรับมกุฎราชกุมารหรือรัชทายาท

Thumb
เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร และ เจ้าหญิงอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารี เมื่อ พ.ศ. 2563

วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 สำนักพระราชวังจัดพิธี "ริกโกชิ โนะ เร" (立皇嗣の礼) ซึ่งเป็นพิธีที่สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ ทรงสถาปนาอิสริยยศ "โคชิ" หรือมกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ให้กับเจ้าชายอากิชิโนะ อย่างเป็นทางการ[46] ดังนั้นพระนามเต็มของพระองค์จึงเปลี่ยนเป็น 秋篠宮皇嗣殿下[3] (Akishino-no-Miya Kōshi Denka) โดยสำนักพระราชวังระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "His Imperial Highness Crown Prince Akishino"[4] หรือ "เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร"[2]

วันที่ 20 - 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เจ้าชาย-เจ้าหญิงอากิชิโนะ เสด็จไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ เพื่อรายงานการดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแก่เทพเจ้าอามาเตราซุ[47]

Remove ads

พระราชกรณียกิจ

สรุป
มุมมอง
Thumb
พิธี "歌会始の儀" (Utakai Hajime no Ki) เมื่อ พ.ศ. 2567

งานราชสำนัก

  • ทรงตามเสด็จสมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีออกมหาสมาคม เนื่องในวันขึ้นปีใหม่[48] และวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิ[49]
  • ทรงเข้าร่วมพิธี "อุตาไก ฮาจิเมะ" (歌会始の儀) ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีในพระราชสำนัก โดยจะมีการร่วมกันขับร้องบทกวีในท่วงทำนองโบราณตามแบบแผนดั้งเดิมของญี่ปุ่น[50]
  • ทรงเข้าร่วมพิธี "โคโช ฮาจิเมะ" (講書始) เป็นพิธีที่จัดขึ้นทุกปีในเดือนมกราคม โดยสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี พร้อมสมาชิกราชวงศ์ จะเสด็จออกรับฟังการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์[51]
  • ทรงเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจัดโดยสมเด็จพระจักรพรรดิ เพื่อเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการในประเทศญี่ปุ่น ที่เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) กรุงโตเกียว[52]
  • ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ วังอากิชิโนะ เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เมื่อมีสมาชิกราชวงศ์ต่างประเทศ หรือ ผู้นำจากต่างประเทศมาเยือนประเทศญี่ปุ่น[53]

ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ทรงปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระจักรพรรดิครั้งแรก เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงเข้ารับการรักษาพระวรกาย ส่วนเจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมารเสด็จเยือนจังหวัดนากาโนะ โดยพระองค์พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำฤดูใบไม้ร่วงแก่บุคคลผู้มีผลงานโดดเด่นในด้านต่างๆ และทรงถ่ายทอดพระราชดำรัสของสมเด็จพระจักรพรรดิให้กับผู้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์[54]

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะเสด็จเยือนต่างประเทศ[13] ดังนี้

การกุศล

เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 เจ้าชาย-เจ้าหญิงอากิชิโนะพร้อมพระโอรส-ธิดาและเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ทรงบริจาคชุดกาวน์และหน้ากากแฮนด์เมดจากถุงพลาสติกให้กับโรงพยาบาลไซเซไก เนื่องจากการขาดแคลนของอุปกรณ์ทางการแพทย์ในช่วงที่สถานการ์ณโควิด 19 ระบาดหนัก[55]

การส่งเสริมเยาวชน

  • ทรงร่วมสนทนากับนักเรียนในโครงการ "มาเมะ-กิชะ" (豆記者) หรือนักข่าวตัวจิ๋ว ซึ่งเป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนระหว่างญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่กับเกาะโอกินาวะ โดยพระราชกรณียกิจนี้ถูกริเริ่มในสมัยของเจ้าชายอากิฮิโตะ มกุฎราชกุมาร (พระราชชนก) และถูกส่งต่อให้กับผู้ที่ดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารในสมัยถัดมาเรื่อยๆ และปัจจุบันได้ส่งต่อมายังพระองค์ ซึ่งเหล่านักเรียนจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่วังอากิชิโนะ และทรงมีพระปฏิสันถารกับเหล่านักเรียนในเรื่องธรรมชาติ, อาหาร เป็นต้น[56]
  • ทรงพระราชทานวโรกาสให้สมาพันธ์ลูกเสือญี่ปุ่น (ボーイスカウト日本連盟) เข้าเฝ้า ณ วังอากิชิโนะ โดยประธานสมาพันธ์ลูกเสือญี่ปุ่น และตัวแทนลูกเสือจาก 47 จังหวัดทั่วประเทศ ที่ได้รับเครื่องหมายขั้นสูงสุด (ขั้นฟูจิ) จะทำการปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักตร์ จากนั้นพระองค์จะพระราชทานพระราชดำรสแก่เหล่าลูกเสือ พิธีการเข้าเฝ้านี้ถูกริเริ่มในสมัยเจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมาร ซึ่งในปัจจุบันพระราชกรณียกิจนี้ได้ส่งต่อมาให้พระองค์[57]
  • ทรงมอบรางวัลในงานประกวดเขียนเรียงความจากหนังสือระดับเยาวชนแห่งชาติ (青少年読書感想文全国コンクール)[58]

ด้านธรรมชาติ

  • ทรงร่วมงาน "ผู้พิทักษ์พื้นที่สีเขียวแห่งชาติ" (全国「みどりの愛護」のつどい) ซึ่งเป็นงานส่งเสริมและปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงเชิดชูเกียรติและขอบคุณผู้ที่ทำคุณประโยชน์ในด้านธรรมชาติ[59]
  • ทรงร่วมงานการประชุมของสมาคมสวนพฤกษศาสตร์แห่งประเทศญี่ปุ่น (公益社団法人日本植物園協会) ที่พระองค์ทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ซึ่งสมาคมนี้จะส่งเสริมความสำคัญเพื่อพัฒนาสวนพฤกษศาสตร์ทั่วประเทศ[60]
  • ทรงมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่องค์กรจัดการป่าไม้ในโครงการส่งเสริมการจัดการป่าไม้แห่งชาติ ของสมาคมวนศาสตร์แห่งญี่ปุ่น ซึ่งโครงการนี้จะมีการคัดเลือกองค์กรจัดการป่าไม้ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในการประยุกต์ป่าไม้ให้เข้ากับแต่ละท้องถิ่น และมีส่วนในการส่งเสริมและพัฒนากิจการป่าไม้ในพื้นที่นั้นๆ[61]

การรำลึกถึงความสูญเสียจากสงคราม

  • ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเคารพสุสานทหารผ่านศึกชิโดริงาฟูจิ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นสุสานของเหล่าทหารที่เสียชีวิตในต่างแดนในสงครามโลกครั้งที่ 2[62]
  • ทรงร่วมพิธีรำลึกเพื่อไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากภัยสงครามและแผ่นดินไหวในพื้นที่คันโต ณ ศาลาอนุสรณ์สถานโตเกียว ซึ่งเป็นพิธีการไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ในโตเกียว ในปี พ.ศ. 2488 และเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในภูมิภาคคันโต ในปี พ.ศ. 2466[63]

ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

  • ทรงมอบรางวัลส่งเสริมการศึกษาของสมาคมส่งเสริมวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น (日本学術振興会育志賞) เพื่อเชิดชูนักศึกษาระดับปริญญาเอกที่มีผลงานยอดเยี่ยมและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการวิจัยทางวิชาการของญี่ปุ่นในอนาคต[64]
  • ทรงเปิดงาน Osaka World Expo 2025 ซึ่งพระองค์ทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของการจัดงานครั้งนี้[65]
  • ทรงมอบรางวัลของสมาคมส่งเสริมวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น (日本学術振興会賞) และรางวัลส่งเสริมงานวิชาการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น (日本学士院学術奨励賞) เพื่อเชิดชูนักวิจัยอายุต่ำกว่า 45 ปีที่มีผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจในการทำงานวิจัย[66]

สภาราชวงศ์ญี่ปุ่น

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 ทรงดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室会議) ซึ่งสภาจะประกอบด้วยตัวแทนราชวงศ์, นายกรัฐมนตรี, ตัวแทนสำนักพระราชวัง, ตัวแทนสภานิติบัญญัติ และอื่นๆ ซึ่งสภาจะใช้เป็นที่พูดคุยและอนุมัติพิธีการต่างๆ เช่น การแต่งงานของราชวงศ์ หรือการสละราชสมบัติ

ทรงดำรงตำแหน่งในองค์กร[31]

ยังทรงดำรงตำแหน่งอยู่

  • ประธานสถาบันปักษีวิทยา ยามาชินะ (公益財団法人山階鳥類研究所) (2529)
  • ประธานสมาคมสวนสัตว์และสัตว์น้ำแห่งประเทศญี่ปุ่น (公益社団法人日本動物園水族館協会) (2531)
  • ประธานมูลนิธิ Social Welfare Organization Saiseikai Imperial Gift Foundation (済生会) (2556)
  • ประธานสมาคมเกษตรแห่งประเทศญี่ปุ่น (公益社団法人大日本農会) (2557)
  • ประธานสมาคมป่าไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น (公益社団法人大日本山林会) (2557)
  • ประธานสมาคมสวนพฤกษศาสตร์แห่งประเทศญี่ปุ่น (公益社団法人日本植物園協会) (2559)
  • ประธานกองทุนสนับสนุนตัวอย่างทางวิชาการทางด้านปศุสัตว์ (家畜資源学術標本基金)
  • ประธานองค์กรพิทักษ์วัดเซ็นเนียว (泉涌寺)
  • ประธานกิตติมศักดิ์กองทุนสัตว์ป่าโลกประจำประเทศญี่ปุ่น (世界自然保護基金) (2540)
  • ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมผู้รักน้ำเต้าญี่ปุ่น (2547)[67]
  • อุปนายกกิตติมศักดิ์องค์กรสยามสมาคม (2548)[68]
  • ประธานกิตติมศักดิ์องค์กร Japan-Netherland Society (日蘭協会) (2552)
  • ประธานกิตติมศักดิ์สมาคม Japan river
  • ประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิดร.เซลมัน แวกส์มัน
  • สมาชิกกิตติมศักดิ์พิพิธภัณฑ์ออสเตรเลีย (Australian Musuem)

เคยทรงดำรงตำแหน่ง

  • ประธานกิตติมศักดิ์การแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 41 (2534), ครั้งที่ 46 (2544)
  • ประธานกิตติมศักดิ์เทศกาลป่าและดอกไม้ (2535 - 2558, 2560, 2561)
  • ประธานกิตติมศักดิ์สมาคมเทนนิสญี่ปุ่น (公益財団法人日本テニス協会) (2535)
  • ประธานกิตตมศักดิ์การแข่งขัน Alpine skiing ชิงแชมป์โลก ปี 1993 (2536)
  • ประธานกิตติมศักดิ์โครงการรำลึก 100 ปีการอพยพของชาวญี่ปุ่นสู่เม็กซิโก (2540)
  • ประธานกิตติมศักดิ์โครงการรำลึก 100 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่นและอาร์เจนตินา (2541)
  • ประธานกิตติมศักดิ์นิทรรศการพืชสวนนานาชาติชิซุโอกะ (2546)
  • ประธานกิตติมศักดิ์โครงการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่ (2547)
  • ประธานกิตติมศักดิ์การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมสำหรับเด็ก (2548)
  • ประธานกิตติมศักดิ์การประชุม FISTA 2006 (2548)
  • ประธานกิตติมศักดิ์งานมหกรรมหนังสือนานาชาติโตเกียว (東京国際ブックフェア) (2549, 2550, 2552 - 2556, 2548, 2549)
  • ประธานกิตติมศักดิ์การแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สาขาชีววิทยา ครั้งที่ 20 (2550)
  • ประธานกิตติมศักดิ์งานมิตรภาพญี่ปุ่น-อินโดนีเซีย (2551)
  • ประธานกิตติมศักดิ์งานการแลกเปลี่ยนระหว่างญี่ปุ่น-ลุ่มแม่น้ำดานูบ (2552)
  • ประธานกิตติมศักดิ์งานนิทรรศการวัฒนธรรมโมเสก (Mosaiculture) ฮามามัตสึ (2552)
  • ประธานกิตติมศักดิ์งานประชุมบอนไซโลก ครั้งที่ 8 เมืองไซตามะ (2560)
  • ประธานกิตติมศักดิ์การแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลกปี 2019 (2562)
  • ประธานกิตติมศักดิ์งาน World Expo 2025 (2566)

ตำแหน่งทางวิชาการ[31]

งานวิจัย

  • 28 มิถุนายน พ.ศ. 2532 "Morphological Comparison of the Mekong Giant Catfish, Pangasianodon gigas, with Other Pangasiid Species" เป็นการเปรียบเทียบลักษณะทางสัณฐานวิทยาของปลาบึก (Pangasianodon gigas) กับปลาชนิดอื่นๆ ในวงศ์ปลาสวาย (Pangasiidae) เพื่อจำแนกปลาบึกออกจากปลาในวงศ์เดียวกัน[69]
  • 20 ธันวาคม พ.ศ. 2537 "One subspecies of the red junglefowl (Gallus gallus gallus) suffices as the matriarchic ancestor of all domestic breeds" เป็นงานวิจัยทางพันธุกรรมที่ใช้ดีเอ็นเอไมโทคอนเดรีย โดยสรุปได้ว่าไก่บ้านทุกสายพันธุ์ทั่วโลกมีบรรพบุรุษฝ่ายแม่ที่สืบเชื้อสายมาจากไก่ป่าแดงสายพันธุ์ย่อย (Gallus gallus gallus) เพียงสายพันธุ์เดียวเท่านั้น[70]
  • 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 "The genetic link between the Chinese bamboo partridge (Bambusicola thoracica) and the chicken and junglefowls of the genus Gallus" เป็นการศึกษาที่ใช้หลักฐานทางพันธุกรรมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการอย่างใกล้ชิดระหว่างไก่ฟ้าพญาลอกับไก่และไก่ป่า ซึ่งชี้ให้เห็นว่าทั้งสองกลุ่มอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันในอดีต[71]
  • 25 มิถุนายน พ.ศ. 2539 "Monophyletic origin and unique dispersal patterns of domestic fowls" ซึ่งเป็นการศึกษาวิวัฒนาการของไก่ป่า (junglefowls) และไก่บ้าน (domestic fowls) โดยใช้วิธีการทางพันธุกรรมระดับโมเลกุล (molecular phylogeny) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสายพันธุ์[72]
  • 23 ธันวาคม พ.ศ. 2543 "Evolutionary aspects of gobioid fishes based upon a phylogenetic analysis of mitochondrial cytochrome B genes" เป็นการศึกษาในแง่มุมทางวิวัฒนาการของปลาในกลุ่มปลาบู่ (Gobioidei) โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางสายวิวัฒนาการจากยีนไซโตโครม B ในไมโทคอนเดรีย[73]
  • 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551 "Phylogenetic Study of Okinawa and Amami Native Pig Based on Mitochondrial DNA Sequence" เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของหมูพื้นเมืองโอกินาวะและอามามิ โดยอาศัยการวิเคราะห์ลำดับดีเอ็นเอในไมโทคอนเดรีย[74]
  • 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551 "Evolution of Pacific Ocean and the Sea of Japan populations of the gobiid species, Pterogobius elapoides and Pterogobius zonoleucus, based on molecular and morphological analyses" เป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจว่าประชากรปลาบู่สองชนิดที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการที่แตกต่างกันอย่างไร โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากทั้งการเปรียบเทียบดีเอ็นเอและรูปร่างลักษณะภายนอก[75]

พระราชนิพนธ์และที่เกี่ยวข้อง

  • พ.ศ. 2537 "สารานุกรมภาพสัตว์ปีกในยุโรป" (欧州家禽図鑑) เป็นผลงานนิพนธ์ร่วม พร้อมทั้งถ่ายภาพและเขียนคำอธิบายประกอบ ISBN 4582518133
  • พ.ศ. 2543 "ไก่กับมนุษย์ - มุมมองจากชาติพันธุ์ชีววิทยา" (鶏と人-民族生物学の視点から) ทรงนิพนธ์และเรียบเรียง ISBN 4096260622
  • พ.ศ. 2551 "สารานุกรมนก" (鳥学大全) ทรงเรียบเรียง ISBN 4130603507
  • พ.ศ. 2551 "ปัญญาชีววิทยาว่าด้วยนก" (ฺBiosophia of birds) ทรงเป็นบรรณาธิการ ISBN 4130831526
  • พ.ศ. 2552 "สารานุกรมปศุสัตว์และสัตว์ปีกของญี่ปุ่น – คู่มือภาคสนามฉบับดีที่สุด" (日本の家畜・家禽 フィールドベスト図鑑) ทรงนิพนธ์และกำกับดูแลเนื้อหา ISBN 405403506X
  • พ.ศ. 2552 "ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เล่ม 2: วัฒนธรรมของการทำปศุสัตว์" (ヒトと動物の関係学2 家畜の文化) ทรงนิพนธ์และร่วมเรียบเรียง ISBN 4000271083
  • พ.ศ. 2559 "วารสารนิทรรศการปลาดุก" (ナマズの博覧誌) เป็นผลงานนิพนธ์ร่วมและทรงเป็นบรรณาธิการ ISBN 4000271083

เยือนต่างประเทศ[76][77][78][79][80]

ข้อมูลเพิ่มเติม ประเทศ, วันที่ ...
Remove ads

พระเกียรติยศ

สรุป
มุมมอง
ข้อมูลเบื้องต้น ธรรมเนียมพระยศของ เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร, สัญลักษณ์ ...

ลำดับพระราชอิสริยยศ

  • 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 – 29 มิถุนายน พ.ศ. 2533: เจ้าชายอายะ (ญี่ปุ่น: 礼宮文仁親王殿下; โรมาจิ: Aya-no-Miya Fumihito Shinnō Denka; อังกฤษ: His Imperial Highness Prince Aya)
  • 29 มิถุนายน พ.ศ. 2533 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563: เจ้าชายอากิชิโนะ (ญี่ปุ่น: 秋篠宮文仁親王殿下; โรมาจิ: Akishino-no-Miya Fumihito Shinnō Denka; อังกฤษ: His Imperial Highness Prince Akishino)
  • 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 – ปัจจุบัน: เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร (ญี่ปุ่น: 秋篠宮皇嗣殿下; โรมาจิ: Akishino-no-Miya Kōshi Denka; อังกฤษ: His Imperial Highness Crown Prince Akishino)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ญี่ปุ่น

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

ปริญญากิตติมศักดิ์

จากการที่ทรงสนพระทัยและศึกษาด้านปลาน้ำจืด, ปศุสัตว์ และโดยเฉพาะไก่ ด้วยพระวิริยะอุตสาหะตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ อันเป็นที่ประจักษ์แก่นักวิชาการเป็นอย่างดี ทรงได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างๆของไทย ดังนี้

Remove ads

เกร็ด

  • งานอดิเรกของพระองค์คือการเล่นเทนนิส ซึ่งตอนที่พระองค์อยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ทรงเข้าร่วมการแข่งขันเทนนิสระดับกรุงโตเกียว โดยผ่านเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย ซึงพระองค์ทรงใช้กลยุทธ์ในการตีลูกเทนนิสแบบมีลูกเล่น เพื่อทำให้คู่ต่อสู้สับสนมากกว่าเล่นด้วยพละกำลังตรง ๆ[104] ทรงติด 10 อันดับแรกของการแข่งขันเทนนิสประเภทคู่ในระดับภูมิภาคคันโต[105]
  • ทรงเป็นแฟนตัวยงของวงเดอะบีเทิลส์[105]
  • ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะนักวิจัยด้านนก, ไก่, สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก, และโดยเฉพาะปลาดุก จนพระองค์ถูกขนานพระนามว่าเจ้าชายปลาดุก (ナマズの殿下) [106]
  • วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 เจ้าชายทรงขอนางสาวคิโกะ คาวาชิมะแต่งงานระหว่างรอสัญญาณไฟเดินข้ามถนนที่สี่แยกหน้าสถานีเมจิโระ [26][33]
  • ทรงมอบแหวนหมั้นที่ทำเป็นรูปทรงปลาดุกให้กับนางสาวคิโกะ คาวาชิมะ เนื่องจากปลาดุกเป็นสิ่งที่เจ้าชายทรงวิจัยในช่วงนั้น[107] [108]
  • มีการสร้างอนิเมชันเรื่อง "平成のシンデレラ 紀子さま物語" (เจ้าหญิงคิโกะ ซินเดอเรลล่ายุคเฮเซ) ผลิตโดยสตูดิโอโคเมท ฉายทาง Fuji TV ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงอากิชิโนะ โดยมีนักร้อง ฮิเดมิ อิชิคาวะ (石川 秀美) พากย์เสียงเจ้าหญิง และผู้ประกาศข่าว ชินสุเกะ คาไซ (笠井 信輔) พากย์เสียงเจ้าชาย[109]
  • วันที่ 18 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2544 ทรงเปิดเผยในงานสัมมนาครบรอบ 5 ปีของพิพิธภัณฑ์ทะเลสาบบิวะ ว่าพระองค์เคยเสวยปลาบึกซึ่งเป็นปลาแถบลุ่มแม่น้ำโขง ตอนที่ทรงมาเยือนประเทศไทยเพื่อทำการวิจัย[110]
  • ราชวงศ์สาขาอากิชิโนะ มีแนวคิดเรื่องการประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเจ้าหญิงอากิชิโนะทรงเล่าว่าเคยเห็นเจ้าชายทรงใช้ดินสอที่มีความยาวเหลือแค่ 2 - 3 เซนติเมตร[111]
  • จากคำบอกกล่าวของเจ้าหญิงมาโกะ พระธิดา "พระชนกทรงโปรดการเสวยหนูตะเภา"[112]
  • จากคำบอกกล่าวของเจ้าหญิงคาโกะ พระธิดา "พระชนกทรงเป็นคนที่มีความรู้หลากหลาย เป็นที่พึ่งในหลายๆด้าน เช่น ช่วยจับแมลงที่เข้ามาในบ้าน"[113]
  • จากคำบอกกล่าวของเจ้าชายฮิซาฮิโตะ พระโอรส "พระชนกเป็นคนละเอียดและพิถีพิถัน, บางครั้งก็เล่นมุกตลกระหว่างที่พูดคุยกันในครอบครัว, ทรงโกรธง่าย แต่ช่วงหลังทรงใจเย็นขึ้นกว่าเดิม, พระชนกทรงไม่ชำนาญเรื่องทิศทางและแผนที่เท่าพระองค์"[114]
Remove ads

ราชตระกูล

ข้อมูลเพิ่มเติม พงศาวลีของเจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ ...
Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads